สองฝั่งของถนนใหญ่ เสียงผิวปากดังระงม
ถึงอย่างไรเตี๋ยจ้างก็ยังหน้าบาง บนหน้าผากจึงเริ่มมีเหงื่อผุดซึม สีหน้าขึงตึง พยายามไม่ให้ตัวเองเผยความขลาดกลัวออกมา เพียงแต่อดไม่ไหวเอ่ยถามเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน พวกเราจะขายเหล้าออกไปได้สักครึ่งกาจริงๆ ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบว่า “ต่อให้ไม่มีใครมาเป็นหน้าม้าช่วยสนับสนุนจริงๆ ทำตามแผนกำหนดการที่ข้าวางไว้ก็ยังไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลอยู่ดี ยิ่งไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องการหาเงิน ก่อนจะเป็นเช่นนั้น หากมีคนมาซื้อเหล้า แน่นอนว่าย่อมดีกว่า เช้าตรู่แบบนี้มีลูกค้าน้อยก็เป็นเรื่องปกติมาก”
หนึ่งก้านธูปต่อมาก็ยังไม่มีแขกเข้าร้าน เตี๋ยจ้างยิ่งเป็นกังวลมากกว่าเดิม
เฉินผิงอันตะเบ็งเสียงดังลั่น “เหล้ากาแรกหลังเปิดร้าน ลดห้าส่วน! มีแค่กาเดียวนี้เท่านั้น ใครมาก่อนก็ได้ก่อน”
แล้วก็มีคนคนหนึ่งมาจริงๆ
เตี๋ยจ้างกล่าวอย่างกังขา “เขาก็คือคนที่เจ้าเชิญมาหรือ?”
เฉินผิงอันเองก็ประหลาดใจมากเหมือนกัน จึงส่ายหน้าตอบ “แน่นอนว่าไม่ใช่”
ผู้ที่มาคือผังหยวนจี้
เขานั่งลงบนม้านั่งยาวตัวหนึ่ง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ขอเหล้ากาที่ถูกที่สุด จำไว้ว่าอย่าลืมลดห้าส่วนล่ะ”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเตี๋ยจ้างที่ยืนอึ้งค้าง พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม เถ้าแก่ใหญ่ยกเหล้ามาวางบนโต๊ะด้วยตัวเองเลยสิ”
เตี๋ยจ้างรีบไปหยิบ ‘เหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่’ หนึ่งไหกับชามขาวใบใหญ่หนึ่งใบมาวางไว้บนโต๊ะด้านหน้าผังหยวนจี้ ช่วยเปิดผนึกดินบนไหเหล้าที่เพิ่งปิดไปได้ไม่กี่วันออก รินเหล้าชามหนึ่งให้ผังหยวนจี้ด้วยตัวเอง เพราะมโนธรรมในใจยากที่จะสงบ นางจึงเค้นรอยยิ้มพูดเสียงเบาราวกับยุง “ลูกค้าเชิญดื่มให้อร่อย”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบชามเหล้ามาให้ตัวเองหนึ่งชาม นั่งลงข้างกายผังหยวนจี้แล้วหยิบไหเหล้ารินเหล้าให้ตัวเองอย่างไม่สนใจใคร ยิ้มเอ่ยว่า “พี่หยวนจี้ ขอบคุณที่มาร่วมสนับสนุน ข้าต้องดื่มคารวะเจ้าหนึ่งชาม ลำพังเพียงแค่ความใจกว้างของคนใหญ่คนโตของพี่หยวนจี้นี้ ตำแหน่งเซียนกระบี่ไม่หนีไปไหนแน่ ข้าขอดื่มเพื่อแสดงการคารวะก่อน!”
เตี๋ยจ้างที่มองอยู่นึกอยากจะขุดดินแล้วมุดลงไปเต็มที มีคนขายเหล้าที่ไหนไปขอเหล้าลูกค้าตัวเองดื่มบ้าง?
ผังหยวนจี้รอจนเฉินผิงอันดื่มเหล้าชามนั้นไปแล้ว เขากลับรินเหล้าให้เฉินผิงอันอีกชาม แต่ไม่ได้รินจนเต็ม แค่เหล้าไหเล็กๆ นี่จะดื่มได้สักกี่ชามกัน?
ก็โชคดีที่ร้านนี้ตั้งใจเลือกชามขาวที่ไม่ใหญ่มา ถึงได้ดูเหมือนว่าปริมาณของสุรามีมากเพียงพอ
ผังหยวนจี้เริ่มรู้สึกเสียใจภายหลังแล้วที่มานั่งที่นี่ วันหน้าหากกิจการของร้านนี้ซบเซาก็ยังพอทำเนา แต่หากคนดื่มเหล้ามีเยอะขึ้น ตนจะไม่โดนด่าตายเลยหรือ
ในมือถือชามเหล้า ก้มหน้าสูดดม พอมีกลิ่นอายของเหล้าหมักตระกูลเซียนอยู่นิดหน่อยจริงๆ ดีกว่าที่คิดเอาไว้เล็กน้อย แต่เหล้าไหหนึ่งนี้กลับขายแค่หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ราคาจะถูกเกินไปหน่อยหรือไม่? รสชาติเช่นนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในเหลาสุราแห่งใดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะอย่างไรก็น่าจะต้องเริ่มต้นที่หลายเหรียญเงินเกล็ดหิมะกระมัง ผังหยวนจี้รู้เพียงเรื่องเดียว อย่าว่าแต่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เป็นบ้านของตัวเองเลย ใต้หล้านี้ไม่มีคนขายเหล้าคนใดที่จะยอมขาดทุนหรอก
เฉินผิงอันชนชามเหล้ากับผังหยวนจี้ ต่างคนต่างดื่มจนหมด
จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปหิ้วเหล้าไหหนึ่งมาวางบนโต๊ะ ยิ้มกล่าวว่า “ครึ่งราคานี่นะ เหล้าสองไห เก็บเงินพี่หยวนจี้แค่หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ”
ผังหยวนจี้ดื่มเหล้าในชามไปแล้ว รสชาติพอถูไถ ก็เลยอดทนข่มกลั้นเอาไว้
ดื่มเหล้าไปแล้วหนึ่งไห ผังหยวนจี้ก็หยิบเหล้าที่เกือบจะถูกเฉินผิงอัน ‘ช่วย’ เปิดผนึกดินให้ไหนั้นมา ตบเหรียญเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นแล้วจากไป บอกว่าคราวหน้าจะมาใหม่
เตี๋ยจ้างปาดเหงื่อบนหน้าผาก รับเงินเกล็ดหิมะมาจากมือเฉินผิงอัน รอยยิ้มของนางคลี่กว้างสดใส
จากนั้นผ่านไปประมาณเกือบครึ่งชั่วยาม เตี๋ยจ้างก็เริ่มเป็นกังวลเรื่อง ‘อนาคต’ (ภาษาจีนคือคำว่าเฉียนเฉิง 前程 ประโยคนี้ก็เป็นคำอ่านว่าเฉียนเชิงเหมือนกัน เพียงแต่เปลี่ยนคำแรกเป็นคำว่า 钱 ที่แปลว่าเงิน เป็นคำพ้องเสียง) ของร้านอีกครั้ง ผลกลับได้เห็นลูกค้าอีกคนทะยานลมมาพลิ้วกายลงบนพื้น นางก็อดไม่ไหวหันไปมองเฉินผิงอัน
นางสังเกตเห็นว่าหลังจากเฉินผิงอันพูดประโยคว่า ‘ยังคงเป็นคนที่ไม่คาดคิด’ ออกมา เขากลับมีท่าทางตื่นเต้นด้วย?
ผู้ที่มาคือเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะที่มาจากแจกันสมบัติทวีปเช่นเดียวกับเฉินผิงอัน
เว่ยจิ้นสั่งเหล้าไหหนึ่งที่แพงที่สุด หนึ่งไหเล็กห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ด้านในกาเหล้าใส่ใบไผ่ไว้หนึ่งใบ
เว่ยจิ้นไม่ได้รีบร้อนดื่มเหล้า แต่ยิ้มถามว่า “นางยังสบายดีกระมัง?”
เฉินผิงอันเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม อีกทั้งยังไม่อาจแกล้งโง่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คือเว่ยจิ้น เขาจึงได้แต่ยิ้มจืดเจื่อนเอ่ยว่า “นางน่าจะยังสบายดีกระมัง ตอนนี้เป็นถึงเจ้าสำนักแล้ว แต่ข้าเกือบจะถูกนางฆ่าตายอยู่ในหุบเขาผีร้าย”
นี่เจ้าเว่ยจิ้นกะจะมาช่วยทำพังมากกว่าล่ะมั้ง?
เกี่ยวกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงอดีตนักพรตหญิงสำนักโองการเทพ เจ้าสำนักชิงเหลียงในภายหลัง เฉินผิงอันไม่เคยปิดบังเรื่องใดกับหนิงเหยา เล่าต้นสายปลายเหตุทุกอย่างให้นางฟังทั้งหมด
ยังดีที่หนิงเหยาไม่เคยเผยสีหน้าโกรธเคืองใดๆ ในเรื่องนี้ เอ่ยแค่ว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงทำเกินกว่าเหตุไปแล้ว วันหน้าหากมีโอกาสจะต้องไปเจอนางสักหน่อย
แต่วันนี้เว่ยจิ้นถามเรื่องไหนไม่ถาม ดันมาถามเรื่องนี้ เฉินผิงอันจึงรู้สึกเสียวสันหลังวูบๆ ราวกับว่าในร้านมีปราณกระบี่แผ่อบอวล
เว่ยจิ้นดื่มเหล้าไปชามหนึ่งก็ถามอีกว่า “นางชอบเจ้าจริงๆ ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”
เว่ยจิ้นพยักหน้ารับ รินเหล้าอีกชาม หลังจากกระดกดื่มหมดแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “เถ้าแก่ไปทำธุระของตัวเองเถอะ ไม่ต้องมารับรองแขกแล้ว”
สุดท้ายเว่ยจิ้นนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง ดื่มเหล้าช้า แต่กลับไม่เคยหยุดดื่ม
บุรุษที่ลุ่มหลงในรัก มักจะชอบดื่มเหล้าที่บาดลำไส้ ทว่าคนที่ถือดาบสะบั้นไส้คนที่แท้จริงนั้น มักจะเป็นคนในใจที่ไม่ได้อยู่ในชามเหล้าเสมอ
เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงหน้าประตู หันหลังให้กับร้าน อุตส่าห์หาเงินได้ แต่กลับไม่มีรอยยิ้ม กลับกันยังกลัดกลุ้มยิ่งกว่าเดิม
เพราะตอนที่เว่ยจิ้นดื่มเหล้าชามที่สาม เขาตบเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งลงบนโต๊ะ บอกว่าวันหน้าที่มาดื่มเหล้า ให้หักไปจากในเงินร้อนน้อยเหรียญนี้
เจ้าอ้วนเยี่ยนและเฉินซานชิวต่างก็รู้กาลเทศะ ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
แต่ต่งถ่านดำที่เป็นคนโผงผางผู้นั้นกลับเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาอย่างทึ่มทื่อว่า “ข้าคิดว่าต้องมีเรื่องราวซ่อนอยู่แน่นอน”
ในที่สุดเฉินผิงอันก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมบางครั้งเจ้าอ้วนเยี่ยนและเฉินซานชิวถึงต้องกลัวว่าต่งถ่านดำจะเปิดปากพูดมากขนาดนั้น แต่ละคำดั่งกระบี่บินที่ทิ่มแทงคนให้ตายได้จริงๆ
เว่ยจิ้นยังไม่ทันลุกขึ้นไสหัวไป เฉินผิงอันก็รู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษ รีบลุกขึ้นทันที
ที่แท้แม่นางน้อยกวอจู๋จิ่วก็ลากเอาคนวัยเดียวกันมาร่วมช่วยสนับสนุนร้านเขาอย่างครึกครื้น
กวอจู๋จิ่วมาถึงก็พูดเข้าประเด็นโดยตรง หลังจากเรียกเฉินผิงอันอย่างนอบน้อมว่า “อาจารย์อีกสามปีให้หลัง” แล้ว ก็พูดต่อด้วยประโยคที่อยากปิดบังแต่ยิ่งเป็นการเปิดเผยว่า “ข้ากับพวกเพื่อนๆ เพิ่งจะรู้ว่าที่นี่เปิดร้านเหล้า ถึงได้มาซื้อเหล้าที่นี่เอากลับไปให้พวกผู้อาวุโสในตระกูล! อาจารย์อีกสามปีให้หลัง ข้าไม่ได้บังคับพวกนางมาจริงๆ นะ!”
จากนั้นกวอจู๋จิ่วก็แอบส่งสายตาให้พวกนาง
พวกแม่นางน้อยที่ดึกดื่นค่ำคืนของเมื่อวานก็ถูกกวอจู๋จิ่วไปเคาะประตูเตือนว่าอย่าลืมเรื่องนี้ แต่ละคนหน้าตาไร้ชีวิตชีวา จ่ายเงินซื้อเหล้า รับมาถือเอาไว้อย่างว่าง่าย จากนั้นก็รอให้กวอจู๋จิ่วออกคำสั่ง
พวกนางไม่ได้เสียดายเงินเกล็ดหิมะสามเหรียญที่ได้มาจากกวอจู๋จิ่วเลยสักนิด
นี่ต้องถูกกวอจู๋จิ่วกวนใจมาตั้งกี่วันแล้ว
บางคนนึกอยากจะเอาเงินเกล็ดหิมะหกเหรียญให้กวอจู๋จิ่วด้วยซ้ำ แต่นางไม่รับนี่นา บอกว่าจะต้องรวมคนให้ครบจำนวนให้ได้
สุดท้ายกวอจู๋จิ่วเองก็ควักเงินสามเหรียญเกล็ดหิมะซื้อเหล้ามากาหนึ่ง แล้วอธิบายอีกว่า “อาจารย์อีกสามปีให้หลัง พวกนางล้วนควักเงินจ่ายเองกันทั้งนั้น!”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าลองนับนิ้วคำนวณดู สามปีลดเหลือครึ่งหนึ่ง อีกหนึ่งปีครึ่งให้หลัง ก็สามารถลองดูได้ว่าเหมาะจะรับลูกศิษย์หรือไม่”
กวอจู๋จิ่วมือหนึ่งถือกาเหล้า อีกมือหนึ่งกำเป็นหมัดโบกอย่างแรง พูดด้วยท่าทางตื่นเต้นสุดขีดว่า “วันนี้เป็นวันฤกษ์ดีในการซื้อเหล้าจริงๆ! ไม่เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์ท่องปฏิทินเหลืองเล่มนั้น!”
มีผังหยวนจี้และเว่ยจิ้น และยังมีเหล่าแม่นางน้อยพวกนี้มาช่วยให้การสนับสนุน
การค้าของร้านเหล้าจึงเริ่มดำเนินไปได้
ดูจากท่าทางแล้ว น่าจะได้ทุนคืนมาไม่ยาก
แต่นี่ก็มากพอจะทำให้เตี๋ยจ้างดีใจอย่างยิ่งยวดแล้ว
เตี๋ยจ้างเริ่มง่วนกับการทำงาน
เรื่องของการขายเหล้า ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าต้องให้เตี๋ยจ้างออกแรงให้มากหน่อย เพราะเฉินผิงอันไม่อาจจับตามองที่นี่ได้ทุกวัน
ต่งถ่านดำที่รู้สึกประหลาดใจถูกเฉินซานชิวและเจ้าอ้วนเยี่ยนลากตัวไปแล้ว
หนิงเหยาเอนตัวพิงโต๊ะคิดเงินในร้าน แทะเมล็ดแตง มองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ไม่โกรธใช่ไหม?”
หนิงเหยาเอ่ย “จะเป็นไปได้อย่างไร”
เฉินผิงอันหน้าม่อย “สรุปว่าจะโกรธได้อย่างไร หรือว่าจะไม่โกรธได้อย่างไรกันแน่”
หนิงเหยากะพริบตาปริบๆ “เจ้าเดาดูสิ”
เฉินผิงอันทอดถอนใจ “ข้าจะเปิดเหล้าแล้วบันทึกลงบัญชีเอาไว้”
หนิงเหยาพลันยิ้มกล่าวว่า “เฮ้อเสี่ยวเหลียงจะนับเป็นอะไรได้ ควรค่าให้ข้าโกรธด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันมายืนอยู่ตรงหน้านาง ถามเบาๆ ว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมหลังจากข้าแพ้ให้เฉาสือสามครั้งแล้วถึงไม่รู้สึกอัดอั้นเลยแม้แต่น้อย?”
หนิงเหยาถาม “ทำไมล่ะ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เพราะหนิงเหยาคร้านจะจำว่าเฉาสือคือใคร”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เอนตัวพิงโต๊ะคิดเงิน มองไปยังลูกค้าที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านนอก “พอได้พบเจอเจ้า เด็กยากจนที่เติบโตขึ้นมาในตรอกหนีผิงคนนั้นก็ไม่เคยขาดเงินอีกเลย”
หนิงเหยามองรอยยิ้มที่ยิ่งนานก็ยิ่งเก็บไว้ไม่อยู่ของเขา นางหยุดแทะเมล็ดแตง ถามว่า “ตอนนี้กำลังหัวเราะเยาะว่าข้าโง่เขลาใช่หรือไม่”
เฉินผิงอันรีบหุบยิ้ม จากนั้นก็ตระหนักได้ทันทีว่าตัวเองก็ไม่ได้ฉลาดกว่าแม่นางน้อยสักเท่าไร เขาเองก็ทำสิ่งที่เรียกว่าอยากปกปิดซ่อนเร้น แต่ยิ่งกลับเป็นการเปิดเผยให้อีกฝ่ายรู้เช่นกัน
เพียงแต่ว่าหนิงเหยาแค่ยื่นฝ่ามือมาให้ เฉินผิงอันจึงหยิบเมล็ดแตงมาจากมือนาง
หนิงเหยาแทะเมล็ดแตง เอ่ยว่า “มีสตรีแบบนี้แบบนั้นมาชอบเจ้า ข้าไม่โกรธ”
หยุดไปครู่หนึ่ง หนิงเหยาก็เอ่ยอีกว่า “แต่หากวันใดเจ้าชอบสตรีคนอื่นนอกจากข้า ข้าจะเสียใจมาก หากมีวันนั้นจริงๆ เจ้าไม่ต้องขอโทษข้า ยิ่งไม่ต้องมาพบหน้าข้า มาบอกเรื่องแบบนี้กับข้าด้วยตัวเอง ข้าไม่อยากฟัง”
เฉินผิงอันยื่นมือมาโยกหัวหนิงเหยาเบาๆ “ห้ามคิดอะไรเหลวไหล ชีวิตนี้ข้าอาจจะกลายเป็นผู้ฝึกตนที่มีตบะสูงส่งอะไรได้ยาก ภูเขาลูกหนึ่งมักจะมีภูเขาอีกลูกที่สูงกว่าเสมอ ก็ได้แต่พยายามแล้วพยายามอีก เพื่อทำคำสัญญาให้เป็นจริงไปทีละก้าว แต่เฉินผิงอันจะต้องเป็นคนที่ชอบหนิงเหยาที่สุดในใต้หล้าแน่นอน เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพยายามมานานแล้ว”
กิจการร้านเหล้ายิ่งนานก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ
เฉินผิงอันกลับกลายเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้าน
ทุกครั้งที่มาถึงที่ร้านกลายเป็นว่าส่วนใหญ่จะคุยเล่นกับพวกเด็กตัวเท่าก้นกลุ่มนั้นมากกว่า เขาจะยกม้านั่งไปนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วยืมเอาหนังสือภาพจากพวกเด็กๆ มาเปิดอ่าน บางครั้งเฉินผิงอันก็จะสอนให้พวกเขารู้จักตัวอักษร
ภายหลัง คนหนุ่มชุดเขียวที่อายุยังน้อยผู้นั้นกินอิ่มว่างงาน ไม่หารายได้เข้ากระเป๋า ที่จวนหนิงมีแท่นสังหารมังกรแต่กลับไม่คว้าโอกาสรีบหลอมลมปราณ ดันวิ่งวุ่นไปตามตรอกน้อยใหญ่แล้วคัดลอกตัวอักษรจากบนป้ายศิลาทั้งหลายมาจนรวบรวมได้กระดาษปึกโต จากนั้นเขาก็มักจะมานั่งอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ทำตัวเป็นนักเล่านิทานเล่าเรื่องภูตผีตามขุนเขาสายน้ำในใต้หล้าไพศาลให้พวกเด็กๆ ฟัง
มีวันหนึ่งคนหนุ่มที่สวมชุดเขียวปักปิ่นหยกนั่งอาบแสงแดดอันอบอุ่นของต่างถิ่น สอนตัวอักษรไปแล้ว เล่าเรื่องไปแล้ว ก็เอากิ่งไผ่มาวางพาดขวางไว้บนหัวเข่า แล้วท่องเบาๆ ว่า “ดวงตะวันมีแสงทองระยิบระยับ สวมชุดนวมขนแพะลื่นอุ่น”
เห็นว่าคนผู้นั้นหยุดพูด ก็มีเด็กคนหนึ่งถามขึ้นอย่างใคร่รู้ “แล้วอะไรต่อ? ยังมีอีกไหม?”
คนผู้นั้นจึงวางสองมือไว้บนหัวเข่า ทอดสายตามองไปเบื้องหน้า เอ่ยเนิบช้าว่า “ยามแมลงตื่นจากการจำศีล ฟ้าดินถือกำเนิด หมื่นสรรพสิ่งเจริญเติบโต นอนดึกตื่นเช้า ออกมาเดินเล่นผ่อนคลาย วิญญูชนก้าวเดินเนิบช้า หวังให้ปณิธานก่อเกิด…”
พวกเด็กๆ ที่นั่งล้อมม้านั่งและคนผู้นั้นไม่เข้าใจว่าคำพูดพวกนี้หมายความว่าอย่างไร แต่ก็ยินดีจะฟังคนผู้นั้นท่องต่อไปอย่างสงบ
ตรงตรอกห่างไกลของกำแพงเมืองปราณกระบี่จึงคล้ายว่าจะมีโรงเรียนประถมที่ไม่มีอาจารย์ที่แท้จริง แล้วก็ไม่มีนักเรียนอย่างจริงจังเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแห่ง