เฉินผิงอันเก็บเรือยันต์แล้วพลิ้วกายลงบนหัวกำแพง
จั่วโย่วเก็บปราณกระบี่คล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา
ดังนั้นคนทั้งสองจึงอยู่ห่างกันไม่ถึงสิบก้าว
จั่วโย่วลืมตามองฟ้าดินกว้างใหญ่ที่อยู่นอกหัวกำแพงเมืองแล้วถามคำถามหนึ่ง “เคยคิดถึงเรื่องบางอย่างที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนบ้างไหม?”
ทางฝั่งทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นครที่ทั้งรากฐานและความลับล้วนลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้งแห่งนั้นทั้งให้ความรู้สึกถึงกฎเกณ์ที่เข้มงวดต่อผู้คน แล้วก็ทั้งเหมือนว่าไม่มีกฎเกณฑ์อะไรให้พูดถึงด้วย
มีเซียนกระบี่ที่ยามอยู่ในศึกใหญ่สังหารศัตรูไปนับไม่ถ้วน ทว่าระหว่างเวลาว่างก่อนเกิดศึกกลับใช้ชีวิตเลอะเลือนดุจดั่งราชาในโลกมนุษย์ ดั่งคนเมามายอยู่ในความฝัน มีเรือข้ามทวีปลำหนึ่งนำผู้ฝึกตนหญิงของทวีปมาขายให้เซียนกระบี่ท่านนี้โดยเฉพาะ คนที่เข้าตาเขาก็จะถูกรับเข้าไปเป็นสาวใช้ในตำหนักโอ่อ่ามลังเมลือง คนที่ไม่เข้าตาก็จะถูกกระบี่บินตัดหัว แต่กระนั้นก็ยังจ่ายเงินให้
มีเซียนกระบี่ที่ชอบเฝ้าอยู่ในสวนผักสวนผลไม้เล็กๆ ใช้ชีวิตดั่งชาวไร่ชาวนาปีแล้วปีเล่า
มีเซียนกระบี่ที่ชอบร่ายเวทอำพรางตาใช้ชีวิตปะปนอยู่กับหมู่ชาวบ้านร้านตลาด มั่วสุมอยู่กับพวกอันธพาลในตรอกเก่าโทรมตลอดทั้งปี
มีลูกหลานตระกูลใหญ่ที่ใจคิดแต่จะออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไปขอศึกษาต่อที่สถานศึกษาสำนักศึกษา แล้วก็มีคุณชายชนชั้นสูงที่ทำตัวเสเพลเอาแต่ใจ อารมณ์แปรปรวนไม่แน่นอน ชอบทุ่มทองเป็นพันชั่ง ทั้งยังชอบสังหารข้ารับใช้อย่างทารุณ
อริยะลัทธิขงจื๊อคนก่อนที่มาเฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่เคยคิดอยากจะทวงความเป็นธรรมในเรื่องนี้ ทว่าเฉินชิงตูเซียนกระบี่ผู้อาวุโสกลับเอ่ยประโยคเดียวว่า ตีกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน
อริยะท่านนั้นจึงลงศึกใหญ่สามครั้ง ชนะสองแพ้หนึ่ง แล้วจึงออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างหม่นหมอง หวนกลับคืนไปยังใต้หล้าไพศาล ชนะเซียนกระบี่ในท้องถิ่นสองท่าน แพ้ให้กับใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้น
ความผิดความถูกในเรื่องนี้ ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิดเอาไว้
ต่อให้จั่วโย่วจะแค่ได้ยินได้ฟังมาในภายหลัง ก็ยังรู้ชัดเจนถึงปราณสังหารอันเข้มข้นที่ซ่อนอยู่ภายใน
เรื่องราวบนโลกมนุษย์ กลัวก็แต่ว่าจะไม่มีจุดยืน ความผิดความถูกปะปนกันมั่วซั่ว กลัวก็แต่ว่าจะเอาแต่พูดเรื่องจุดยืน แบ่งแค่ขาวกับดำอย่างเดียวเท่านั้น
สิ่งที่จั่วโย่วกลัวที่สุด ยังคงเป็นคนฉลาดที่เชื่อมั่นว่าขอแค่โลกใบนี้มีจุดยืนก็ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอีกแล้ว
เฉินผิงอันถาม “ไกลหรือใกล้?”
จั่วโย่วเก็บความคิดที่กระจัดกระจายวุ่นวายกลับมา เอ่ยว่า “เรื่องที่อยู่ตรงหน้า เรื่องที่อยู่ข้างกายของทางฝั่งนครแห่งนั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่เคยเตือนไว้แล้ว ข้าเองก็รู้ดีถึงกระแสนิยมของสังคมที่นั่น คำพูดคำจาไร้ความยำเกรง เพราะฉะนั้นอีกไม่นานก็จะมีคลื่นใต้น้ำ ผ่านไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง ถ้อยคำซุบซิบนินทาพวกนั้นก็จะค่อยๆ แจ่มชัด สาเหตุที่ข้าชนะสี่ครั้งติด สาเหตุที่ข้าอยู่ในจวนหนิง ข้าคือลูกศิษย์ของอาจารย์ คือศิษย์น้องของศิษย์พี่ ก็คือเหตุผล การที่ตอนนี้ยังไม่เกิดขึ้นก็เพราะเซียนกระบี่ผู้เฒ่าต่งพาคนไปดื่มเหล้าที่ร้านของเตี๋ยจ้าง นี่ถึงทำให้คนหลายคนที่เดิมทีเปิดปากแล้วจำต้องหุบปากกลับไปอีกครั้ง”
จั่วโย่วเอ่ย “พูดถึงแค่ผลลัพธ์”
เฉินผิงอันกล่าว “มีคนไม่น้อยที่กลัวมากกว่าเรื่องของจวนหนิงจะถูกพลิกบัญชีอีกครั้ง ดังนั้นจึงไม่ค่อยยินดีให้ความสัมพันธ์ของจวนหนิงและจวนเหยากลับมากลมเกลียวกัน ความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์ระหว่างข้า หนิงเหยาและเฉินซานชิว ต่งฮว่าฝูและเยี่ยนจั๋ว จะกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ขุ่นมัวสกปรกในสายตาของคนบางคน ก่อนหน้านั้นอาจไม่เท่าไร แต่ตอนนี้กลับจะไม่ค่อยยินดีเท่าไรแล้ว อาจยังต้องเพิ่มตระกูลกวอเข้าไปอีกตระกูล ดังนั้นต่อจากนี้สถานการณ์จะซับซ้อนอย่างมาก มีความเป็นไปได้สูงว่าช่วงนี้กวอจู๋จิ่วจะถูกสั่งกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้าน เพราะอีกไม่นานจะมีถ้อยคำที่ไม่น่าฟังดังเข้าสู่ตระกูลกวอ ยกตัวอย่างเช่นบอกว่าความสามารถในการประจบสอพลอผู้มีอำนาจของตระกูลกวอมีไม่น้อย หรืออาจจะมีคนบอกว่าเซียนกระบี่ตระกูลกวอวางแผนได้ดีนัก ให้แม่นางน้อยคนหนึ่งออกหน้าไปสานสัมพันธ์ ช่างเป็นวิธีการที่ดีจริงๆ ไม่ว่าจะพูดอะไร ผลลัพธ์มีเพียงอย่างเดียว ตระกูลกวอได้แต่ห่างเหินจากจวนหนิงไปชั่วคราว เพราะถึงอย่างไรตระกูลกวอก็ไม่ใช่เรื่องของเซียนกระบี่กวอคนเดียว คนทั้งบนและล่างร้อยกว่าคนล้วนยังต้องหยัดยืนอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่”
หากเป็นอย่างนี้ยังนับว่าดี เฉินผิงอันกลัวก็แต่ว่าจะมีวิธีการต่ำช้าที่ทำให้คนสะอิดสะเอียนมากกว่านี้ ยกตัวอย่างเช่นในกลุ่มพวกเด็กๆ ในตรอกที่อยู่ใกล้กับร้านเหล้า มีคนตายไปกะทันหัน
เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยออกมา
จั่วโย่วเอ่ยว่า “เว้นเสียแต่ว่าเฉินชิงตูออกหน้าเป็นพ่อสื่อสู่ขอให้ด้วยตัวเอง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
จั่วโย่วถาม “ทำไมถึงไม่ร้อนใจเลยสักนิด”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่กล้า แล้วก็ไม่ยินดีจะไปเร่งรัดผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วข้าก็ล้วนมีแผนการรับมือเสมอ”
จั่วโย่วถามต่อ “หมายความว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันตอบ “หากเป็นเพียงแค่คำพูด ไม่ต้องไปสนใจ เพราะควบคุมอะไรไม่ได้ หากมีการยื่นมือเข้ามา ข้าก็มีหมัดแล้วก็มีกระบี่ หากยังไม่พอ ก็ขอยืมจากศิษย์พี่”
จั่วโย่วพยักหน้ารับ คลี่ยิ้มน้อยๆ “ไม่เลว วิธีการที่เป็นรูปธรรม ข้าก็คร้านจะถามแล้ว เจ้าลองใคร่ครวญดูให้ละเอียด เรื่องไม่คาดฝันในกำแพงเมืองปราณกระบี่มักจะเรียบง่ายและตรงไปตรงมาผิดปกติเสมอ จึงกลายเป็นเรื่องไม่คาดฝันที่ไม่คาดฝันมากเป็นพิเศษ”
“รู้หรือไม่ว่าผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ตอนนี้ไปขัดเกลาวิถีกระบี่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง มีกี่คน?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ความลับชั้นยอดเช่นนี้ ข้าไม่รู้หรอก”
จั่วโย่วยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้อะไร?”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้ารู้แค่ชื่อแซ่ รากฐานโดยคร่าวๆ ของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินและเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ รวมไปถึงบุคคลสำคัญหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดคนของตระกูลใหญ่สิบกว่าตระกูลที่รวมต่ง เฉิน ฉีเป็นหนึ่งในนั้น แม้จะมีความหมายไม่มาก แต่ก็ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย”
จั่วโย่วกล่าวอย่างกังขา “เจ้าว่างขนาดนี้เชียว?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นความเคยชินตามธรรมชาติ อีกทั้งเรื่องนี้ข้าเองก็ค่อนข้างเชี่ยวชาญ ไม่ถ่วงเวลาการฝึกหมัดและการฝึกตนเด็ดขาด ศิษย์พี่วางใจได้เลย”
จั่วโย่วถาม “เจ้าเอนเอียงไปทางสำนักการค้าและสำนักคำนวณหรือ?”
เฉินผิงอันอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่เคยสัมผัสกับตำราและความรู้ของสองสำนักนี้มาก่อน”
จั่วโย่วชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ยิ้มกล่าวว่า “ความรู้ของสองสำนักนี้ แม้ว่าจะเป็นปลายแถวของสามลัทธิเก้าสำนัก ถูกลัทธิขงจื๊อดูแคลนและผลักไสมากเป็นพิเศษ และเป็นอย่างนี้มานานมากแล้ว แต่ข้ารู้สึกว่าหากเจ้าจะอ่านตำราของพวกเขาสองสำนักในระดับที่พอเหมาะสม ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าอย่าดึงดันมากเกินไปนัก ความรู้มากมายบนโลกใบนี้ แรกเห็นมักจะชวนตื่นตาตื่นใจอยู่เสมอ ส่วนใหญ่มักจะตื้นเขิน มองแรกๆ เหมือนกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูตา แล้วก็มักจะรกชัฏเหมือนกอวัชพืช หลังจากอ่านและทำความเข้าใจจนกระจ่างแล้วถึงได้รู้สึกว่าที่แท้ก็มีแค่นี้เอง แต่ส่วนที่ต้องอ่านก็ยังต้องอ่านอยู่ดี กลัวก็แต่เจ้าอ่านเข้าไปแล้วจะออกมาไม่ได้ สามารถอ่านหลักการพื้นฐานในตำราอริยะปราชญ์ของเมธีร้อยสำนักเล่มหนึ่งออกมาได้ ก็จะได้รับผลเก็บเกี่ยวอย่างใหญ่หลวง”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะ “ได้รับคำสั่งสอนแล้ว”
จั่วโย่วลุกขึ้นยืน “เว้นเสียแต่ว่าชมการต่อสู้ของนครทางทิศเหนือ ในสถานการณ์ทั่วไปแล้ว เซียนกระบี่จะไม่ใช้วิชาอภินิหารมองภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือมาตรวจสอบความเคลื่อนไหวในนคร นี่ก็คือกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เรื่องบางเรื่องต้องให้เจ้าจัดการด้วยตัวเอง แบกรับผลลัพธ์ที่จะตามมาเอาเอง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าสามารถคอยช่วยจับตามองให้เจ้าได้ เจ้าคิดว่าเรื่องไหน? เจ้าหวังให้เป็นเรื่องไหนมากที่สุด?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “ข้าอยากให้ศิษย์พี่ช่วยจับตามองพวกเด็กๆ ในตรอกที่อยู่ใกล้กับร้านเหล้า อย่าให้พวกเขาต้องมาตายเพราะข้า”
จั่วโย่วไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ แต่ถามอีกคำถาม “นี่ไม่ใช่เรื่องที่เล็กที่สุดหรอกหรือ? ควรค่าให้ข้าจั่วโย่วจับตามองหรือไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในสายตาของบัณฑิต โลกมนุษย์ไร้เรื่องเล็ก”
จั่วโย่วกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เฉินผิงอัน หากเจ้าเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เร็วกว่านี้ก็คงดี อาจารย์จะได้ไม่ต้องกลัดกลุ้มอยู่นานเป็นร้อยปี เจ้าสามารถดูแลถุงเงินของอาจารย์แทนข้าได้ เจ้าสามารถพูดคุยกับอาจารย์บ่อยๆ ได้ สิ่งเหล่านี้ข้าล้วนไม่ถนัดเลย”
หัวข้อสนทนาแบบนี้ เฉินผิงอันไม่มีทางรับคำเด็ดขาด
จั่วโย่วพลันเอ่ยว่า “ปีนั้นอาจารย์กลายเป็นอริยะก็ยังคงมีคนด่าอาจารย์ว่าเป็นตาเฒ่าปีศาจบุ๋น บอกว่าอาจารย์เหมือนคนที่ฝึกลมปราณจนกลายเป็นมาร อีกทั้งยังเป็นตบะที่แช่มาจากถังน้ำหมึก อาจารย์ได้ยินแล้วก็เอ่ยแค่สองคำ ประเสริฐยิ่ง”
เฉินผิงอันกล่าว “ราชสำนักต้าสุย หลังจากที่ฮ่องเต้สกุลเกาลงนามพันธมิตรขุนเขากับราชวงศ์ต้าหลี ประชาชนพากันเดือดดาล คำด่าหนึ่งในนั้นก็คือด่าว่าศิษย์พี่เหมาคือปีศาจบุ๋น ตอนนี้ลองมานึกดูแล้ว ตอนนั้นศิษย์พี่เหมาคงจะดีใจอย่างมาก”
จั่วโย่วไม่เอ่ยอะไรอีก
เฉินผิงอันจึงเงียบตามไปด้วย
เรื่องของการฝึกกระบี่ หากช้าได้เท่าไรก็ดีเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ต้องกินจนอิ่มอยู่แล้ว
เฉินผิงอันพลันทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป เขามองไปทางจั่วโย่ว
จั่วโย่วพยักหน้าให้ บอกเป็นนัยแก่เฉินผิงอันว่าสามารถพูดได้โดยไม่ต้องเกรงใจ
เฉินผิงอันจึงพูดโดยใช้เสียงในใจว่า “ศิษย์พี่คิดว่าจะมีเซียนกระบี่ในนครลอบจับตามองจวนหนิงอยู่หรือไม่?”
จั่วโย่วคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ต่อให้มี ก็ไม่มีทางนานนัก อาจมีแค่บางครั้ง เพราะถึงอย่างไรน่าหลันเย่สิงก็ไม่ใช่ชองประดับตกแต่ง น่าหลันเย่สิงคือผู้เชี่ยวชาญด้านการลอบฆ่า แล้วก็เป็นหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ถูกประเมินต่ำที่สุด เขาสามารถลอบฆ่าคนอื่น แน่นอนว่าต้องเชี่ยวชาญการแฝงตัวและการลอบตรวจสอบด้วย”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่อาเหลียงถ่ายทอดให้ข้า ข้าไม่เพียงแต่สอนให้เผยเฉียนลูกศิษย์ของข้า ยังสอนให้แก่เด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปที่ชื่อว่าจ้าวเกาซู่ เขานิสัยดีมาก ไม่มีทางมีปัญหาแน่นอน เพียงแต่ว่าตอนนี้เด็กหนุ่มยังไม่ได้ไปที่ภูเขาลั่วพั่ว ข้ากลัวว่าจะเกิด…เรื่องไม่คาดฝัน!”
จั่วโย่วกล่าว “เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”
เฉินผิงอันโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
มีศิษย์พี่ ดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเดิมจริงๆ
จากนั้นจั่วโย่วก็เอ่ยว่า “พูดคุยมาหลายเรื่องขนาดนี้ ล้วนไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เจ้าอืดอาดไม่ยอมฝึกกระบี่”
เฉินผิงอันอึ้งงันไร้คำพูด
เรื่องที่เจ้าตะพาบเว่ยจิ้นผู้นั้นขุดหลุมเล่นงานตน ล้วนไม่อาจเอามาอ้างเป็นเหตุผลได้
ด้วยนิสัยของศิษย์พี่ท่านนี้ เขาไม่มีทางรู้สึกว่านั่นคือเหตุผลอย่างแน่นอน
หากเขาพูดออกมาจริงๆ เรื่องการฝึกกระบี่ มีแต่จะยิ่งอนาถมากกว่าเดิม
ไม่ใช่สายเหวินเซิ่ง คาดว่าคงไม่อาจเข้าใจเหตุผลในเรื่องนี้ได้
จั่วโย่วนั่งกลับลงไปบนหัวกำแพง แล้วก็เริ่มนั่งนิ่งๆ บำรุงปณิธานกระบี่ให้อบอุ่นต่อไป
เฉินผิงอันลองถามหยั่งเชิง “จะฝึกกระบี่อย่างไร?”
จั่วโย่วหลุดหัวเราะพรืด “ทำไม เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองก็ไร้เทียมทานแล้ว ยังต้องให้ข้าออกกระบี่อีกหรือไร?”
เฉินผิงอันเข้าใจแล้ว จึงถามอย่างระมัดระวังว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะออกหมัดแล้วนะ?”
จั่วโย่วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย หมัดแรกควรจะใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าเปิดฉากหรือไม่
คิดไม่ถึงว่าจั่วโย่วจะเอ่ยเนิบช้าขึ้นมาว่า “ภายในหนึ่งร้อยหมัด บวกกับกระบี่บิน หากสามารถเข้ามาใกล้ร่างข้าในระยะสามสิบก้าวได้ วันหน้าข้าจะเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่”
จั่วโย่วไม่จงใจกดปราณกระบี่ของทั้งร่างไว้อีกต่อไป นาทีนั้นราวกับว่าฟ้าดินขนาดเล็กพลันขยายกว้าง เฉินผิงอันพลันไถลร่างถอยกรูดออกไปยี่สิบก้าวทันที
ไม่มากไม่น้อย ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันสามสิบก้าวพอดี
ปราณกระบี่พุ่งมาปะทะใบหน้าประหนึ่งมีกระบี่บินที่จับต้องได้จริงจำนวนนับไม่ถ้วนบินล้อมวนอยู่เบื้องหน้า หากไม่เป็นเพราะพายุหมัดของทั้งร่างเฉินผิงอันไหลรินออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ คอยต้านทานปณิธานกระบี่เป็นเส้นๆ ที่ล้นออกมาจากปราณกระบี่ คาดว่าตอนนี้ทั้งร่างของเฉินผิงอันคงเต็มไปด้วยบาดแผลแล้ว เขาจำเป็นต้องถอยออกไปหลายก้าวอีกครั้ง คนถอย แต่ปณิธานหมัดกลับเพิ่มพูน
จั่วโย่วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ร้อยหมัดผ่านไป หากข้ารู้สึกว่าเจ้าออกหมัดเกรงใจกันเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งออกกระบี่ให้ความเคารพศิษย์พี่อย่างข้ามากเกินไป ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าเจ้าก็เตรียมไปฟ้องอาจารย์ได้เลย”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างฝืนๆ “ศิษย์พี่ ข้าไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย”
จั่วโย่วกล่าว “หลังจากฝึกวิชากระบี่ เจ้าไม่ใช่ก็ต้องใช่แล้ว”
……
เว่ยจิ้นที่ดื่มเหล้าหรือไม่ดื่มเหล้าคือเว่ยจิ้นสองคน เว่ยจิ้นที่จิบเหล้าคำเล็กๆ กับกระดกดื่มคำใหญ่ก็คือเว่ยจิ้นอีกสองคน
เซียนกระบี่หนุ่มที่มาเยือนที่แห่งนี้เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์นับพันปีของแจกันสมบัติทวีป อันที่จริงเขาที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะการต้อนรับจากสตรี
เด็กสาวอาจไม่ชื่นชมเลื่อมใสเว่ยจิ้นเสมอไป เพราะถึงอย่างไรที่บ้านเกิดก็มีเซียนกระบี่อยู่มากมาย แม้จะบอกว่าเว่ยจิ้นยังหนุ่มอยู่มาก ได้ยินมาว่าอายุสี่สิบก็เป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนแล้ว แต่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดสักเท่าไร หากจะพูดถึงพลังพิฆาตของกระบี่บิน เว่ยจิ้นก็ยิ่งไม่โดดเด่น อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ขอบเขตหยกดิบ พูดถึงเรื่องหน้าตา บุรุษตระกูลฉีนั้นขึ้นชื่อเรื่องความหล่อเหลา เว่ยจิ้นเองก็ไม่ถือว่ารูปงามที่สุด เพราะตระกูลของเฉินซานชิวก็ไม่แย่เหมือนกัน
ทว่าพวกสตรีโตเต็มวัยที่มีอายุมากหน่อยกลับพากันมาชอบเว่ยจิ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย บอกว่าเห็นเว่ยจิ้นดื่มเหล้าแล้วทำให้คนสงสารมากเป็นพิเศษ
ตอนที่เว่ยจิ้นไม่ดื่มเหล้า เขามักจะมีความกลัดกลุ้มกังวลอยู่เสมอ หลังจากจิบเหล้าไปสองสามจอก จะมีรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน แต่หลังจากดื่มไปมากเข้า สีหน้ากลับสดชื่นมีชีวิตชีวา
ดังนั้นสำหรับสตรีที่เคยเห็นเว่ยจิ้นดื่มเหล้ามาก่อน ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่มาจากหอเทพเซียนศาลลมหิมะผู้นี้ก็คือเทพเซียนที่เดินออกมาจากลมหิมะจริงๆ
ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นสตรีแบบใดที่ทำให้เว่ยจิ้นปล่อยวางไม่ลงเช่นนี้
อาเหลียงที่ใจดำผู้นั้นจากไปก็มีเว่ยจิ้นผู้ลุ่มหลงในรักมาเยือนอีกคน นับว่าสวรรค์ยังพอมีคุณธรรมอยู่บ้าง
ส่วนจั่วโย่วผู้นั้นก็ช่างเถิด แค่มองนานหน่อยก็รู้สึกปวดตาแล้ว จะหาเรื่องลำบากใส่ตัวไปไย แล้วนับประสาอะไรกับที่จั่วโย่วเองก็ไม่ค่อยมาเดินเตร็ดเตร่ที่นครแห่งนี้ อยู่ห่างไกลเกินไปก็มองเห็นได้ไม่ชัด ถึงอย่างไรก็สู้เว่ยจิ้นที่มาดื่มเหล้าบ่อยๆ ซึ่งทำให้คนคิดถึงพะวงหาไม่ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ? ทุกครั้งที่เว่ยจิ้นดื่มหนักแล้วจะไม่สลายฤทธิ์สุราทิ้ง เขาจะทิ้งฤทธิ์เหล้าเอาไว้ เงาร่างที่ขี่กระบี่โซเซกลับไปยังหัวกำแพงเมือง นั่นต่างหากถึงจะชวนให้คนปวดใจด้วยความสงสาร
วันนี้เว่ยจิ้นที่มาดื่มเหล้าที่ร้านของเตี๋ยจ้างดื่มไปค่อนข้างมาก โต๊ะหนึ่งตัวมีคนเบียดกันหลายสิบคน เว่ยจิ้นดื่มเหล้ามีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง เขาไม่เคยวางมาด หากไม่มีที่นั่ง จะให้นั่งเบียดกับคนสองสามคนบนม้านั่งยาวตัวหนึ่งก็ได้ไม่มีปัญหา นี่คงเป็นความสามารถในการทำตัวกลมกลืนเข้ากับบรรยากาศซึ่งมีเพียงคนที่เคยท่องยุทธภพล่างภูเขามาจนเคยชินถึงจะมีได้กระมัง ข้อนี้เซียนกระบี่ในพื้นที่ก็ดี ผู้ฝึกกระบี่ของทวีปอื่นก็ช่าง ล้วนไม่มีใครมีกลิ่นอายของยุทธภพที่เป็นธรรมชาติได้อย่างเว่ยจิ้น
สำหรับเฉินผิงอันที่ตอนแรกสุดที่ได้พบเจอกันยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้นั้น เว่ยจิ้นไม่ถึงกับชอบหรือไม่ชอบ ตอนนี้ก็ยังนับว่าดี เพราะมีความชื่นชมเพิ่มขึ้นมา
แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียง เว่ยจิ้นไม่อาจไม่ชอบได้จริงๆ
ยิ่งอยู่ห่างไกล ยิ่งดื่มเหล้าไปมาก เว่ยจิ้นไปหลบอยู่ล่างภูเขา หลบอยู่ในยุทธภพก็ยังคงลืมไม่ลง
ตอนแรกคนหนึ่งอยู่ในสำนักโองการเทพ คนหนึ่งอยู่ในศาลลมหิมะ
จากนั้นคนหนึ่งอยู่ในอุตรกุรุทวีป คนหนึ่งอยู่ในแจกันสมบัติทวีป
สุดท้ายมาถึงตอนนี้ มารดามันเถอะ อีกคนอยู่ในใต้หล้าไพศาล อีกคนหนึ่งก็อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว