กระบี่จงมา – ตอนที่ 596.3 สิบเซียนกระบี่บนยอดเขาของกำแพงเมืองปราณกระบี่

สมบัติอาคมหรืออาวุธกึ่งเซียนบนภูเขา ต่อให้เป็นสมบัติตระกูลเซียนที่มีระดับขั้นเหมือนกัน แต่ก็มีการแบ่งสูงต่ำ ที่มีความต่างสูงราวฟ้ากับเหว

น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ชิ้นหนึ่งที่เป็นอาวุธกึ่งเซียนแทบจะสามารถทัดเทียมกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มรรคาจารย์เต๋าทิ้งไว้ในปีนั้นได้เลย นี่จึงเป็นเหตุให้ถูกมองเป็นอาวุธเซียน

ตอนที่เซียนกระบี่แห่งอุตรกุรุทวีปท่านนั้นออกจากบ้านเกิดได้พาเถาน้ำเต้าต้นนั้นมาปลูกที่นี่ด้วย จวนชุนฟานได้รับการปกป้องจากภูเขาห้อยหัว ไม่ได้รับอิทธิพลจากการรบกวนของโลกภายนอก นี่ถือเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดยิ่ง

เพียงแต่ว่าน้ำเต้าสิบสี่ลูกที่ยังไม่สุกงอมอย่างเต็มที่นี้ สุดท้ายสามารถหล่อหลอมเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ได้สักครึ่งหนึ่ง ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว มากพอจะทำให้ชื่อเสียงของเรือนชุนฟานเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า ได้กำไรกลับมาเป็นกอบเป็นกำ ประเด็นสำคัญคือยังสามารถอาศัยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูกหรือมากกว่านั้นไปผูกมิตรกับเซียนกระบี่อย่างน้อยก็เจ็ดคน

ไม่แน่ว่าอาศัยควันธูปเหล่านี้ เจ้าของเรือนชุนฟานอาจยังมีหวังว่าจะได้ก่อสำนักตั้งพรรคขึ้นมาในทวีปใดของใต้หล้าไพศาลแล้วกลายเป็นบรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาก็เป็นได้

ดังนั้นป๋ายโส่วถึงได้พะวงถึงเรือนชุนฟานตลอดเวลาเช่นนี้

แล้วนับประสาอะไรกับที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีชาดลูกนั้นของเฉินผิงอันยังเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ในตำนานลูกหนึ่ง ตอนนั้นที่อยู่บนยอดเขาเพียนหรานก็ทำให้เด็กหนุ่มน้ำลายสออยากได้จะตายอยู่แล้ว

หากตนเองก็เป็นเหมือนพี่น้องเฉินที่เอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบหนึ่งมาบรรจุเหล้าดื่ม ออกท่องไปในยุทธภพ จะมีหน้ามีตาแค่ไหนกัน?

เพียงแต่ว่าถึงอย่างไรพี่น้องเฉินก็หน้าบางไปสักหน่อย ไม่ยอมฟังคำแนะนำของเขาที่บอกให้สลักสามตัวอักษรใหญ่ๆ ว่า ‘น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่’ ลงไปบนกาเหล้า

ฉีจิ่งหลงพยักหน้า “ไปแน่ แต่ไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวอีกเจ็ดแห่งก่อนค่อยกว่ากัน ตอนนี้หากคนนอกคิดจะเดินทางจากภูเขาห้อยหัวไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นเรื่องยากอย่างถึงที่สุด พวกเราจำเป็นต้องสานสัมพันธ์กับเรือนชุนฟานและขอให้พวกเขารับรองให้”

ป๋ายโส่วที่ตอนอยู่ภูเขาลั่วพั่วห่อเหี่ยวหม่นหมอง พอได้ยินว่าจะมีเรื่องสนุก จิตวิญญาณก็กลับเข้าร่างได้หลายส่วน เอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าช่วยจองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเรือนชุนฟานให้ข้าลูกหนึ่งได้หรือไม่ ข้าเองก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมาย เอาแค่ลูกที่ระดับขั้นต่ำสุดก็พอ ถือเป็นของขวัญรับลูกศิษย์จากเจ้า? สำนักกระบี่ไท่ฮุยเป็นสำนักใหญ่ขนาดนั้น อีกอย่างเจ้าก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบแล้ว ของขวัญรับลูกศิษย์จะแย่นักไม่ได้ เจ้าดูอย่างพี่น้องเฉินคนนั้นของข้าสิ พอศาลบรรพจารย์สร้างขึ้นสำเร็จก็ส่งมอบของขวัญให้ฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ มีชิ้นใดบ้างที่ไม่ใช่ของที่มีมูลค่าควรเมือง? คนแซ่หลิว จะดีจะชั่วเจ้าก็ควรต้องเลียนแบบเรื่องดีๆ จากพี่น้องเฉินมาบ้างกระมัง?”

อันที่จริงเด็กหนุ่มก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้คิดว่าหลิวจิ่งหลงจะตกลงจริงๆ สมบัติล้ำค่าของผู้ฝึกกระบี่ที่ทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้อย่างน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ระดับขั้นสูงมากพอ ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีอยู่ในครอบครอง เพราะวัตถุดุจขนหงส์เขากิเลนอย่างน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่นี้ น่ากระอักกระอ่วนยิ่งกว่าวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อเสียอีก ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสูงแล้ว แต่ระดับขั้นของน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่กลับต่ำ กลับกลายเป็นว่าจะไปถ่วงรั้งการบำรุงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต แต่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ทำให้เซียนกระบี่หมายตานั้นก็เรียกได้ว่าได้แต่ปรารถนาแต่ไม่อาจได้มาครอบครอง

แต่ไม่ว่าอย่างไรป๋ายโส่วก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าคนที่ดื่มชาอย่างเนิบช้าผู้นั้นจะพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าจะลองเปิดปากถามดู แต่จะสำเร็จหรือไม่ ข้าไม่รับรอง หากได้ยินประโยคนี้แล้วทำให้เจ้าเกิดความคาดหวังสูงเกินไป ถึงเวลานั้นผิดหวังแล้วจะมาพานโกรธใส่ข้า แต่ผลคือเก็บอารมณ์ได้ไม่ดีพอ ถูกข้ามองออก ก็ถือว่าเป็นความผิดของอาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาอย่างข้า ถึงเวลานั้นเจ้าและข้าก็มาร่วมฝึกฝนจิตใจไปด้วยกัน”

เป็นครั้งแรกที่ป๋ายโส่วไม่เกิดอคติต่อคำพูดจู้จี้จุกจิกของคนแซ่หลิว เขาปิติยินดีอย่างหนัก พูดอย่างตกตะลึงว่า “คนแซ่หลิว! ยินดีจะเปิดปากให้ข้าจริงๆ หรือ?!”

คนแซ่หลิวผู้นี้มีแต่นิสัยแย่ๆ เต็มไปหมด มีดีแค่อย่างเดียวคือพูดคำไหนคำนั้น

ฉีจิ่งหลงย้อนถาม “ตอนอยู่ในศาลบรรพจารย์ เจ้ากราบอาจารย์ ข้ารับลูกศิษย์ ในฐานะผู้ถ่ายทอดมรรคา ตามหลักแล้วควรจะมอบของขวัญรับศิษย์ชิ้นหนึ่งให้ลูกศิษย์ เจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ผู้สืบทอดสายตรงของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่ไท่ฮุย ได้ครอบครองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่งที่ไม่ธรรมดา เป็นประโยชน์ต่อมหามรรคาอย่างยิ่ง ใช้วิธีการที่ถูกต้องมาเลี้ยงกระบี่ให้เร็วยิ่งกว่าเดิม ก็จะมีเวลาเอาไปฝึกตนมากขึ้น เหตุใดข้าจะไม่ยินดีเปิดปาก? ข้าไม่ได้สร้างความลำบากใจให้คนอื่นด้วยการบีบให้เรือนชุนฟานต้องขายน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่งให้เสียหน่อย”

ป๋ายโส่วอึ้งตะลึงไป ก่อนจะพึมพำว่า “ก็ข้าเห็นว่าเจ้าออกจากบ้านไม่เคยพกเงิน ดูไม่เหมือนคนใจกว้างเลยสักนิดนี่นา”

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “คนคนหนึ่งใจกว้างหรือไม่ ไม่ได้เห็นนิสัยกันแค่เรื่องของเงินทองเสียหน่อย ความหมายนอกเหนือจากตามตัวอักษรของประโยคนี้ กุญแจสำคัญอยู่ที่คำว่า ‘แค่’ หลักการเหตุผลบนโลก หากเดินไปบนทางสุดโต่ง ย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไร ที่ข้าพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อหาข้ออ้างให้ตัวเอง แต่ต้องการให้ยามที่เจ้าพบเจอทุกคนนอกเหนือจากข้า จะต้องคิดให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าเมื่ออยู่บนเส้นทางของการฝึกตน แล้วเจ้าจะต้องพลาดสหายบางคนที่ไม่ควรพลาด คบหากับสหายบางคนที่ไม่ควรคบหาเป็นมิตร”

ป๋ายโส่วกล่าวอย่างสงสัย “เจ้ารู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าทางเรือนชุนฟานไม่มีทางขายน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เจ้า เพียงแต่ว่าจะอาศัยโอกาสนี้มาพร่ำพูดหลักการเหตุผลใหญ่พวกนี้กับข้า!”

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกตน โดยเฉพาะคนที่เดินอยู่บนมรรคา กาลเวลามักจะยาวนานเสมอ ขอแค่ยินดีลืมตาไปมอง จะได้เห็นน้ำลดหินผุดกี่มากน้อย? หากข้าตั้งใจทำเช่นนี้ เจ้าจำเป็นต้องถามด้วยหรือ? ข้าพูดกับเจ้า แล้วเจ้าจะยิ่งเชื่อหรือ?”

ป๋ายโส่วใช้สองมือกุมศีรษะ พูดโอดครวญว่า “ปวดกบาล ไม่ฟังๆ ตะพาบท่องคัมภีร์”

ตอนที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เด็กหนุ่มได้เรียนภาษาท้องถิ่นมาหลายประโยค

ฉีจิ่งหลงก็ไม่โกรธ เพียงยิ้มรับแล้วดื่มชา

ป๋ายโส่วพลันถามว่า “คนแซ่หลิว วันหน้าจะยังต้องไปเดินเที่ยวกับพวกแม่นางจินซู่อีกหรือ? น่าเบื่อยิ่งนัก ยามที่พี่สาวพวกนี้เดินเที่ยวขึ้นมา ไม่กลัวลำบากไม่กลัวเหนื่อยยิ่งกว่าพวกเราฝึกตนเสียอีก ข้าล่ะกลัวจริงๆ”

ฉีจิ่งหลงกล่าว “เรือข้ามฟากของตระกูลฝูนครมังกรเฒ่าก็มาจอดเทียบท่าอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวพอดีเหมือนกัน กุ้ยฮูหยินน่าจะกังวลว่าพวกนางมาเที่ยวเล่นที่ภูเขาห้อยหัวแล้วจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ลูกศิษย์ตระกูลฝูทำอะไรกำเริบเสิบสาน คิดว่าขนบธรรมเนียมประจำบ้านก็คือกฎของเมือง ตอนอยู่นครมังกรเฒ่าพวกเราก็เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน ครั้งนี้พวกเรามาพักอยู่ในเรือนเล็กกุยม่าย ข้ามมหาสมุทรเดินทางไกล ทั้งเรื่องกินเรื่องอยู่ล้วนไม่ต้องจ่ายแม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว ก็ควรจะต้องปฏิบัติคืนคนเขาอย่างมีมารยาท”

ป๋ายโส่วยกสองมือกุมหัว เอ่ยว่า “หากเป็นแบบนี้ข้าก็จะอยู่เป็นเพื่อนพวกพี่สาวให้มากหน่อยแล้วกัน หากมีคนของตระกูลฝูแอบมาหาเรื่องจริงๆ ก็อย่าโทษว่าข้าเผยมาดของเซียนกระบี่ล่ะ”

ฉีจิ่งหลงยิ้มถาม “ไหนลองบอกมาสิว่าเป็นมาดเซียนกระบี่แบบไหน?”

ก่อนหน้าที่เรือข้ามฟากของสำนักพีหมาจะจอดลงบนท่าเรือของภูเขาหนิวเจี่ยว เด็กหนุ่มเองก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเช่นนี้ ภายหลังเมื่อได้เห็นศีรษะน้อยๆ ทั้งสามนั่งเรียงกันแทะเมล็ดแตงอยู่บนขั้นบนสุดของบันไดภูเขาลั่วพั่ว เด็กหนุ่มก็ยังคงรู้สึกว่าการประลองวรยุทธของตนจะต้องกุมชัยชนะได้อย่างมั่นคงแน่นอน

ป๋ายโส่วกล่าวอย่างคนที่อับอายจนพานเป็นความโกรธ “คนแซ่หลิว สรุปว่าข้าใช่ลูกศิษย์ของเจ้าหรือไม่?!”

กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเด็กหนุ่มก็หม่นหมองเล็กน้อย

นังหนูถ่านดำที่พูดจาโยงเรื่องนั้นไปเรื่องนี้ส่งเดชแต่กลับทำให้คนโมโหตายได้คนนั้น คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเฉินผิงอัน และอันที่จริงตนก็คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของคนแซ่หลิว

ขอบเขตผู้ฝึกลมปราณของเฉินผิงอันในตอนนี้อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบคนแซ่หลิวได้

ผลกลับกลายเป็นว่าเขาที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วกลับต้องมีสภาพอเนจอนาถขนาดนั้น ตนไม่เหลือศักดิ์ศรีหน้าตา ก็ย่อมทำให้คนแซ่หลิวเสียหน้าไปด้วยไม่มากก็น้อย

ฉีจิ่งหลงเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าไม่ได้รู้สึกว่าลูกศิษย์ของตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้”

ป๋ายโส่วหน้าแดงก่ำ พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “คนแซ่หลิว เจ้าคิดเข้าข้างตัวเองแล้ว ตอนนี้ข้ายังไม่เคยเห็นเจ้าเป็นอาจารย์จริงๆ สักหน่อย!”

ฉีจิ่งหลงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “การช่วงชิงบนมหามรรคากับผู้อื่น ถึงอย่างไรก็ต้องมีแพ้มีชนะ เพียงแค่ว่าแพ้ชนะกี่มากน้อยเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นพวกเราควรจะเลือกและสละอย่างไร ป๋ายโส่ว เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

เด็กหนุ่มฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ ทอดถอนใจไม่หยุด อิจฉานังหนูน้อยที่ผิวดำยิ่งกว่าถ่านผู้นั้นจริงๆ อาจารย์ของนางชอบไปเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกบ่อยๆ ไม่คอยมาพร่ำบ่นอยู่ข้างกาย

แต่นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้

เรื่องที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ก่อนจะจากลากัน เจ้าถ่านดำตัวขาดทุนผู้นั้นดันอารมณ์ดีอย่างมาก บอกว่านางอาจจะได้ไปพบอาจารย์ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ประเด็นสำคัญคือต้องดูที่ว่าอาจารย์จ้งจะออกเดินทางเมื่อไหร่ แล้วนางก็ไม่สนใจด้วยว่าป๋ายโส่วยินดีหรือไม่ เพราะได้ตัดสินใจแทนเขาไปเรียบร้อยแล้วว่า คราวหน้าทั้งสองฝ่ายแค่ประลองด้านบุ๋น ไม่ต้องประลองด้านบู๊กันก็ได้

พอป๋ายโส่วคิดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งหงุดหงิดวุ่นวายใจ

……

หนิงเหยายังคงปิดด่าน

เฉินผิงอันนอกจากจะหลอมลมปราณแล้วก็จะเปิดฉากจับคู่เข่นฆ่ากับน่าหลันเย่สิงอย่างเต็มที่บนลานประลองยุทธ

ไม่มีพวกฟ่านต้าเช่ออยู่ด้วย เฉินผิงอันที่ออกทั้งหมัดทั้งกระบี่เต็มแรง ยามอยู่ในฟ้าดินเล็กเมล็ดงาแห่งนั้น ชุดเขียวนั่นก็คือทัศนียภาพอีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

ตอนนี้ป๋ายหมัวมัวเคยชินที่จะไปนั่งดูอยู่ในศาลาเสียแล้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าท่านเขยของตัวเองคือเด็กรุ่นหลังที่หล่อเหลาที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ รองลงมาก็คือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธที่ร้อยปีไม่เคยปรากฎพันปียากจะพานพบ ส่วนเรื่องการหลอมลมปราณนั้น จะต้องรีบร้อนไปไย แค่มองก็รู้แล้วว่าท่านเขยเป็นคนประเภทที่ถอยออกมาดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยบุกโจมตี ตอนนี้ก็เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าแล้วไม่ใช่หรือ? คุณสมบัติในการฝึกตนไม่ได้แย่ไปกว่าคุณหนูของตนเท่าไรเลย

วันนี้ตรงมุมเลี้ยวของตรอกที่ห่างจากร้านไปไม่ไกล เฉินผิงอันมานั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ในที่สุดก็เล่าเรื่องราวขุนเขาสายน้ำของเซียนกระบี่ที่ชอบร่ำสุราคนนั้นจบสักที

เฝิงคังเล่อรู้สึกยังไม่สาแก่ใจมากพอ จึงถามเฉินผิงอันว่ายังมีเรื่องเล่าแปลกพิสดารเรื่องอื่นที่เกี่ยวกับตาเฒ่าเซียนกระบี่ผู้นี้อีกไหม เฉินผิงอันคิดแล้วก็รู้สึกว่าสามารถแต่งขึ้นมาเองสองสามเรื่องก็ได้ จึงบอกว่ายังมี มีเรื่องราวอีกมากเป็นกระบุงโกย ดังนั้นจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องด้วยการบอกว่า เซียนกระบี่หนุ่มคนนั้นเดินทางยามค่ำคืนไปถึงวัดร้างห่างไกลที่ฝูงอีกาสะบัดปีกบินหนีทันทีที่มีคนเดินเข้ามา เขาก่อกองไฟ กำลังดื่มเหล้าอย่างสำราญใจก็ได้เจอกับสตรีที่เรือนกายอรชรอ้อนแอ้นหลายคนมาพร้อมกับสายลมกลิ่นหอมโชยเป็นระลอก พวกนางพูดคุยหัวเราะคิกคักดุจเสียงนกร้อง พลิ้วกายเข้ามาในวัดร้างพร้อมชุดอันพลิ้วไหว เซียนกระบี่หนุ่มเงยหน้าขึ้นมองก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที เพราะในฐานะผู้ฝึกตน เมื่อเพ่งสายตามองไป โคจรวิชาอภินิหารจึงมองเห็นหางจิ้งจอกด้านหลังสตรีเหล่านั้น ดังนั้นเซียนกระบี่หนุ่มจึงกระดกเหล้าดื่มไปอีกหนึ่งกาแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ

เล่ามาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หยุดชะงักแล้วเอ่ยประโยคโปรดรอฟังตอนถัดไปที่ทำให้คนรำคาญที่สุด

เฉินผิงอันไปที่ร้านเหล้า แต่ก็ยังคงไม่ดื่มเหล้า หลักๆ แล้วเป็นเพราะพวกฟ่านต้าเช่อไม่อยู่ พวกผีขี้เหล้าและนักพนันคนอื่นๆ นั้น ทุกวันนี้สายตาของแต่ละคนที่มองตนไม่ค่อยเป็นมิตรนัก คิดจะขอเหล้าจากพวกเขาสักชามครึ่งชามก็ยากแล้ว ไม่มีเหตุผลเลยนี่นา ข้าขายเหล้าให้พวกเจ้าดื่ม ไม่ได้ติดเงินพวกเจ้าสักหน่อย

เฉินผิงอันไปนั่งกินบะหมี่หยางชุนอยู่ข้างทาง เพียงแต่ว่าพอนึกขึ้นมาก็ให้รู้สึกผิดต่อฉีจิ่งหลง ดูเหมือนว่าเขาจะเล่าเรื่องได้ไม่ชวนติดตามมากพอ ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรตนก็ไม่ใช่นักเล่านิทานจริงๆ นี่ก็พยายามสุดความสามารถมากแล้ว

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

Jiàn Lái, 剑来
Score 8.2
Status: Ongoing Type: Author: , , Released: 2017 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset