ขู่เซี่ยเซียนกระบี่กำลังนั่งอยู่บนเบาะ ผู้ฝึกกระบี่เด็กรุ่นหลังหลายคนซึ่งมีหลินจวินปี้เป็นหนึ่งในนั้นกำลังหลับตาเพ่งสมาธิ สูดลมหายใจเข้าออก พยายามที่จะดึงดูดปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ที่ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ว่องไวปานกระบี่บินของเซียนกระบี่ที่อยู่ท่ามกลางฟ้าดินมา ไม่ใช่ดูดดึงปราณวิญญาณ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการทิ้งแตงโมเพื่อหยิบเมล็ดงา การเดินทางมากำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนี้นับว่าเสียเที่ยว เพียงแต่ว่านอกจากหลินจวินปี้ที่เห็นได้ชัดว่าได้รับผลเก็บเกี่ยวมามากแล้ว นอกจากนี้ต่อให้เป็นเหยียนลวี่ก็ยังไม่อาจค้นพบต้นสายปลายเหตุ ได้แต่อาศัยการเสี่ยงดวง ระหว่างนี้หากมีคนโชคดีเก็บปณิธานกระบี่กลุ่มหนึ่งมาได้แล้วเผยสีหน้าลิงโลดออกมาเพียงเล็กน้อย พอจิตวิญญาณไม่มั่นคง ปณิธานกระบี่กลุ่มนั้นก็จะเริ่มพลิกนทีคว่ำมหาสมุทร เซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็จะต้องเรียกกระบี่ออกมาขับไล่ปณิธานกระบี่บรรพกาลที่เล็กจ้อยอย่างถึงที่สุดเสี้ยวนั้นให้ออกไปจากฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์ของผู้ฝึกกระบี่คนนั้น
ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่รากฐานมหามรรคาเกือบถูกทำลายตกใจจนหน้าซีดขาว
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยใช้เสียงในใจพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก ช่วยให้คนหนุ่มสร้างความมั่นคงแก่จิตกระบี่ ส่วนปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณที่วุ่นวายนั้น ถือเป็นเรื่องเล็ก ไม่จำเป็นต้องให้เซียนกระบี่ท่านหนึ่งลงมือปลอบประโลม
สามารถกลายเป็นคนที่โดดเด่นท่ามกลางกลุ่มเด็กรุ่นเยาว์ผู้มากพรสวรรค์มากมายของราชวงศ์เส้าหยวน และเดินทางมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ หากแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังจัดการเองไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นวันพรุ่งนี้ก็สามารถออกจากจวนซุนกลับไปยังภูเขาห้อยหัวได้แล้ว ไปรอคอยทุกคนอยู่ที่นั่นอย่างว่าง่าย ถึงอย่างไรสวนดอกเหมยก็รับรองแขกได้รอบคอบรัดกุมมาโดยตลอดอยู่แล้ว
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยพลันลุกขึ้นยืน หันหน้ามองไป พอจำอีกฝ่ายได้ เซียนกระบี่ที่เกิดมามีชีวิตขมขื่นยากลำบากท่านนี้ก็เผยรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก ครั้นจึงหมุนตัวเดินตรงไปรับสตรีผู้นั้นทันที
ไม่ว่าเด็กรุ่นหลังที่ชอบท่องเที่ยวในยุทธภพคนนี้จะมีฉายามากน้อยแค่ไหนยามอยู่ข้างนอก หรือเคยชินให้คนอื่นเรียกว่าอะไร แต่ชื่อของนางบนทำเนียบศาลวงศ์ตระกูลบ้านของตัวเองกลับเป็นชื่อที่ไม่ใกล้เคียงกับความเป็นสตรีเลยแม้แต่น้อย
แซ่อวี้ นามเจวี้ยนฟู
ตระกูลอวี้ของแผ่นดินกลาง คือตระกูลชั้นสูงลำดับต้นที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน
เคยประคับประคองราชวงศ์ต้าเช่อที่แข็งแกร่งทรงอิทธิพลยิ่งกว่าราชวงศ์เส้าหยวนในทุกวันนี้เสียอีก หลังจากที่ราชวงศ์ต้าเช่อล่มสลายลง เวลาเพียงแค่ร้อยปี พวกเขาก็ประคับประคองราชวงศ์เสวียนมี่ที่มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าขึ้นมาอีก
อวี้เจวี้ยนฟูกับว่าที่สามีอย่างไหวเฉียนล้วนเป็นคนหนุ่มสาวจำนวนเพียงหยิบมือที่อยู่ระดับบนสุดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เพียงแต่ว่าคนทั้งสองต่างก็ค่อนข้างน่าสนใจ เพื่อหนีการแต่งงาน อวี้เจวี้ยนฟูจึงไปยังซากปรักบรรพกาลแห่งหนึ่งในทวีปเกราะทอง ฝึกหมัดอยู่เพียงลำพังมานานหลายปี ไหวเฉียนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร หนีไปอยู่อุตรกุรุทวีป ว่ากันว่าไปเพื่อล่าและเก็บรวบรวมเอากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินโดยเฉพาะ เพียงแต่ได้ยินมาว่าเมื่อปีก่อนบรรพจารย์ตระกูลไหวได้เผยโฉมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เดินทางไปหาสหายหนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเช่นเดียวกับตน ส่วนสาเหตุนั้นกลับไม่มีใครรู้
โจวเสินจืออาจารย์ลุงของเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็เหมือนกับบรรพบุรุษตระกูลไหวที่ต่างก็อยู่ในอันดับสิบคนเหมือนกัน อีกทั้งลำดับยังอยู่ช่วงต้นๆ อีกด้วย เคยมีคนเอ่ยวิจารณ์ซึ่งเป็นประโยคที่ติดปากผู้คนว่า ‘สายตามองสูงไม่เห็นหัวใคร แต่ถึงอย่างไรวิถีกระบี่ก็สูงยิ่งกว่า’ ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่อาณาบริเวณกว้างขวางแห่งนั้น โจวเสินจือขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่คบค้าด้วยยาก ต่อให้จะเป็นขู่เซี่ยผู้เป็นศิษย์หลาน เซียนกระบี่ใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้าแห่งนี้ก็ไม่เคยมีสีหน้าดีๆ ให้เห็น
สายของพวกเขานี้สนิทสนมกับตระกูลอวี้มาหลายยุคหลายสมัย
อวี้เจวี้ยนฟูก็ยิ่งเป็นเด็กรุ่นหลังที่ที่อาจารย์ลุงของเซียนกระบี่ขู่เซี่ยชื่นชอบมากที่สุด ถึงขั้นที่ว่าไม่มีคำว่าหนึ่งใน
โจวเสินจือพูดกับคนอื่นอย่างตรงไปตรงมาว่าลูกหลานตระกูลข้าล้วนมีแต่เศษสวะ ไม่มีใครคู่ควรกับอวี้เจวี้ยนฟู
ต้องรู้ว่าลูกหลานของโจวเสินจือนั้นมีชื่อเสียงว่าเป็นวีรบุรุษผู้มากความสามารถ เป็นเทพเซียนก่อนกำเนิดกันทั้งนั้น
โจวเสินจือรักและเอ็นดูอวี้เจวี้ยนฟูถึงขั้นไหน? ก็ถึงขั้นที่ช่วงสามปีแรกสุดที่อวี้เจวี้ยนฟูท่องเที่ยวอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง โจวเสินจือก็คอยให้การคุ้มกันนางอย่างลับๆ มาโดยตลอด ผลคืออวี้เจวี้ยนฟูที่นิสัยตรงไปตรงมาไม่ทันระวังไปก่อเรื่องใหญ่เข้า ทำให้ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งแอบเล่นงานนางอย่างลับๆ ภายหลังจึงถูกโจวเสินจือตัดมือข้างหนึ่ง พอหนีกลับไปถึงศาลบรรพจารย์ได้ก็อาศัยถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เลือกที่จะปิดด่านไม่ออกมาอีก โจวเสินจือสะกดรอยตามอีกฝ่ายไปอย่างเชื่องช้า สุดท้ายคนทั้งสำนักของเขาก็ต้องนั่งคุกเข่าให้ โจวเสินจือเดินตั้งแต่หน้าประตูภูเขาไปถึงยอดเขา ตลอดทางนั้นหากมีใครกล้าพูดคำใด ตาย ใครกล้าเงยหน้าขึ้น ตาย ใครกล้าแสดงท่าทางเดือดดาลออกมา ตาย
และอวี้เจวี้ยนฟูใจใหญ่ถึงขอบเขตไหน? นางถึงขั้นบ่นโจวเสินจือว่าแค่ทำให้ศัตรูล่าถอยไปก็พอ น่าจะมอบครอบครัวของศัตรูให้นางเป็นคนจัดการเอง คิดไม่ถึงว่าโจวเสินจือไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับกันยังคุ้มกันแม่หนูอวี้เจวี้ยนฟูไปตลอดทาง จนกระทั่งนางออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไปถึงทวีปเกราะทองแล้ว เขาถึงได้ย้อนกลับ
เห็นว่าเซียนกระบี่ขู่เซี่ยเดินมารับตน อวี้เจวี้ยนฟูก็หยุดเดินพร้อมกุมหมัดคารวะ “คารวะผู้อาวุโสขู่เซี่ย”
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยยิ้มพยักหน้ารับ “มาที่นี่ได้อย่างไร?”
อวี้เจวี้ยนฟูเอ่ย “มาฝึกหมัด”
พูดแล้วก็เหมือนไม่ได้พูด
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยกลับหัวเราะ แล้วเอ่ยประโยคที่จืดชืดแห้งแล้งหนึ่งประโยค “เป็นขอบเขตร่างทองแล้ว พยายามให้มากอีกหน่อย”
จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็พากันเงียบงัน เพียงแต่ว่าคนทั้งสองกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสม
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยไม่ใช่คนที่ถนัดเรื่องการเอาใจผู้มีอำนาจ ยิ่งไม่หวังว่าการที่ตนดูแลอวี้เจวี้ยนฟูจะทำให้อาจารย์ลุงของตนรู้สึกดีด้วย แต่เป็นเพราะตัวของขู่เซี่ยเองเห็นดีในตัวอวี้เจวี้ยนฟูจริงๆ
ส่วนอวี้เจวี้ยนฟูก็ยิ่งถูกหัวเราะเยาะว่าเป็นคนตระกูลอวี้ที่ ‘วาสนาด้านผู้อาวุโสทุกคนล้วนถูกโจวเสินจือกินไปคนเดียวจนเกลี้ยง’
เมื่อกาลเวลาผันผ่าน การหมั้นหมายตั้งแต่เด็กระหว่างทายาทของตระกูลไหวและตระกูลฟู อันที่จริงบรรพบุรุษตระกูลไหวไม่ได้ชอบเด็กที่ทั้งนิสัยร้ายกาจและแข็งกระด้างอย่างอวี้เจวี้ยนฟูเท่าใดนัก ดังนั้นภายหลังที่อวี้เจวี้ยนฟูออกท่องยุทธภพเพื่อหนีการแต่งงาน คนทั้งตระกูลไหวจึงไม่มีคำตำหนิใดๆ ผู้อาวุโสของตระกูลไหวส่วนใหญ่ยังหันกลับมาเป็นฝ่ายปลอบใจสหายอย่างตระกูลอวี้ บอกว่าคนหนุ่มสาวเดินทางท่องเที่ยวมากๆ ย่อมดี เรื่องงานแต่งงานนั้นไม่ต้องรีบร้อน ไหวเฉียนคือผู้ฝึกตน แม้ว่าอวี้เจวี้ยนฟูจะเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ด้วยคุณสมบัติบนวิถีวรยุทธของนาง อายุขัยก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องยืนยาว ให้เด็กทั้งสองค่อยๆ ใช้เวลาศึกษานิสัยใจคอกันไปก็พอ
คนทั้งสองพากันเดินกลับไปยังจุดที่เซียนกระบี่ขู่เซี่ยสอนกระบี่ ขู่เซี่ยบอกเป็นนัยให้อวี้เจวี้ยนฟูนั่งลงบนเบาะ นางเองก็ไม่ได้เกรงใจ ปลดห่อสัมภาระลงแล้วก็หยิบเอาแผ่นแป้งย่างมากินคู่กับน้ำอีกครั้ง
หลินจวินปี้ลืมตาขึ้น คลี่ยิ้มบางๆ
ทั้งๆ ที่อวี้เจวี้ยนฟูมองเห็นแล้ว แต่กลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
……
บนถนนเส้นที่อยู่นอกประตูใหญ่ของจวนหนิง เซียนกระบี่หนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งพาลูกศิษย์ของตัวเองเดินไปช้าๆ
เด็กหนุ่มกดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “คนแซ่หลิว ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้เฉินผิงอันร้ายกาจนักล่ะ มีฉายาว่าเถ้าแก่รองผู้เลื่องชื่อ โดยเฉพาะภรรยาของเขาคนนั้นที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยิ่งเก่งกาจ เซียนกระบี่ลี่มาคุยกับข้าเป็นการส่วนตัวบอกว่านางไม่อยากไปพบหนิงเหยาผู้นั้น ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถ”
ฉีจิ่งหลงไม่ได้เอ่ยอะไร
เคาะประตู คนที่มาเปิดประตูก็คือน่าหลันเย่สิง
ฉีจิ่งหลงบอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเอง
อันดับแรกน่าหลันเย่สิงมีสีหน้าปั้นยากก่อน จากนั้นก็รีบคลี่ยิ้มนำพาสองอาจารย์และศิษย์ไปยังแท่นสังหารมังกร
เฉินผิงอันที่เดิมทีกำลังมานะฝึกลมปราณได้เดินออกจากศาลา เดินลงมาจากแท่นสังหารมังกร ยิ้มตาหยีโบกมือให้แล้ว
เดิมทีพอได้เห็นพี่น้องเฉินผิงอันของตน ในที่สุดป๋ายโส่วก็พอจะหายใจคล่องคอได้บ้าง ไม่อย่างนั้นอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ทุกวันคงจะไม่เป็นตัวของตัวเองนัก เพียงแต่ว่าป๋ายโส่วเพิ่งจะดีใจได้ไม่นาน ก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่าคนผู้นั้นคืออาจารย์ของใครบางคน เขาไหล่ห่อคอตก รู้สึกว่าชีวิตช่างไร้รสชาติ
น่าหลันเย่สิงขอตัวเดินจากไปแล้ว
เฉินผิงอันพาคนทั้งสองเดินเข้ามาในศาลา ยิ้มถามว่า “หลังการถามกระบี่สามครั้งผ่านไป รู้สึกว่าโอ้อวดตัวเองอยู่แค่ที่อุตรกุรุทวีปแห่งเดียวคงไม่พอ ก็เลยมาแสดงบารมีที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราอย่างนั้นหรือ?”
ฉีจิ่งหลงเอ่ย “อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็เลยมาพบเจ้าสำนักกับเซียนกระบี่ลี่ แล้วก็ถือโอกาสนี้มาพบเจ้าด้วย”
เฉินผิงอันสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ เอนตัวพิงราวระเบียง ชำเลืองตามองป๋ายโส่วที่มีท่าทางอัดอั้นไม่มีความสุขอย่างที่หาได้ยาก?
มาถึงศาลา เด็กหนุ่มก็นั่งแปะลงข้างกายเฉินผิงอัน
ฉีจิ่งหลงกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ลูกศิษย์คนนี้ของตนสนิทสนมกับเฉินผิงอันมากกว่าจริงๆ
ฉีจิ่งหลงยิ้มบอกความลับว่า “ก่อนจะมาที่นี่ พวกเราไปที่ภูเขาลั่วพั่วกันมาก่อน ใครบางคนพอได้ยินว่าลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเจ้าเพิ่งจะเรียนวิชาหมัดได้ปีสองปีก็บอกว่าเขาจะกดขอบเขตลงให้เหลือแค่ห้าขอบเขตล่าง นอกจากนี้จะยอมให้นางโดยใช้มือแค่ข้างเดียว”
เฉินผิงอันพอจะรู้จุดจบได้คร่าวๆ แล้ว
ฉีจิ่งหลงเอ่ยอีกว่า “ลูกศิษย์ของเจ้าคนนั้นขี้ขลาด ก็เลยถามว่ายอมให้นางโดยใช้ขาแค่ข้างเดียวด้วยได้ไหม”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองป๋ายโส่ว กลั้นยิ้มถามว่า “แล้วเจ้าก็ตอบตกลง?”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “ตกลงสิ ใครบางคนยังดีใจแทบตาย ดังนั้นจึงบอกอีกว่าจะยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ให้เผยเฉียนลงมือได้เต็มที่”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้องบอกผลลัพธ์กับข้าแล้ว”
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อ หยิบเอาถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กาหนึ่งที่ได้เปล่ามาจากที่ร้านก่อนหน้านี้ไม่นานออกมา “มา มาดื่มฉลองให้กับจุดเริ่มต้นอันเป็นมงคลของเซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายโส่วเราหน่อย”
ฉีจิ่งหลงโบกมือ
ป๋ายโส่วเงยหน้าขึ้น เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “ข้ากล้ารับรองเลยว่า นางจะต้องไม่ได้เพิ่งเรียนวิชาหมัดมาแค่ปีสองปีแน่นอน! เฉินผิงอัน เจ้าบอกกับข้ามาตามตรงว่าเผยเฉียนเรียนวรยุทธมาแล้วกี่ปีกันแน่ สิบปี?!”
เฉินผิงอันโยนเหล้ากาหนึ่งให้กับฉีจิ่งหลงไปโดยตรง จากนั้นตนก็เอาออกมาอีกกา ถึงอย่างไรก็ได้มาเปล่าๆ อยู่แล้ว เปิดผนึกดินออก จิบเหล้าดื่มหนึ่งคำ เหล้ากานี้รสชาติดีมากเป็นพิเศษ เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น มือข้างหนึ่งจับประคองราวระเบียง ฝ่ามือของมืออีกข้างกดลงไปบนกาเหล้าที่วางอยู่บนม้านั่งตัวยาว “ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาคนนั้นของข้าปล่อยหมัดออกไปหนึ่งหมัด หรือว่าฟาดเท้าออกไปหนึ่งเท้าล่ะ? นางถูกปราณกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายโส่วพวกเราทำร้ายหรือไม่? ไม่เป็นไร บาดเจ็บก็ไม่เป็นไร ก็ประลองฝีมือกันนี่นะ ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ก็ควรจะเอาหัวโหม่งก้อนเต้าหู้ตาย”
ป๋ายโส่วถลึงตาอย่างโมโหจนลูกตาแทบหลุดออกมาจากเบ้า มือสองข้างกำเป็นหมัด ถอนหายใจหนักๆ เอาหมัดทุบลงบนม้านั่งตัวยาวอย่างแรง
ฉีจิ่งหลงวางกาเหล้าใบนั้นไว้ข้างกายตัวเอง ยิ้มกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าลูกศิษย์คนนั้นของเจ้าจะมึนงงยิ่งกว่าใครบางคนที่ร่างปลิวกระเด็นออกไปเสียอีก ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มีท่าทางร้อนตัวนัก ไปนั่งยองอยู่ข้างกายคนบางคนที่เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด จากนั้นก็จ้องตากันไปมา ต่อมาเผยเฉียนก็วิ่งไปปรึกษากับสหายสองคนของนางว่าควรจะทำให้เรื่องจบลงด้วยดีได้อย่างไร ข้าไม่ได้แอบฟังมากนัก เพียงแค่ได้ยินเผยเฉียนบอกว่าคราวนี้จะใช้เหตุผลสะดุดล้มไม่ได้อีกเด็ดขาด คราวก่อนอาจารย์ก็ไม่ได้เชื่อจริงๆ ต้องเปลี่ยนคำพูดแบบใหม่ให้น่าเชื่อถือยิ่งกว่าเดิม”
ป๋ายโส่วหน้าดำทะมึน
ยืนพิงราวระเบียง ยกมือสองข้างขึ้นปิดหน้า
ฉีจิ่งหลงเอ่ยเตือนว่า “ข้ารับรองกับเผยเฉียนว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้เด็ดขาด ดังนั้นเจ้าฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป อีกอย่างห้ามเอาเรื่องนี้ไปลงโทษเผยเฉียนด้วย ไม่อย่างนั้นวันหน้าข้าก็อย่าได้คิดจะไปเยือนภูเขาลั่วพั่วอีกเลย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะตำหนิอะไรนางอยู่แล้ว
ป๋ายโส่วพึมพำ “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีทางไปที่ภูเขาลั่วพั่วอีก คราวหน้าหากเผยเฉียนแน่จริงก็ลองไปสำนักกระบี่ไท่ฮุยของข้าดูสิ? คราวหน้าขอแค่ข้าไม่ประมาท ต่อให้เอาตบะออกมาแค่ครึ่งเดียว…”
เฉินผิงอันไม่รอให้เด็กหนุ่มพูดจบก็พยักหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ตกลง ข้าจะบอกเผยเฉียนเองว่าสนามประลองครั้งหน้าให้เป็นที่ยอดเขาเพียนหราน”
ป๋ายโส่วพลันรู้สึกน้อยใจอย่างสุดแสน พอนึกถึงคำประเมินที่คนแซ่หลิวมีต่อตัวขาดทุนผู้นั้น เขาก็โหวกเหวกขึ้นมาว่า “ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็ไม่อยู่ที่นี่ เจ้าจะให้ข้าพูดจาอวดเก่งสักคำสองคำไม่ได้เลยหรือไง!”
ฝ่าเท้านั้นของเผยเฉียน เรียกได้ว่าใจดำมากจริงๆ
ป๋ายโส่วไม่เพียงแต่เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดลุกไม่ขึ้น ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากพยายามฝืนลืมตาขึ้นมาได้ เขาก็เหมือนคนเมาที่มองเห็นเผยเฉียนหลายคนร่างส่ายไปส่ายมาอยู่ตรงหน้า
ประเด็นสำคัญคือคำพูดของเจ้าตัวขาดทุนผู้นั้นที่ยิ่งชวนให้คนโมโห ตอนนั้นป๋ายโส่วหน้าเขียวคล้ำ ริมฝีปากสั่นระริก มือเท้ากระตุกเกร็ง นางที่นั่งยองอยู่ด้านข้างคงเห็นว่าสายตาของเขาส่ายไปมาอย่างเลื่อนลอย มองไม่เห็นนางเสียที จึงเตือนเขาเสียงเบาด้วย ‘ความหวังดี’ ว่า “อยู่ตรงนี้ๆ ข้าอยู่ตรงนี้ เจ้าอย่าได้เป็นอะไรไปเด็ดขาดนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ก่อนหน้านี้เจ้าพูดจาใหญ่โตขนาดนั้น ข้าหรือจะรู้ว่าเจ้าแค่โม้ไปอย่างนั้นเอง ก็โชคดีที่ข้ากังวลว่าจะออกแรงมากเกินไป กลับกลายเป็นว่าจะถูกปราณกระบี่เซียนเหรินในตำนานทำร้ายตัวเองเข้า ดังนั้นจึงออกแรงแค่เจ็ดแปดส่วน ไม่อย่างนั้นวันหน้าจะอธิบายกับอาจารย์อย่างไร? เจ้าเลิกเสแสร้งได้แล้ว รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า! ข้าจะยืนนิ่งๆ ไม่ขยับ ให้เจ้าปล่อยหมัดใส่ข้าก็แล้วกัน…”
จากนั้นป๋ายโส่วก็หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “บังเอิญนัก ก่อนที่พวกเจ้าจะมา ข้าเพิ่งส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปที่ภูเขาลั่วพั่ว ขอแค่เผยเฉียนยินดี นางก็สามารถมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ได้ทันที”
ป๋ายโส่วหันหน้ามาถาม “อาจารย์ เมื่อไหร่พวกเราถึงจะกลับสำนักกันล่ะ? ตอนนี้ยอดเขาเพียนหรานไม่มีคนคอยดูแลห้องส้วม ลมพัดฝนตก ศิษย์รู้สึกไม่สบายใจเลย”
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ป๋ายโส่วเรียกฉีจิ่งหลงว่าอาจารย์ยามที่อยู่นอกศาลบรรพจารย์ อีกทั้งยังจริงใจถึงเพียงนี้
ฉีจิ่งหลงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “จะอย่างไรก็รอให้เผยเฉียนมาถึงก่อนแล้วกัน”
สีหน้าป๋ายโส่วอึ้งค้าง
ฉีจิ่งหลงเอ่ย “ใช่แล้ว ได้ยินมาว่ามีผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธคนหนึ่ง มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ชื่อว่าอวี้เจวี้ยนฟู ต้องการจะมาฝึกหมัดกับเจ้า”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่สนใจ”
ป๋ายโส่วกล่าวอย่างมีใจแต่ไร้เรี่ยวแรง “อย่าได้ถูกหลอกเพราะชื่อคนเขาล่ะ นั่นคือสตรีผู้หนึ่งนะ”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไป
คงไม่บังเอิญขนาดนั้นกระมัง
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “เป็นสตรีผู้หนึ่งจริงๆ อายุไม่ต่างจากเจ้ามากนัก แล้วก็มีขอบเขตร่างทองที่พื้นฐานยอดเยี่ยมเหมือนกับเจ้า”
เห็นสีหน้าแปลกประหลาดของเฉินผิงอัน
ดวงตาป๋ายโส่วก็เป็นประกายวาบ “ส่วนจะสวยหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ถึงเวลานั้นเจ้ากับนางสู้กันไปสู้กันมา ตัวเจ้าก็มองให้นานสักหน่อย แล้วนับประสาอะไรกับที่มือเท้าไร้ตา หึหึหึ…”
จากนั้นป๋ายโส่วก็รู้สึกเหมือนขนทั้งร่างพากันลุกพรึ่บ ขนพองสยองเกล้า มือเท้าเย็นเฉียบ แล้วจึงหันหน้ากลับมามองอย่างแข็งทื่อ เขามองเห็นสตรีผู้หนึ่งเดินเข้ามาในศาลาช้าๆ
ทั้งๆ ที่นางไม่ได้เอ่ยอะไร ถึงขั้นไม่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ใดๆ ให้เห็น ยิ่งไม่ได้จงใจเป็นปฏิปักษ์กับเขาป๋ายโส่ว แต่กระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังสัมผัสถึงการสยบกำราบทางมหามรรคาที่ราวกับว่า ‘สอดคล้องกับฟ้าดิน’ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ขุมนั้นได้อย่างเฉียบไว
บางทีนางอาจจะปล่อยอารมณ์ออกมาเล็กน้อย เมื่อนางไม่สบอารมณ์ แน่นอนว่าฟ้าดินแห่งนี้ก็รู้สึกไม่ชอบใจเขาป๋ายโส่วเท่าไรด้วย
ป๋ายโส่วจึงหันคอที่แข็งทื่อกลับมาอีกครั้ง พูดกับเฉินผิงอันว่า “มือไม้ห้ามอยู่ไม่สุขเด็ดขาด ผู้ฝึกยุทธประลองฝีมือกันต้องรักษากฎ แน่นอนว่าทางที่ดีที่สุดต้องห้ามรับปากว่าจะฝึกซ้อมหมัดกับใครที่ว่านั่นน่ะ ไม่มีความจำเป็น”
เฉินผิงอันยื่นมือมากดหัวของเด็กหนุ่ม ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ระวังข้าจะเด็ดหัวสุนัขของเจ้า”