เว่ยจิ้นเก็บกาเหล้าลงไป ขยับนั่งตัวตรงอย่างสำรวม “ยินดีจะรับฟังคำสั่งสอนจากผู้อาวุโสจั่ว”
จั่วโย่วกล่าว “ผู้ฝึกกระบี่ฝึกกระบี่ ให้ความสำคัญกับอะไรที่สุด?”
เว่ยจิ้นส่ายหน้า “คำตอบมากมายในใจข้าย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้อาวุโสคิดไว้อย่างแน่นอน”
จั่วโย่วยกมือขึ้นทำเป็นท่ากุมกระบี่ “คือคนกุมกระบี่ เป็นเหตุให้เวทกระบี่สูงแค่ไหน วิถีกระบี่กว้างใหญ่เท่าไร สำหรับผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราแล้วก็ล้วนถือเป็นเรื่องเล็ก ต่อให้ในมือเจ้าจะกุมกระบี่เซียนทั้งห้าเล่มในตำนานเอาไว้ ไม่ว่าขอบเขตของเจ้าในเวลานี้จะคืออะไร จะใช่เซียนกระบี่หรือไม่ เจ้าต่างหากถึงจะเป็นผู้ที่กุมกระบี่”
จั่วโย่วดึงมือกลับ หันหน้ามาเอ่ยว่า “หากเพียงแค่ชอบสตรีคนหนึ่งก็ออกกระบี่ไม่ได้แล้ว จะถือว่าเป็นเซียนกระบี่ได้อย่างไร? เจ้าเว่ยจิ้นก็แค่มีคุณสมบัติในการฝึกกระบี่ที่ดี ถึงได้มีขอบเขตหยกดิบ นานวันเข้า หากอาศัยเพียงแค่พรสวรรค์และคุณสมบัติเพียงอย่างเดียว พวกมันก็ไม่สามารถประคับประคองให้เจ้าเดินไปสู่จุดสูงได้ ข้าแน่ใจเลยว่า หากเจ้าไม่ยอมฝ่าด่านในใจไปให้ได้เสียที ผลสำเร็จในท้ายที่สุดของเจ้าจะธรรมดามาก และวันหน้าก็ไม่ต้องมาพูดคุยกับข้าแล้ว”
เว่ยจิ้นกระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ พึมพำว่า “แต่ผู้น้อยก็ยังคงรู้สึกว่า บนโลกนี้มีเพียงความรักชายหญิงเท่านั้นที่ยาวยิ่งกว่าปราณกระบี่ ข้าตัดใจสะบั้นมันให้ขาดไม่ลง ถึงขั้นไม่ยินดีจะทิ้งมันไป คิดถึงนางก็ดื่มเหล้า เลอะๆ เลือนๆ ดั่งคนที่ถูกผีบังตาอยู่ในภูเขา เมื่อเทียบกับการที่ต้องขาดคนที่ชอบไปหนึ่งคน ได้ดื่มเหล้าน้อยลงไปจากเดิม แล้วสะพายกระบี่เดินขึ้นสู่ที่สูง สำหรับข้าแล้วกลับกลายเป็นว่าแบบนั้นดียิ่งกว่า”
จั่วโย่วส่ายหน้า “แบบนี้ก็ไร้ทางเยียวยาแล้ว”
เว่ยจิ้นถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าผู้น้อยก็ไม่สามารถมาพูดคุยกับผู้อาวุโสได้อีกแล้วใช่ไหม?”
จั่วโย่วยิ้มกล่าว “เซียนกระบี่เว่ยจิ้นไสหัวไปให้ไกล ผีขี้เหล้าเว่ยจิ้นสามารถมาบ่อยๆ ได้”
เว่ยจิ้นหัวเราะเสียงดังกังวาน กระดกเหล้าดื่มคำใหญ่ เตรียมจะถามว่าในใต้หล้าทั้งสี่นี้ มีกระบี่เซียนทั้งหมดสี่เล่ม นี่เป็นเรื่องจริงที่คนทั้งโลกล้วนรู้กันดี เหตุใดจั่วโย่วถึงได้บอกว่ามีห้าเล่ม?
เต๋าเหล่าเอ้อร์แห่งใต้หล้ามืดสลัวมีกระบี่เซียนหนึ่งเล่ม เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ครอบครองเล่มหนึ่ง และยังมีบัณฑิตที่ถูกขนานนามว่าเป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของโลกมนุษย์ผู้นั้นที่ได้ครอบครองเล่มหนึ่ง นอกจากนี้แล้วก็เล่าลือกันว่าหอสยบกระบี่หนึ่งในเก้าหอพิทักษ์เมืองของใต้หล้าไพศาล ได้สยบกำราบกระบี่เซียนเล่มสุดท้ายเอาไว้ ใต้หล้าทั้งสี่แห่งกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงไหน ทว่าอาวุธเซียนก็ยังคงมีอยู่ไม่มาก แต่ก็ไม่ถือว่าน้อย แต่ก็มีเพียงกระบี่ที่คู่ควรกับคำว่า ‘กระบี่เซียน’ เท่านั้นที่ตลอดหมื่นปีมานี้มีอยู่แค่สี่เล่ม ไม่มีทางมีเพิ่มได้อีก
เพียงแต่ว่ารอจนเว่ยจิ้นดื่มเหล้าหมดแล้วถามคำถามนี้อีกครั้ง เขาก็ต้องออกมาจากหัวกำแพงเมืองแห่งนี้แล้ว
เพราะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมาแล้ว
เว่ยจิ้นคารวะบอกลาแล้วออกมาจากหัวกำแพงเมือง
เฉินชิงตูยืนอยู่ริมกำแพง “แปลกใจมากใช่ไหมที่ตัวเองมีศิษย์น้องเล็กที่เป็นเช่นนี้ได้?”
จั่วโย่วพยักหน้ารับ แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไร
เด็กหนุ่มจ้าวเกาซู่ได้เรียนวิชากระบี่สิบแปดหยุด
ตอนนั้นจั่วโย่วใช้ปราณกระบี่ตัดขาดจากฟ้าดิน แล้วเฉินผิงอันก็เปิดปากเอ่ยประโยคนี้ออกมา
ในความเป็นจริงแล้วตอนนั้นเฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูด แต่กลับเอ่ยอีกชื่อหนึ่ง จ้าวซู่เซี่ย
อายุน้อยๆ ก็ระมัดระวังได้ถึงขั้นนี้ ขนาดจั่วโย่วยังรู้สึกตกตะลึงนิดๆ
สำหรับการที่เซียนกระบี่จั่วโย่วเพียงแค่พยักหน้ารับแต่ไม่เอ่ยอะไรซึ่งมองดูเหมือนไม่ให้ความเคารพกันมากพอนี้ ผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้ถือสา หากแม้แต่ความเย่อหยิ่งน้อยนิดแค่นี้ของจั่วโย่วเขายังให้อภัยไม่ได้ เซียนกระบี่มากมายที่อยู่นครทางเหนือและบนหัวกำแพงแห่งนี้ อยู่ภายใต้กระบี่ของเขาเฉินชิงตู จะยังมีคนรอดชีวิตได้สักกี่คน?
และจั่วโย่วก็ไม่แปลกใจที่เฉินชิงตูรู้เรื่องนี้
อยู่เหนือหัวกำแพงเมืองใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองฝ่าย เฉินชิงตูก็คือบุคคลที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทาน คาดว่าคงเป็นรองแค่ยามที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์อยู่ในศาลบุ๋น มรรคาจารย์เต๋าเฝ้าพิทักษ์ป๋ายอวี้จิง และศาสดาพุทธประทับแท่นดอกบัวก็เท่านั้น
และนี่ก็คือจุดที่จั่วโย่วจนใจมากที่สุด
แต่ขณะเดียวกันนี่ก็เป็นจุดที่ทำให้จั่วโย่วเคารพเลื่อมใสผู้เฒ่าท่านนี้ที่สุดเช่นกัน
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างพยายามจะโจมตีกำแพงเมืองมานานเป็นหมื่นปี แต่เพราะเหตุใดกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงยังตั้งตระหง่านไม่ล้มลง?
เหล่าปีศาจใหญ่ของตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างล้วนรู้กันดีอยู่แก่ใจว่า ขอแค่เป็นวันหนึ่งที่เฉินชิงตูยังไม่ตาย ต่อให้ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่จะไม่เหลืออยู่แล้ว พวกเขาก็ยังคงไปเยือนภูเขาห้อยหัว ไปเยือนใต้หล้าไพศาลไม่ได้อยู่ดี
แล้วก็มีเพียงเฉินชิงตูเท่านั้นที่สยบเหล่าผู้ฝึกกระบี่จอมพยศเย่อหยิ่งทางเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาได้นานเป็นหมื่นปี
มีเพียงผู้เฒ่าคนนี้ที่สามารถเอ่ยประโยคว่า ‘เจ้าอายุยังน้อย ข้าถึงใจกว้างยอมอภัย’ กับอิ่นกวานได้
เฉินชิงตูเอ่ย “รอให้ปัญหาน้อยใหญ่ในนครผ่านไปก่อน เจ้าบอกให้เฉินผิงอันมาพักที่กระท่อม ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี เมื่อไหร่ที่เขากลายเป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างสมชื่อแล้ว ข้าก็จะออกจากหัวกำแพงเมือง ไปช่วยเขาสู่ขอภรรยาด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่มีหน้าจะเปิดปากนี้ จะให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสคนหนึ่งแหกกฎทำเรื่องที่ไม่เคยทำ เหล้าหนึ่งร้าน โรงเรียนเล็กๆ หนึ่งแห่ง ยังซื้อไม่ได้หรอก”
จั่วโย่วเอ่ย “ต้องดูที่ความต้องการของเขา หากถึงเวลานั้นเจ้าไม่ไปตระกูลเหยา ข้าจะไปเอง”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “แบบนี้ไม่ประเสริฐแล้วนะ ไม่ว่าอาจารย์ของเจ้าอยู่ที่นี่ หรือศิษย์น้องเล็กของเจ้าที่อยู่ที่นี่ ก็ล้วนไม่มีทางพูดเช่นนี้”
จั่วโย่วขมวดคิ้ว “เจ้าเองก็จับตามองพวกเด็กๆ ของตรอกเก่าโทรมแถวร้านเหล้าด้วยหรือ? เฉินชิงตูที่ไม่เคยสนใจเรื่องอะไร กลับสนใจเรื่องแบบนี้ด้วย?
“ทำไมเล่า?”
เฉินชิงตูย้อนถาม “เวทกระบี่ของข้าสูงกว่าเจ้า ปณิธานกระบี่สูงกว่าเจ้า วิถีกระบี่สูงกว่าเจ้า ความรู้ก็ใหญ่กว่าเจ้า ขนาดเจ้ายังเก็บมาใส่ใจ แล้วข้าจะมองให้มากหน่อยไม่ได้เลยหรือ?”
จั่วโย่วสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าทนเจ้ามาสองครั้งแล้ว”
เฉินชิงตูยิ้มบางๆ “จุดที่ปราณกระบี่ยาวที่สุดก็ยังสู้คนอื่นไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องอดทนไปเสียแต่โดยดี”
จั่วโย่วหัวเราะเสียงเย็น “สามครั้ง”
เฉินชิงตูถาม “รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงยินดีจับตามองการสอนหนังสือทางฝั่งตรอกแห่งนั้นมากหน่อย?”
จั่วโย่วสีหน้าเฉยชา “นี่เกี่ยวพันกับปัญหาที่ใหญ่ที่สุดข้อหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ออกกระบี่มาหมื่นปี สังหารศัตรูมาหมื่นปี ยิ่งนานก็ยิ่งมีคนมากขึ้นที่ไม่รู้ว่าสรุปแล้วทำไปเพื่ออะไร เหตุใดถึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา แล้วเหตุใดถึงต้องตายไป”
เฉินชิงตูพยักหน้ารับ มองไปทางแสงตะเกียงของนครทางทิศเหนือ ตรงจุดที่เป็นบ้านของชนชั้นสูง แสงไฟสว่างเรืองรองราวกับเวลากลางวัน จุดที่เป็นตรอกเก่าโทรม มืดสนิทไปทั้งแถบ จุดที่สองสถานที่เชื่อมติดกันมีแสงสว่างประปราย
“เป็นตายเพื่ออะไร ถือว่ายังพูดง่าย เพราะถึงอย่างไรใจเห็นแก่ตัวก็เข้มข้น ยากที่จะทำให้คนรู้สึกได้อย่างแท้จริง”
สีหน้าของเฉินชิงตูเปลี่ยวเหงา “ข้าหวังมาตลอดว่าทางฝั่งนั้นจะมีคนที่ลงมือทำเอง คิดเอง และรู้สึกได้ด้วยตัวเอง รู้ต้นสายปลายเหตุ ที่มาของประวัติศาสตร์ทั้งหมด รู้ว่าตัวเองและคนในอดีตต้องจ่ายค่าตอบแทนแบบใดกันแน่ถึงยังคงสามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกซึ่งต่อให้จะเคียดแค้น น้อยเนื้อต่ำใจหรือเดือดดาลแค่ไหน ก็ยังคงออกกระบี่ คนและกระบี่ล้วนมุ่งไปทางทิศใต้ ตายก็คือตาย”
ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาแล้วยกขึ้นช้าๆ “แสงไฟในโลกมนุษย์ มีจุดแรกก่อน หนึ่งกำเนิดสอง สองกำเนิดสาม สามรวมกันเป็นธารดวงดาวสายใหญ่”
จั่วโย่วส่ายหน้า “ช้าไปแล้ว แพ้แล้ว”
เฉินชิงตูยิ้มเอ่ย “จั่วโย่วเอ๋ย ข้อนี้เจ้าก็สู้ศิษย์น้องเล็กของเจ้าไม่ได้แล้ว รู้ดีอยู่แก่ใจว่าแม้จะไร้ประโยชน์ ยากจะเปลี่ยนแปลงจุดจบที่ถูกกำหนดมาแล้ว แต่ก็ยังอดทนที่จะทำมัน”
จั่วโย่วไม่พูดไม่จา
เฉินชิงตูยิ้มถาม “สี่ครั้งแล้ว?”
จั่วโย่วเอ่ย “เปล่า”
เฉินชิงตูพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ซ้อมเจ้าแล้ว เหลือศักดิ์ศรีไว้ให้เจ้าบ้าง วันหน้าเวลาที่ถ่ายทอดวิชากระบี่ให้ศิษย์น้องตัวเองจะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดขัดเขินนัก”
จั่วโย่วกล่าว “ตอนนี้คือสี่ครั้งแล้ว”
เฉินชิงตูเอามือไพล่หลังเดินจากไป เพียงทิ้งประโยคหนึ่งเอาไว้ว่า “เมื่อเทียบกับการพูดคุยกับเจ้าแล้ว ข้ายังชอบฟังเฉินผิงอันพูดมากกว่า”
จั่วโย่วครุ่นคิด
ดูเหมือนว่าศิษย์น้องเล็กผู้นั้นจะเป็นที่รักใคร่เอ็นดู มีชะตาต้องกับพวกผู้อาวุโสมากกว่า
……
ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันเดินเล่นมาถึงแท่นสังหารมังกร หนิงเหยายังคงฝึกตน เฉินผิงอันจึงเดินไปบนลานประลองยุทธ แค่เดินเล่นเท่านั้น เดินวนเป็นวงกลม ในขณะที่จะเดินครบเต็มวง ฝีเท้าของเขาก็ขยับเบี่ยงออกไปด้านข้างเล็กน้อย จากนั้นก็เดินเป็นวงกลมที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หนิงเหยามาหยุดอยู่ข้างกายเขา เฉินผิงอันเองก็ไม่ประหลาดใจ
วิธีการอำพรางตัวของน่าหลันเย่สิง หนิงเหยาเรียนรู้จนเป็นมาตั้งนานแล้ว
ตลอดหลายปีมานี้ วัตถุที่หนิงเหยาหล่อหลอมไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก่อนกำเนิดที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดเล่มนั้น แต่เป็นวัตถุอีกอย่างหนึ่ง
แต่ต่อให้หนิงเหยาแค่เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาก็มากพอจะทำให้นางสังหารพวกผังหยวนจี้ ฉีโซ่วแล้วคว้าชัยชนะมาได้อย่างมั่นคงแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่หนิงเหยาเล่าให้ฟังตอนที่เฉินผิงอันคุยกับนางก่อนหน้านี้ ตอนที่เล่านางมีท่าทางสบายๆ เป็นธรรมชาติ แต่สายตากลับจับจ้องเฉินผิงอันเขม็ง
ตอนนั้นเฉินผิงอันกำลังคิดจะยื่นมือไปวางบนหลังมือของนาง จึงได้แต่หดมือกลับเงียบๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นพร้อมหัวเราะเก้อๆ ยกมือขึ้นพัดเอาลมใส่ตัวต่างพัด
คนทั้งสองเดินกันไปทางศาลา
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายหนิงเหยา
หนิงเหยาคุยเรื่องบทสนทนาเมื่อตอนกลางวันต่อ “คนรุ่นของหวังจงผิง ช่วงแรกเริ่มสุดสามารถรวบรวมได้ประมาณสิบคน เมื่อเทียบกับพวกเราแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอายุหรือว่าพรสวรรค์ด้านการฝึกตนก็ล้วนเป็นรองอยู่มาก หนึ่งในนั้นคือหมี่ชวนที่เดิมทีน่าจะมีผลสำเร็จบนมหามรรคาสูงที่สุด น่าเสียดายที่หมี่เฉวียนออกจากเมืองลงสนามรบครั้งแรกก็ตายแล้ว ตอนนี้เหลืออยู่แค่สามคน นอกจากหวังจงผิงที่บาดเจ็บสาหัส ติดร่างแหเดือดร้อนจากศึกของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินสองท่านที่มีทั้งฝั่งคนของตัวเองและฝั่งของศัตรู ทำให้ค้างอยู่ที่คอขวดก่อกำเนิดมาโดยตลอด ไม่อาจเดินหน้ามาหลายปีแล้ว ก็ยังมีหวังเวยและซูยง อันที่จริงคุณสมบัติก่อนกำเนิดของซูยงดีกว่าหวังจงผิงที่ปีนั้นอยู่ในลำดับรั้งท้ายเสียอีก แต่จิตแห่งกระบี่ไม่มั่นคงและบริสุทธิ์มากพอ เคยร่วมศึกใหญ่ก็จริง แต่กลับจงใจร่วมการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ ไม่กล้าทุ่มสุดชีวิตของตัวเอง มักจะคิดว่าหากฝึกตนอย่างสงบก็จะมีชีวิตอยู่ได้เป็นร้อยปี แล้วก็จะสามารถเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนไปทีละก้าวได้อย่างมั่นคง ถึงเวลานั้นค่อยทุ่มเทฝีมือในการเข่นฆ่า ผลกลับกลายเป็นว่าในศึกฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดที่อันตรายที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ซูยงไม่เพียงแต่ไม่สามารถเลื่อนเป็นหยกดิบ กลับยังถูกปณิธานกระบี่ของฟ้าดินผลักไสรังเกียจ ขอบเขตจึงถดถอย กลายไปเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่ห้องโอสถเละเทะ เต็มไปด้วยรูโหว่ให้ลมเข้า เงียบหายไปนานหลายปี วันๆ เอาแต่มั่วสุมอยู่ตามตรอกซอกซอยของหมู่ชาวบ้าน ทำตัวเป็นผีขี้เหล้านักพนัน มีชีวิตสู้หนูที่วิ่งข้ามถนนไม่ได้ด้วยซ้ำ ตอนที่พวกฉีโซ่วเป็นเด็กหนุ่มจะชอบเลี้ยงเหล้าซูยงมากที่สุด ขอแค่ได้ดื่มเหล้า ซูยงก็ไม่สนใจแล้วว่าจะถูกคนเยาะเย้ยเห็นเป็นตัวตลกหรือไม่ มีชีวิตเป็นคนก็ไม่ใช่คน เป็นผีก็ไม่ใช่ผี รอจนขอบเขตของพวกฉีโซ่วสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกว่าหัวเราะเยาะซูยงไปก็ไม่มีความหมาย ซูยงก็หันไปคอยรับจ้างวิ่งเต้นทำงานเล็กๆ น้อยๆ ให้ที่หอมายา หากได้เงินมานิดหน่อยก็จะซื้อเหล้าดื่ม แต่หากได้เงินมาเยอะก็จะไปเล่นพนัน”
เรื่องพวกนี้นางเองก็เพิ่งจะไปสืบมาจากป๋ายหมัวมัวเหมือนกัน
เฉินผิงอันถามอย่างตรงไปตรงมา “ซูยงผู้นี้จะรู้สึกอาฆาตต่อคนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือไม่?”
หนิงเหยาคิดแล้วก็ส่ายหน้า “น่าจะไม่ เมื่อหลายปีก่อนตอนที่อาเหลียงไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะดื่มเหล้าหรือเป็นเจ้ามือเดิมพัน ก็มักจะมีซูยงคอยติดตามอยู่ข้างกายเสมอ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีเพียงหวังเวยที่เป็นเซียนกระบี่แล้ว ในอดีตตอนที่เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองก็กลายเป็นผู้ถวายงานปลายแถวของตระกูลฉี เมื่อยี่สิบปีก่อนเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้สำเร็จจึงเปิดจวนของตัวเอง แต่งสตรีแซ่ใหญ่คนหนึ่งมาเป็นคู่บำเพ็ญเพียร ก็ถือว่าชีวิตสุขสมบูรณ์ดี ตอนอยู่ที่ร้านเหล้าข้าได้ยินคนคุยกันว่า ดูเหมือนหวังเวยจะเป็นคนมาที่หลังแต่เดินนำไปก่อน สามารถกลายมาเป็นเซียนกระบี่ได้ ค่อนข้างจะทำให้คนอื่นประหลาดใจอยู่เหมือนกัน”
หนิงเหยาเอ่ย “หวังเวยไม่ค่อยสะดุดตาจริงๆ นั่นแหละ ตอนที่อายุประมาณเก้าสิบปีก็ได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ในใต้หล้าไพศาล แน่นอนว่าหาได้ยาก แต่เมื่ออยู่ที่นี่ เขาหวังเวยได้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่มีชีวิตรอดมาได้ จึงกลายมาเป็นผู้นำของคนสิบกว่าคนของปีนั้น และก็ง่ายที่จะถูกนำมาเปรียบเทียบ เมื่อเทียบกับคนรุ่นอดีต หวังเวยธรรมดามากเกินไปจริงๆ หากเปรียบเทียบกับรุ่นของพวกเราก็อย่าว่าแต่ผังหยวนจี้ ฉีโซ่วและเกาเหย่โหวเลย แม้แต่พวกซานชิวกับเจ้าอ้วนเยี่ยนก็ยังดูแคลนหวังเวยที่เป็นเซียนกระบี่แล้วก็ยังชอบก้มหัวค้อมเอวให้ผู้อื่น”
หนิงเหยาเอ่ยเสียงเบา “เพียงแต่ว่าอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตอะไร สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ก็ถือว่าเป็นความสามารถที่ใหญ่ที่สุด หากตายไป ผู้มีพรสวรรค์ก็ดี เซียนกระบี่ก็ช่าง จะนับเป็นอะไรได้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวอย่างพวกเรา วันนี้ดื่มเหล้าหัวเราะเยาะพวกคนตกอับ เหน็บแนมว่าหวังเวยไม่สมกับเป็นเซียนกระบี่ บางทีศึกใหญ่ครั้งหน้าผ่านไป หวังเวยดื่มเหล้ากับสหายแล้วพูดถึงคนหนุ่มสาวบางคนก็อาจเป็นการพูดถึงคนที่ตายไปแล้วก็ได้”
หนิงเหยาพลันเอ่ยว่า “ขอเหล้าให้ข้าหนึ่งกา”
เฉินผิงอันยื่นมือออกมา ส่งเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ของร้านตัวเองไปให้ หนิงเหยาจึงเริ่มดื่มเหล้า “ท่านปู่เสี่ยวตงต่างหากถึงจะถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริง ขอบเขตถ้ำสถิตขึ้นไปอยู่บนหัวกำแพง ขอบเขตชมมหาสมุทรลงมาจากหัวกำแพง ขอบเขตประตูมังกรก็เริ่มสังหารปีศาจขอบเขตเดียวกันไปหลายสิบตน กับปีศาจขอบเขตโอสถทองไปอีกสามตน ได้ฉายาว่าคนบ้ากระบี่ ภายหลังออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปขัดเกลาปณิธานกระบี่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพียงลำพัง ตอนที่กลับมาก็ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนแล้ว ศึกใหญ่หลังจากนั้นก็สังหารปีศาจไปนับไม่ถ้วน ตอนนั้นท่านปู่เสี่ยวต่งก็ถูกขนานนามให้เป็นคนหนุ่มที่มีหวังว่าจะเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตบินทะยานมากที่สุด”
ต่งกวานพู่สมคบคิดกับปีศาจใหญ่ หลังจากเรื่องราวถูกเปิดเผย ฝูงชนก็พากันเดือดดาล ไม่รอให้ใต้เท้าอิ่นกวานลงมือด้วยตัวเอง ก็ถูกผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่เฉินชิงตูใช้หนึ่งกระบี่สังหารด้วยมือของตัวเอง
ปีนั้นเฉินผิงอันที่อยู่บนหัวกำแพงก็เคยเห็นภาพเหตุการณ์นี้กับตาตัวเองเช่นกัน