หนิงเหยาเห็นเฉินผิงอันที่กลับมาจากหัวกำแพงเมืองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก แต่หญิงชรากลับรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาอีก คว้าตัวน่าหลันเย่สิงได้ก็ด่าเขาเสียจนไม่เหลือชิ้นดี
น่าหลันเย่สิงก็ไม่โต้เถียง เป็นคนก็ต้องยอมรับชะตากรรม
เซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ที่ต้องใช้ชีวิตอย่างน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้ก็มีให้เห็นไม่บ่อยนัก
ผู้เฒ่าไปดื่มเหล้าแก้ความกลัดกลุ้มเพียงลำพัง
เฉินผิงอันคุ้นเคยกับการปรุงยารักษาบาดแผลเป็นอย่างดี กุญแจของสถานที่สำคัญอย่างคลังสมบัติห้องเก็บยาของจวนหนิง ป๋ายหมัวมัวก็มอบไว้ให้เขานานแล้ว
ระหว่างที่เดินไป เฉินผิงอันเล่าให้หนิงเหยาและป๋ายหมัวมัวฟังถึงเรื่องที่กวอจู๋จิ่วถูกลอบฆ่า ทั้งเหตุและผลก็ล้วนเล่าอย่างครบถ้วน
หญิงชราบ่นพึมพำว่า เจ้าพวกคนชั่วช้ากลุ่มนี้ชอบรังแกเด็กนัก ไม่ควรได้ตายดีเลยจริงๆ
หนิงเหยาไม่ค่อยเก็บมาใส่ใจนัก แม่นางน้อยไม่เป็นอะไร เรื่องอื่นๆ หนิงเหยาก็ไม่ยินดีจะคิดมาก ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ชอบครุ่นคิดอยู่แล้ว คนที่มีความสามารถก็ย่อมต้องเหนื่อยกว่าผู้อื่น
มีหนิงเหยากับว่าที่ท่านเขยอยู่แล้ว ป๋ายหมัวมัวจึงไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย เดี๋ยวนางจะหาโอกาสไปด่าเจ้าสุนัขเฒ่าน่าหลันอีกสักรอบ ก่อนหน้านี้คุณหนูกับท่านเขยล้วนอยู่ด้วย นางยังด่าได้ไม่สาแก่ใจพอ
เฉินผิงอันเลือกขวดกระเบื้องสามขวดมาอย่างคุ้นเคย เนื้อบนสองแขนฉีกเหวอะเปื้อนไปด้วยเลือด สองมือก็มีกระดูกขาวโผล่มาเกินครึ่ง เขายังต้องทายาที่สีสันแตกต่างกันให้กับตัวเอง ยาทั้งสามสีนี้มีลำดับก่อนหลัง และตอนที่พันแผลเขาก็ยังมีอารมณ์พูดสัพยอกตัวเองว่า “ตามคำกล่าวในการสร้างเครื่องปั้นเตาเผามังกรของพวกเรา นี่เรียกว่าสามสีบนเครื่องเคลือบ ไม่ถือว่าเป็นสีเคลือบที่ราคาแพงอะไร ฮ่องเต้ต้าหลีแต่ละยุคสมัยก็มีน้อยคนนักที่จะเอามาใช้จริงๆ ส่วนใหญ่ล้วนนำมามอบให้เป็นของรางวัลแก่ขุนนางผู้มีคุณูปการมากกว่า ฮ่องเต้องค์ก่อนหน้าอดีตฮ่องเต้ของต้าหลีชื่นชอบลวดลายดอกไม้ลายเส้น บวกกับการลงเส้นสีทองบนเครื่องเคลือบอย่างมาก นั่นต่างหากที่เรียกว่างดงามอย่างแท้จริง ขั้นตอนซับซ้อน ยากมากกว่าที่จะทำสำเร็จได้ งามก็จริง แต่ก็ดูบ้านๆ ด้วย พวกเราไม่เคยมีโอกาสได้เห็นเครื่องเคลือบชิ้นที่สมบูรณ์แบบมาก่อน ข้าแค่เคยเห็นเศษชิ้นส่วนของมันจากภูเขาเครื่องกระเบื้องเท่านั้น ลวดลายสีสันฉูดฉาดมากเลยล่ะ การสร้างมันขึ้นมานั้นมีขั้นตอนที่ซับซ้อนจนถึงขั้นที่ว่าในบรรดาเตาเผามังกรหลายสิบแห่ง มีเพียงผู้เฒ่าเหยาตอนยังเป็นหนุ่มเท่านั้นที่ทำได้”
แรกเริ่มเฉินผิงอันยังกลัวว่าหนิงเหยาจะรังเกียจเรื่องยิบย่อยพวกนี้ คิดไม่ถึงว่าหนิงเหยาจะตั้งใจฟังมาก เฉินผิงอันจึงเล่าเรื่องน่าสนใจของชีวิตการเป็นลูกศิษย์ในเตาเผามังกรให้นางฟังมากกว่าเดิม
“ตอนที่เป็นลูกศิษย์ของที่นั่น หลิวเสี้ยนหยางมักจะลากข้าไปที่ภูเขาเครื่องกระเบื้องเป็นประจำ พอไปถึงที่นั่นเขาก็เลือกนั่นเลือกนี่ราวกับว่าพวกมันคือของล้ำค่าในบ้านตัวเอง เครื่องกระเบื้องเก่าใหม่ของแต่ละยุคสมัย เมื่อก่อนเคยเป็นภาชนะแบบใด ควรมีตราประทับแบบไหน ล้วนไม่ค่อยต่างจากเครื่องปั้นที่เขาปั้นกับมือมากนัก ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าทุกคนต่างก็ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ เรื่องของการเผาเครื่องปั้นนี้ก็จำเป็นต้องใช้พรสวรรค์จริงๆ เมื่อกลายเป็นผู้ฝึกตนแล้วหันไปมองเรื่องพิณ ภาพวาด หมากล้อม พู่กันอีกครั้ง แน่นอนว่าความรู้สึกย่อมเปลี่ยนไป มองไปแค่ปราดเดียวก็เห็นตำหนิข้อด้อยมากมาย ช่องโหว่มีนับไม่ถ้วน ไม่อาจต้านรับการทุบตีเล็กๆ น้อยๆ ได้เลย คำกล่าวที่ว่า ‘กลายเป็นคนบนภูเขา ฝันใหญ่ข้าสัมผัสได้ก่อน ถือเป็นเรื่องปกติ’ ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ”
“บิดาของซ่งจี๋ซินกลับชอบความเรียบง่ายกว่ามาก เตาเผามังกรของพวกเรารับผิดชอบเผาภาชนะขนาดใหญ่ให้แก่ทางราชสำนัก ลูกศิษย์อย่างพวกเราจะเรียกลักษณะพิเศษหลายๆ อย่างของภาชนะหนักที่เชื้อพระวงศ์ใช้สอยเหล่านี้กันเองว่า หลังหนีชิว หญ้าเติงฉ่าวเกิงและหนวดแมว ตอนนั้นยังเดากันว่าตาเฒ่าฮ่องเต้ที่มีเงินมากที่สุดในใต้หล้าผู้นั้นจะรู้คำเรียกขานเหล่านี้หรือไม่ ได้ยินมาว่าโอรสสวรรค์หนุ่มของทุกวันนี้กลับกลายเป็นชอบเครื่องปั้นที่สีสันฉูดฉาดอีกแล้ว แต่เมื่อเทียบกับท่านปู่ของเขาก็ถือว่าเบากว่ามาก”
หนิงเหยายิ้มกล่าว “ทำไมเจ้าถึงจำเรื่องตั้งมากมายขนาดนั้นได้ ข้ากลับจำไม่ได้แล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “ทำไมเจ้าถึงได้หลอกด่าคนอ้อมๆ แบบนี้ล่ะ?”
หนิงเหยามึนงง “ข้าด่าอะไรเจ้า?”
เฉินผิงอันกล่าว “ก็เจ้าไม่ได้กำลังบ่นว่าข้าไม่ตั้งใจฝึกตน ฝ่าทะลุขอบเขตช้าเกินไปหรอกหรือ?”
หนิงเหยางอนิ้ว เตรียมจะดีดลงบนข้างหนึ่งของเฉินผิงอันเบาๆ “หาเรื่องโดนตี”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ รีบเบี่ยงตัวหลบ “สตรีทั่วไปเห็นข้ามีสภาพน่าอนาถขนาดนี้ ป่านนี้ก็ร้องไห้ดุจดอกสาลี่พรมน้ำฝนไปแล้ว เจ้ากลับดีนัก ยังจะเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะอีก”
หนิงเหยาหยุดเดิน “อ้อ? ข้าทำให้เจ้าน้อยใจใช่ไหม?”
เฉินผิงอันสีหน้าเป็นปกติ ประกบสองขาติดกันแล้วกระโดดไปเบื้องหน้า โคลงศีรษะพลางพึมพำกับตัวเองว่า “หนิงเหยาที่ข้าชอบจะเป็นสตรีทั่วไปได้อย่างไร”
หนิงเหยายกเท้าถีบเฉินผิงอันที่อยู่ด้านหน้า
เฉินผิงอันที่ถูกถีบเข้าที่ก้นไถลตัวไปข้างหน้า เอาหัวทิ่มพื้น เรือนกายพลิกกลับ หยุดยืนนิ่งอย่างสง่างาม หันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “เจ้าอยากฝึกเรียนท่าฟ้าดินของข้าไหม?”
หนิงเหยาเดินไปข้างหน้าช้าๆ คร้านจะสนใจเขา
เฉินผิงอันพลิกตัวลงหยุดยืนอยู่ที่เดิม รอจนหนิงเหยาเดินมาเคียงไหล่ตนแล้ว ถึงได้เดินเล่นไปด้วยกันต่อ เขาถามเบาๆ ว่า “ผู้มีพรสวรรค์กลุ่มก่อนหน้าพวกเจ้า ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดกลุ่มน้อยที่มีอายุอยู่ระหว่างห้าสิบถึงหนึ่งร้อยปีพวกนั้นแข็งแกร่งมากหรือ? ข้าเคยเห็นแค่คนเดียวที่ร้านเตี๋ยจ้าง ผู้ฝึกกระบี่คอขวดก่อกำเนิด หวังจงผิง คนอื่นๆ ล้วนยังไม่เคยเจอมาก่อน”
หนิงเหยาไม่ได้รีบร้อนตอบคำถาม แต่ถามย้อนกลับว่า “ผู้ฝึกกระบี่ในยุคของพวกเรา มีผู้มีพรสวรรค์มากมาย คือช่วงเวลาอันดีงามที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเป็นพันๆ ปี เรื่องนี้เจ้าเคยได้ยินมานานแล้ว คนสามสิบกว่าคน หลังผ่านศึกใหญ่ไปสองครั้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่ายังเหลืออยู่อีกกี่คน?”
เฉินผิงอันกล่าว “บวกกับคนหกคนอย่างพวกกวอจู๋จิ่วที่ยังไม่เคยไปเยือนทางใต้ของกำแพงเมือง สามสิบสองคน ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ยี่สิบสี่คน รบตายไปแปดคน ครึ่งหนึ่งตายในศึกอันวุ่นวาย จางหรงที่พรสวรรค์ดีเยี่ยมที่สุดก็ยิ่งถูกปีศาจใหญ่ขอบเขตหยกดิบตนหนึ่งลอบสังหาร อาจารย์กระบี่ที่ช่วยปกป้องอยู่ข้างกายจางหรงที่ช่วยเหลืออีกฝ่ายไม่สำเร็จก็รบตายไปพร้อมกันด้วย”
หนิงเหยามองเฉินผิงอัน ดูเหมือนนางจะไม่ค่อยอยากพูดอะไรสักเท่าไร ถึงอย่างไรเจ้าก็รู้หมดทุกเรื่องแล้ว ยังจะถามอีกทำไม มีหลายเรื่องที่นางจำไม่ได้แล้ว แล้วก็จำได้ไม่ชัดเจนอย่างเขาด้วย
เพียงแต่มองเฉินผิงอันที่ทำท่าทางน่าสงสารแล้ว หนิงเหยาถึงได้เอ่ยว่า “ข้าต้องฝึกตน สายๆ หน่อยจะมาเล่าให้เจ้าฟัง”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปดื่มเหล้ากับท่านปู่น่าหลัน”
หนิงเหยาเพิ่มความเร็วฝีเท้า “ตามใจเจ้า”
เฉินผิงอันที่เดิมทีไม่ค่อยอยากดื่มเหล้า เวลานี้กลับนึกอยากดื่มเหล้าขึ้นมาจริงๆ แล้ว
หนิงเหยาไม่ได้หมุนตัวกลับ เพียงเอ่ยว่า “ดื่มให้น้อยหน่อย”
แม้ปากเฉินผิงอันจะตอบรับ และอันที่จริงเมื่อครู่นี้เขาก็ไม่ได้อยากดื่มสักเท่าไร ทว่าตอนนี้กลับอยากดื่มเยอะๆ ซะแล้ว
พอไปถึงเรือนที่พักของน่าหลันเย่สิง ผู้เฒ่ากำลังทอดถอนใจ ไม่ใช่ว่าดื่มเหล้าแล้วดับทุกข์ไม่ได้ แต่เป็นเพราะยายแก่นั่นเพิ่งจะจากไปหลังจากด่าเขาจนหนำใจนางแล้ว
น่าหลันเย่สิงยิ้มกล่าว “ดื่มหน่อยไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ผู้เฒ่าจึงรินเหล้าให้เขาถ้วยหนึ่ง ไม่กล้ารินเต็ม เพราะถึงอย่างไรว่าที่ท่านเขยก็ยังบาดเจ็บ กลัวว่ายายแก่นั่นจะมีข้ออ้างให้ด่าเขาอีก
สองแขนของเฉินผิงอันรัดผ้าพันแผลจนเหมือนบ๊ะจ่าง อันที่จริงเขาขยับไม่สะดวกนัก เพียงแต่ว่าเขาเป็นถึงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง จะดีจะชั่วก็ยังเรียนเวทคาถามาอยู่บ้าง จิตขยับเล็กน้อย บังคับเหล้าในถ้วยพาถ้วยขาวมาเบื้องหน้าตัวเอง แล้วก็เลียนแบบเฉินซานชิวด้วยการก้มหน้ากัดขอบถ้วยแล้วยกขึ้นมาเบาๆ ถ้วยเหล้าเอียงกระดกขึ้นเล็กน้อย เหล้าในถ้วยก็ไหลลงคอสู่ท้อง
น่าหลันเย่สิงคลี่ยิ้ม นี่ก็คือการเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม ดีมาก
เฉินผิงอันบ่นว่า “ท่านปู่น่าหลัน ทำไมถึงไม่ใช่ถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ร้านของพวกเราล่ะ”
น่าหลันเย่สิงยิ้มเอ่ย “ล้วนเป็นเหล้าที่เหลือเก็บไว้ในคลังของจวนหนิงปีนี้ ทุกๆ ต้นปีป๋ายหมัวมัวของเจ้าจะกำหนดจำนวนการดื่มที่แน่นอนมาให้ อีกเดี๋ยวก็จะสิ้นปีแล้ว ในบ้านจึงเหลืออยู่แค่ไม่กี่ไห ปีหน้าจะไปช่วยสนับสนุนกิจการเจ้าแน่นอน ไม่ต้องให้ข้าพูด ป๋ายหมัวมัวของเจ้าก็ไปซื้อมาเก็บไว้หลายไหแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “ท่านปู่น่าหลันแปลกใจใช่ไหมว่า เหตุใดปราณกระบี่สิบแปดหยุดของข้าถึงได้พัฒนาไปอย่างเชื่องช้าเช่นนี้?”
น่าหลันเย่สิงพยักหน้ารับ “ตามหลักแล้วไม่ควรช้าขนาดนี้ถึงจะถูก เพียงแต่คุณชายเฉินไม่พูด ข้าก็ไม่สะดวกจะถามมาก”
เฉินผิงอันอธิบาย “ช่องโพรงลมปราณสำคัญหนึ่งในนั้นที่ปราณกระบี่ต้องผ่านทางไป ก็เหมือนกับบนโต๊ะเหล้าตัวนี้ ยังคงมีของเก่าเก็บไว้อยู่ด้านใน”
น่าหลันเย่สิงถามอย่างประหลาดใจ “ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคนอื่นที่เคยเป็นของเซียนกระบี่ท่านหนึ่งแล้วคุณชายเฉินเอาไปเก็บไว้ชั่วคราวหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “คือปราณกระบี่เส้นหนึ่ง”
น่าหลันเย่สิงกล่าวอย่างตกตะลึง “ปราณกระบี่เส้นหนึ่ง?”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “คือปราณกระบี่ที่ ‘เล็กมากๆ’ เส้นหนึ่ง เรื่องที่มากกว่านี้ข้าไม่สะดวกจะพูดแล้ว”
จั่วโย่วเคยบอกว่ามีน่าหลันเย่สิงอยู่ข้างกาย อยากพูดอะไรก็ไม่ต้องกริ่งเกรง
ต่อให้มีเซียนกระบี่ในนครแอบใช้วิชามองภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือมาลอบตรวจสอบจวนหนิง ก็จะต้องหลีกเลี่ยงอดีตขอบเขตเซียนเหรินอย่างน่าหลันเย่สิงผู้นี้แน่นอน
ในใจของน่าหลันเย่สิงตื่นตะลึงสุดขีด แต่กลับไม่ได้ถามมาก เขาชูถ้วยเหล้าขึ้น “ไม่พูดแล้ว ดื่มกันเถอะ”
ยามอยู่กับน่าหลันเย่สิง เฉินผิงอันไม่ได้มีพิธีการอะไรมากนัก ต่อให้ท่วงท่าการดื่มเหล้าไม่สุภาพ ในใจก็ไม่รู้สึกผิดอะไร
แน่นอนว่าน่าหลันเย่สิงก็ยิ่งไม่ถือสายิ่งกว่า ท่านเขยของตัวเอง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็สบายตาสบายใจ วิชาหมัดสูง ฝึกกระบี่ไม่ช้า ความคิดรอบคอบ หน้าตาก็หล่อเหลา ประเด็นสำคัญคือยังเคยเรียนหนังสือมาก่อน ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้นับว่าหายาก สมกับเป็นคู่สร้างคู่สมกับคุณหนูของตนจริงๆ ก็ไม่แปลกที่ยายแก่ป๋ายเลี่ยนซวงผู้นั้นจะปกป้องเขาทุกเรื่อง
ในขณะที่หนึ่งคนแก่หนึ่งคนหนุ่มกำลังดื่มเหล้า
หนิงเหยาเองก็นั่งอยู่กับป๋ายหมัวมัว พูดคุยเรื่องความในใจ
หญิงชรามองคุณหนูของตนแล้วยิ้มถาม “ท่านเขยฝึกวิชากระบี่กับศิษย์พี่ เจอความลำบากเล็กน้อย ถือเป็นเรื่องดี ไม่ต้องสงสารเขามากเกินไป ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำให้จั่วโย่วยอมถ่ายทอดวิชากระบี่ให้อย่างสุดความสามารถเช่นนี้ได้ หลายปีมานี้ได้ยินมาว่ามีคนฉลาดมากมายที่คอยสรรหาวิธีการใหม่ๆ มาใกล้ชิดเซียนกระบี่ใหญ่ผู้นั้น จั่วโย่วเย่อหยิ่งทระนงตน ไม่เคยสนใจ ตามความเห็นข้า จั่วโย่วไม่ได้ยอมรับในตัวตนลูกศิษย์เหวินเซิ่งของท่านเขยพวกเรา แต่ยอมรับว่าเขาเป็นศิษย์น้องเล็กของตัวเองอย่างแท้จริง ถึงได้ยินดีทำเช่นนี้”
หนิงเหยาส่ายหน้า นอนฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ “ไม่ใช่เรื่องนี้”
หญิงชราเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด
หนิงเหยาขยับตัวลุกขึ้นนั่ง “เขาพูดจาน่าฟังได้มากมาย”
หญิงชราถาม “คุณหนูไม่ชอบหรือ?”
หนิงเหยาส่ายหน้า “ไม่ใช่ไม่ชอบ”
หญิงชราถามอีก “คุณหนูกังวลว่าเขาจะไปชอบคนอื่น”
หนิงเหยายังคงส่ายหน้า “ไม่ได้กังวล”
ในที่สุดหญิงชราก็อดไม่ไหวหัวเราะออกมา “เป็นเพราะรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปมากเกินไป ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าดูเหมือนตัวเองจะยังยืนอยู่ที่เดิม กลัวว่ามีวันใดที่เขาจะเดินนำอยู่เบื้องหน้าของตัวเอง ไม่ใช่กลัวว่าเขาจะขอบเขตสูงกว่าหรือเดินไปได้ไกลกว่า แต่กังวลว่าคนสองคนจะยิ่งไม่มีเรื่องให้พูดคุยกัน ใช่หรือไม่?”
หนิงเหยาที่ถูกพูดจี้ใจฟุบตัวลงนอนกับโต๊ะอีกครั้ง ท่าทางเหม่อลอย จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบาว่า “นับตั้งแต่เด็กข้าก็ไม่ชอบพูดคุย แต่เจ้าหมอนั่นกลับเป็นคนพูดมาก หลายเรื่องที่เขาพูด ข้าถึงขั้นไม่รู้ว่าควรจะรับคำอย่างไร หากเป็นอย่างนี้สักวันหนึ่งเขาจะรู้สึกว่าข้าเงียบขรึมเกินไป แน่นอนว่าเขาจะยังชอบข้า แต่เขากลับจะไม่ชอบพูดคุยกับข้าอีกแล้ว”
หญิงชราขำจนแทบหยุดไม่อยู่ เพียงแค่ไม่ได้ส่งเสียงหัวเราะออกมาก็เท่านั้น นางถามว่า “ทำไมคุณหนูไม่พูดเรื่องพวกนี้ไปตรงๆ ล่ะ?”
หนิงเหยาพูดอย่างขุ่นเคือง “ไม่อยากพูด เขาฉลาดขนาดนั้น ทุกวันเอาแต่ชอบคิดเรื่องอะไรไปเรื่อย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คิดหมด จะไม่รู้เชียวหรือ?”
หญิงชราเอ่ยสัพยอก “โชคดีที่ไม่ได้พูด ไม่อย่างนั้นท่านเขยของพวกเราคงน้อยใจแย่ จิตใจของสตรีก็เหมือนเข็มใต้มหาสมุทร ท่านเขยไม่ใช่หมอดูล่วงรู้เหตุการณ์ ไม่ใช่เทพเซียนที่คำนวณทุกเรื่องราวได้อย่างแม่นยำเสียหน่อย”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ อารมณ์เริ่มดีขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดีมากสักเท่าไร
หญิงชราไม่รีบร้อน
เพราะว่าความกลัดกลุ้มเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้
คาดว่าคงจะมีได้แค่ยามที่ชอบใครคนหนึ่งอย่างแท้จริงเท่านั้นกระมัง
ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้
บนหัวกำแพงเมือง ยามจื่อผ่านพ้นไป เว่ยจิ้นมายืนอยู่ข้างกายจั่วโย่ว ดื่มเหล้าภูเขาชิงเสินกาหนึ่งที่ยากเย็นนักกว่าจะซื้อมาได้ ที่ร้านจะขายแค่วันละหนึ่งกา เขาซื้อมาได้ก็หมายความว่าวันนี้ผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ ไม่มีหวังแล้ว
เว่ยจิ้นยิ้มถาม “ก่อนเฉินผิงอันจะฝึกกระบี่ได้บอกหรือไม่ว่าข้าแกล้งเขา?”
จั่วโย่วส่ายหน้า “มีแต่จะโดนซ้อมเปล่าๆ ศิษย์น้องเล็กคนนี้ของข้าไม่มีทางทำหรอก”
เว่ยจิ้นกล่าวอย่างระอาใจ “ฉลาดขนาดนี้เชียวหรือ?”
จั่วโย่วยิ้มกล่าว “อาจารย์เคยเล่าว่า กระบี่หนึ่งของเจ้า และกระบี่หนึ่งของข้าที่ร่องเจียวหลงต่างก็มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อเฉินผิงอัน”
เว่ยจิ้นอึ้งตะลึง ก่อนจะพยักหน้ารับ “ในอดีตข้าไปตามนัดของผู้อาวุโสอาเหลียงที่เรือนผีสาวสวมชุดแต่งงาน กระบี่ไปถึงก่อนคน แล้วก็ได้พบกับเฉินผิงอันที่ตอนนั้นยังเป็นเด็กหนุ่ม”
จั่วโย่วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “เจ้ารู้สึกว่าเพราะถูกความรักถ่วงรั้งไว้ ทำให้อืดอาดชักช้า ยากที่จะออกกระบี่ได้อย่างบริสุทธิ์ คนก็ยิ่งยากที่จะเดินขึ้นไปบนยอดเขาใช่ไหม?”
เว่ยจิ้นพยักหน้ารับ “มีความกังวลนี้อยู่จริง และความจริงก็เป็นเช่นนี้”
จั่วโย่วยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คิดผิดแล้ว ผิดมหันต์เลยล่ะ”