พอถูกเบี่ยงเบนความสนใจเช่นนี้ อารมณ์ของหนิงเหยาก็ดีขึ้นมาหลายส่วน นางยิ้มเอ่ยว่า “หากหลอมวัตถุสำเร็จ อีกสองวันข้าจะไปชมศึกสามด่านเป็นเพื่อนเขา”
หญิงชราเอ่ย “เมื่อก่อนคุณหนูไม่เห็นเคยสนใจเรื่องพวกนี้เลย”
หนิงเหยากล่าว “ตอนนี้ข้าก็ยังไม่สนใจ แค่จะไปผ่อนคลายอารมณ์เป็นเพื่อนเขาเท่านั้น”
เงียบไปครู่หนึ่ง หนิงเหยาก็เอ่ยว่า “ป๋ายหมัวมัวอาจมองไม่ออก มีเพียงการหลอมทองของห้าธาตุเท่านั้นที่เฉินผิงอันจะผ่านด่านไปได้ยากที่สุด”
หญิงชราถาม “ผ่านด่านทางใจได้ยาก หรือผ่านด่านการหลอมไปได้ยาก?”
หนิงเหยาตอบ “ทั้งคู่”
หญิงชราพลันอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาทันที กลายเป็นว่าเครียดยิ่งกว่าคุณหนูของตัวเองเสียอีก
หนิงเหยายิ้มกล่าว “ป๋ายหมัวมัว ไม่เป็นไร เฉินผิงอันมีวิธีแก้ปัญหายากให้ตัวเองได้เสมอ แล้วก็เป็นอย่างนี้มาตลอด หากรู้ว่าพวกเราไม่วางใจ เขาถึงจะไม่สบายใจ ไม่อย่างนั้นก็…”
หนิงเหยามองไปยังสนามประลองยุทธด้านนอกศาลา “ไม่มีความยากลำบากใดๆ ที่เขาขบไม่แตก กลืนลงไปไม่ได้” (ภาษาจีนคำว่าเผชิญความยากลำบากจะใช้คำว่าชือขู่ 吃苦 แปลตรงตัวว่ากินรสขม ดังนั้นจึงเอามาใช้กับคำว่าเคี้ยว คำว่ากลืนได้)
หญิงชราพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ดี”
หนิงเหยาหยิบตราประทับชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นให้หญิงชรา เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าแอบขโมยมา”
หญิงชราไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พอรับมาแล้ว เห็นตัวอักษรบนนั้นก็เหม่อลอยไป ก่อนจะเก็บเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง ยากจะปกปิดรอยยิ้มเอาไว้ได้ “ตัวอักษรของท่านเขย สลักได้สวยจริงๆ”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคนั้นที่ปลอบใจคนได้อย่างดีเยี่ยม
ผมดำย้อมเกล็ดหิมะ ยังคงเป็นคนงาม
หนิงเหยาส่ายหน้า “เขาเคยบอกว่า ตัวอักษรของเขาเคร่งขรึมตายตัวอย่างมาก นอกจากตัวอักษรแบบบรรจงที่พอจะนับว่าถูไถ อักษรแบบหวัดก็แค่เรียนมาอย่างผิวเผินเท่านั้น เมื่ออยู่ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญก็มีแต่จะเป็นที่ขบขันของผู้อื่น แต่หากจะเอาฝีมือของเขามารับมือกับตราประทับวัสดุธรรมดาพวกนี้กลับมากพอเหลือแหล่”
นอกห้องลับ น่าหลันเย่สิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว เฉินผิงอันถึงยังไม่จุดไฟเปิดเตาเสียที
ในห้องลับ เฉินผิงอันนั่งหลับตารวบรวมสมาธิ แต่กลับเหม่อลอย
……
ในจวนมลังเมลืองที่แทบจะอยากจะติดตัวอักษรใหญ่ๆ สี่คำว่า ‘บ้านข้ามีเงิน’ ให้เต็มกำแพงของตระกูลเยี่ยน เจ้าอ้วนเยี่ยนกำลังกระวนกระวายไม่เป็นสุข ตราประทับชิ้นนั้นเขาได้มาแล้วก็รีบร้อนเอากลับมาที่บ้านด้วยความดีใจ แต่กลับรู้สึกลำบากใจขึ้นมา เขาไม่กล้าหยิบออกมา เลยถ่วงเวลาไว้ตลอด
วันนี้เขาจึงมาเดินป้วนเปี้ยนวนไปวนมาอยู่ในระเบียงนอกห้องหนังสือของบิดา
ห้องหนังสือของบิดาไม่มีประตู นี่ก็เพื่อให้เจ้าประมุขตระกูลเยี่ยนท่านนี้เข้าออกได้สะดวก
อันที่จริงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย แต่บิดาของเยี่ยนจั๋วเป็นคนตัดสินใจเอง สั่งให้คนถอดประตูออก บอกว่าไม่มีแขนสองข้างก็คือไม่มีแล้ว ใช้ปราณกระบี่เปิดปิดประตู หาเรื่องสนุกให้ตัวเองทำงั้นหรือ?
เยี่ยนหมิงสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของบุตรชายตัวเองที่อยู่ในระเบียงได้นานแล้ว คนตัวอ้วนขนาดนั้น เดินทีก็สะเทือนไปถึงชั้นฟ้า ต่อให้ทุกวันนี้ตบะของเขาเยี่ยนหมิงไม่ได้เรื่องแค่ไหน แต่จะดีจะชั่วก็เป็นก่อกำเนิด จะไม่รู้ได้อย่างไร
เยี่ยนหมิงขมวดคิ้วเอ่ย “หากไม่เข้ามาในห้องก็รีบไสหัวไป”
สำหรับบิดาท่านนี้ เยี่ยนจั๋วเคารพยำเกรงอย่างถึงที่สดุ ช่วยไม่ได้ นับตั้งแต่เด็กมาก็โดนตีจนกลัว ภายหลังท่านพ่อของเขาคงถอดใจอย่างสิ้นเชิงแล้ว จึงถึงขั้นไม่เหลือแม้แต่อารมณ์จะดุด่าผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเยี่ยนอย่างเขา จนกระทั่งครั้งนั้นที่แบกเยี่ยนจั๋วกลับมาบ้าน ภายหลังบุรุษถึงพอจะมีสีหน้าดีๆ ให้บุตรชายเห็นบ้าง บางครั้งก็จะถามถึงพัฒนาการในการฝึกตนของเยี่ยนจั๋ว จากนั้นมาสตรีที่ความสามารถสูงสุดในชีวิตนี้คือรักและเอ็นดูบุตรชายคนเดียวก็คงจะได้รับแรงกระตุ้นอะไรบางอย่าง ถึงกลับกลายมาเป็นคนที่เริ่มเข้มงวดกับเยี่ยนจั๋วแทน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกตน การทำการค้า หรือการคบหาสหายก็ล้วนควบคุมเยี่ยนจั๋วอย่างเข้มงวด
เยี่ยนจั๋วเตรียมจะไสหัวไปตามจิตใต้สำนึก เพียงแต่พอเดินไปได้สองสามก้าว สุดท้ายก็กัดฟันเดินไปทางห้องหนังสือ ข้ามธรณีประตูเข้าไป
เยี่ยนจั๋วคือบุรุษวัยกลางคนที่ไม่ชอบหัวเราะพูดคุย ชายแขนเสื้อสองข้างว่างเปล่า เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ บนโต๊ะด้านหน้าวางหนังสือไว้จนเต็ม มีภูตน้อยตนหนึ่งรับหน้าที่คอยเปิดหน้าหนังสือให้เขา
เยี่ยนหมิงขมวดคิ้วถาม “มีธุระรึ?”
เยี่ยนจั๋วหยิบตราประทับชิ้นนั้นออกมาวางบนโต๊ะอย่างกล้าๆ กลัว “ท่านพ่อ มอบให้ท่าน ไม่มีธุระแล้ว ข้าไปล่ะนะ”
เยี่ยนหมิงอึ้งตะลึง นั่นคือตราประทับที่ทำมาจากวัสดุธรรมดา จึงถามว่า “ไม่มีเงินใช้? ก็เลยเอาเจ้านี่มามอบให้ข้า?”
เยี่ยนจั๋วหน้าแดงก่ำ แต่ไม่กล้าอธิบายอะไร เขาก้มหน้าเดินก้าวเร็วๆ ออกไปจากห้องหนังสือ
ออกมาจากระเบียงนั้นแล้ว เยี่ยนจั๋วก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ทางฝั่งของห้องหนังสือ ภูตน้อยที่อ่อนโยนว่าง่ายตนนั้นกระโดดโลดเต้นไปหยุดอยู่ข้างตราประทับ ย่อตัวลงทำท่าเหมือนแบกท่อนไม้ พลิกด้านล่างของตราประทับให้เจ้านายได้เห็น
เยี่ยนหมิงมองอยู่นาน แล้วจู่ๆ ก็พลันถามว่า “เจ้าว่าข้าเข้มงวดกับจั๋วเอ๋อร์มากไปไหม?”
ภูตน้อยพยักหน้ารับอย่างแรง
เยี่ยนหมิงหัวเราะ หันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง จุดที่อยู่ห่างไปไกลมีกำแพงเมืองสูงใหญ่
มิกล้าพกกระบี่ขึ้นหัวกำแพงเมือง ด้วยกลัวขับไล่จันทร์สามดวงให้ถอยหนี
พ่อเจ้าอย่างข้า ไหนเลยจะมีความสามารถเช่นนั้น
ภูตน้อยกะพริบตาปริบๆ มันรับใช้นายท่านด้วยความระมัดระวังรอบคอบมานานหลายปี ยังไม่เคยเห็นนายท่านยิ้มแบบนี้มาก่อนเลย
บนหัวกำแพงเมือง
วิญญูชนหวังไจ่เพิ่งจะมอบตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่เล่มหนึ่งที่เพิ่งจัดพิมพ์ใหม่ให้แก่เย่เหล่าเหลียนอริยะลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้
เป็นการจัดพิมพ์แบบหยาบๆ อยู่ไกลเกินกว่าจะทัดเทียมกับตำราตราประทับของใต้หล้าไพศาลได้ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเทียบตำราตราประทับที่ตระกูลปัญญาชนตั้งใจเก็บรวบรวมเอาไว้เลย
อริยะเปิดอ่านไปทีละหน้า หากเจอจุดที่ถูกใจก็จะคลี่ยิ้ม
ไร้ที่ท่องเที่ยวแห่งขุนเขาสายน้ำ แต่กลับเป็นนครที่สูงที่สุดของโลกมนุษย์
สถานที่ที่เด็กๆ หยอกล้อสนุกสนาน ช่วงเวลายามเซียนกระบี่ร่ำสุรา
เมื่ออริยะลัทธิขงจื๊อท่านนี้เปิดไปเจอหน้าหนึ่งก็หยุดมือ พยักหน้ากับตัวเองเบาๆ
หวังไจ่มองไป คือประโยคที่ว่า ‘ยามน้ำค้างลง (ซวงเจี้ยง) มอบลูกพลับและส้มสามร้อยผล’ เขาก็คลี่ยิ้มเช่นกัน เอ่ยว่า “บางทีในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้อาจจะไม่มีคนรู้ถึงความน่าสนใจของประโยคนี้”
อริยะลัทธิขงจื๊อยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีคนที่ทั้งมีเงินและมีเวลาว่างไปหาซื้อหนังสือ เปิดอ่านหนังสือ ตามหาจุดกำเนิดของตราประทับนี้”
……
ราชวงศ์เส้าหยวนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็เหมือนราชวงศ์จูอิ๋งของแจกันสมบัติทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่อยู่มาก
ดังนั้นศึกสามด่านของวันนี้จึงมีผู้ที่มาร่วมชมศึกมากมาย
สถานที่เลือกเป็นถนนเสวียนฮู่ซึ่งมีแซ่ใหญ่เป็นเพื่อนบ้าน ตระกูลคนรวยอยู่รวมตัวกัน
การที่ไม่ได้เลือกถนนไท่เซี่ยงซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านเฉินซานชิวและต่งฮว่าฝู แน่นอนว่าเป็นเพราะไม่กล้า อีกทั้งต่อให้ทั้งสองฝ่ายกล้าจะเลือกที่แห่งนี้ คาดว่าก็คงไม่มีใครไปชมศึกเช่นกัน
เจ้าอ้วนเยี่ยนเขย่งปลายเท้า กวาดตามองไปรอบด้าน พูดอย่างสงสัยว่า “พี่น้องเฉินของข้าทำไมถึงยังไม่มาล่ะ?”
ต่งฮว่าฝูแทะขนมแผ่นแป้งชิ้นใหญ่ ยามที่นายน้อยตระกูลต่งซื้อของมักจะให้ลงบัญชีเป็นชื่อของเฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋วเสมอ
ฟ่านต้าเช่อชำเลืองตามองประตูใหญ่ของตระกูลหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกล เฉินซานชิวตบไหล่ของเขา ฟ่านต้าเช่อยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร”
สองฝั่งของถนนใหญ่แบ่งออกเป็นกลุ่มผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นที่มีฉีโซ่วและเกาเหย่โหวเป็นผู้นำ รวมไปถึงผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่มีเหยียนลวี่และเจี่ยงกวนเฉิงเป็นหนึ่งในนั้นซึ่งพากันยืนห้อมล้อมหลินจวินปี้ดุงดั่งดวงดาวล้อมดวงเดือน ส่วนเปียนจิ้งที่อยู่ในกลุ่มคนก็ยังคงเป็นคนที่ไม่สะดุดตาที่สุดอยู่เช่นเดิม
น้องสาวของเกาเหย่โหวอย่างเกาโย่วชิงเป็นผู้เฝ้าด่านแรก เกาเหย่โหว่ที่คราวก่อนไม่ได้มาชมศึก วันนี้ย่อมมาอยู่ที่สนามประลองด้วย ผังหยวนจี้ยืนอยู่ข้างกายเกาเหย่โหว กำลังบอกเกาโย่วชิงถึงเรื่องที่นางควรต้องระวัง ไม่ใช่ว่าเกาเหย่โหวไม่อยากเป็นคนพูดเอง แต่เป็นเพราะน้องสาวของเขาคนนี้ไม่ชอบฟังเขาพูดจู้จี้จริงๆ
หลินจวินปี้เดินออกมาข้างหน้าช้าๆ เกาโย่วชิงเองก็ก้าวยาวๆ ไปด้านหน้า
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีท่าทีว่าจะออกกระบี่ เพียงแค่ดึงระยะห่างเข้ามาใกล้กันเรื่อยๆ
มีผู้ฝึกกระบี่เซียนดินกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนขั้นบันไดของบ้านหลังหนึ่ง เขายิ้มเอ่ยว่า “แม่หนูเกา อีกฝ่ายหล่อเหลาจริงๆ มากพอจะคู่ควรกับเจ้าแล้ว ขอแค่เอาชนะเขาได้ แบกเขาขึ้นบ่าแล้วรีบวิ่งให้ไว หาสถานที่ที่ไม่มีคน อยากทำอะไรก็ทำเลย!”
เกาโย่วชิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน จิตใจแน่วแน่ จ้องเด็กหนุ่มที่ยิ่งเดินก็ยิ่งขยับเข้ามาใกล้ผู้นั้นเขม็ง
หลินจวินปี้กลับมีท่าทางผ่อนคลายสบายอารมณ์ กวาดตามองไปรอบด้าน มองประเมินบ้านเรือนสองข้างทางของถนนเสวียนฮู่
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรสองคน
แค่กระบี่เดียวก็สามารถแบ่งแยกสูงต่ำได้แล้ว
เกาโย่วชิงเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาก่อน กระบี่บินของนางแหวกอากาศมาถึงในเสี้ยววินาที ไม่เน้นในเรื่องพลังอำนาจ
กระบี่บินของหลินจวินปี้โผล่มาทีหลัง ทว่าไม่เพียงแต่โจมตีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเกาโย่วชิงไปได้อย่างง่ายดาย ยังมาหยุดลอยอยู่ตรงหว่างคิ้วของเกาโย่วชิงได้ในเสี้ยววินาที
เกาโย่วชิงหน้าซีดขาว
กระบี่บินตรงหว่างคิ้วพลันหายวับไป หลินจวินปี้ก็หมุนตัวกลับเดินจากไปแล้ว
เหยียนลวี่สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เดินออกมาจากกลุ่มคน เดินสวนไหล่กับหลินจวินปี้ไป
หลินจวินปี้ยิ้มบางๆ เอ่ยกับเขาว่า “เจ้าสามารถแบ่งแพ้ชนะให้ช้าสักหน่อยก็ได้”
เหยียนลวี่พยักหน้ารับหนักๆ
ผู้ฝึกกระบี่มากมายที่มาชมศึกอยู่สองด้านของถนนไม่มีใครส่งเสียงผิวปากหรือสบถด่า การต่อสู้ของขอบเขตเดียวกัน สามารถแบ่งแพ้ชนะได้ในเสี้ยววินาทีก็ถือเป็นความสามารถของอีกฝ่าย
แต่เจ้าเด็กหนุ่มนั่นช่างน่าเตะจริงๆ
เกือบจะตามมาทันเถ้าแก่รองของร้านเหล้าแล้ว
นึกถึงใคร คนนั้นก็มา
เถ้าแก่รองผู้นั้นเดินเคียงบ่ามาพร้อมกับหนิงเหยา ปรากฏตัวจากฝั่งถนนของหลินจวินปี้พอดี
หลินจวินปี้มองบุรุษชุดเขียวที่หน้าซีดขาวน้อยๆ เหมือนคนป่วยแล้วก็คลี่ยิ้ม มองทีเดียวก็ไม่มองอีก กลับเป็นสตรีที่อยู่ข้างกายคนผู้นั้น ว่ากันว่าร้ายกาจอย่างมาก ถ้อยคำงดงามที่กล่าวถึงนางมีมากมายจนนับไม่ถ้วน ตอนที่อยู่ในสวนดอกเหมยของภูเขาห้อยหัว เขาหลินจวินปี้ก็ได้ยินได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับอีกฝ่ายมาไม่น้อย เพียงแต่ว่าเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรด้วยอายุที่ไม่ถึงสิบปีจะร้ายกาจได้อย่างไร? เป็นผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองด้วยอายุยี่สิบกว่าๆ แต่ก็ยังไม่ได้เป็นก่อกำเนิดไม่ใช่หรือ? นั่นก็ยิ่งไม่อาจถือว่าร้ายกาจจนไร้ศัตรูทัดทานไม่ใช่หรือ?
หลินจวินปี้ส่ายหน้า เขามองนางอยู่นานหน่อยถึงขั้นยังไม่รู้สึกว่านางเป็นสตรีที่งดงามสักเท่าไร เทียบกับหนิงเหยาแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ในจินตนาการแล้ว ถือว่าด้อยกว่ามาก
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เดินไปข้างหน้าช้าๆ หันหน้าไปมองเด็กหนุ่มคนนั้นแล้วยิ้มกล่าวว่า “ควบคุมดวงตาของเจ้าให้ดี”
เสียงผิวปากหวีดหวิวพลันดังระงมมาจากถนนทั้งเส้น สัพยอกคนของตัวเอง อันที่จริงกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยออมแรงเลยแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะกับเถ้าแก่รองผู้นั้น เขาไม่ใช่แม่นางน้อยอย่างเกาโย่วชิง ไอ้หมอนี่หน้าหนานักล่ะ หาเงินได้ไร้มโนธรรมยิ่งกว่ายามต่อสู้เสียอีก
หลินจวินปี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หมายถึงตัวเจ้าเองหรือ?”
เฉินผิงอันพูดจบก็ไม่มองเด็กหนุ่มคนนี้อีก กลับหันไปมองหาเปียนจิ้งที่หลบอยู่ในกลุ่มคนแทน
เปียนจิ้งมีสีหน้าเป็นปกติ แต่ในใจกลับบ่นพึมพำ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ร้านเหล้าตนเผยพิรุธหรือ? ไม่น่าจะใช่นะ
หนิงเหยากระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน เฉินผิงอันจึงหยุดเดิน ถามเสียงเบา “ทำไมหรือ?”
หนิงเหยามองเขา
เฉินผิงอันจึงพยักหน้ายิ้มให้
ดังนั้นหนิงเหยาจึงหันไปพูดกับหลินจวินปี้ว่า “บอกให้เจ้าควบคุมดวงตาตัวเองให้ดี เจ้าก็จงควบคุมให้ดี”
หลินจวินปี้กระตุกมุมปาก
จากนั้นหนิงเหยาก็เอ่ยประโยคหนึ่ง
ประโยคที่ทำให้ตลอดทั้งถนนเงียบสงัดลงไปในเสี้ยววินาที
เฉินซานชิวมองสบตากับเยี่ยนจั๋ว ต่างก็มองออกถึงแววเวทนาในสายตาของอีกฝ่าย ดังนั้นคนทั้งสองจึงต้องกลั้นยิ้มกันอย่างยากลำบาก
ไม่เพียงเท่านี้ เซียนกระบี่ท่านหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองยังถึงขั้นขี่กระบี่ตรงมา แม้แต่วิชาอภินิหารมองภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือก็ยังไม่ใช้แล้ว
เพราะเมื่อครู่นี้หนิงเหยาเอ่ยว่า “หากเจ้ากล้าฝ่าทะลุขอบเขตล่วงหน้า ใช้ขอบเขตประตูมังกรออกกระบี่ ข้าก็จะกดเจ้าให้อยู่ขอบเขตชมมหาสมุทร หากเจ้ากล้าฝ่าด่านทะลุขอบเขตอีกครั้ง ใช้โอสถทองออกกระบี่ ข้าก็จะกดเจ้าให้อยู่ขอบเขตประตูมังกร ตอนนี้เจ้าจะยอมแพ้หรือไม่?”