เถาเหวินกินบะหมี่หยางชุนคำใหญ่ คีบผักดองหนึ่งคำแล้วเริ่มเคี้ยว “ตั้งแต่ท่านอาหญิงของเจ้าจากไป ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเคยพูดกับเจ้าครั้งหนึ่งว่า ในอนาคตหากมีเรื่องอะไร ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ข้าก็สามารถช่วยเจ้าได้หนึ่งครั้ง ทำไมเจ้าถึงไม่เปิดปาก”
เฉิงเฉวียนยิ้มกว้าง “ก็เพราะข้าคิดว่าวันหน้าหากได้ลงจากหัวกำแพงไปสังหารศัตรูจะขอให้ท่านอาเถาช่วยชีวิตครั้งหนึ่งไงล่ะ ตอนนี้แค่ขาดเงิน ต่อให้จะกลัดกลุ้มแค่ไหนก็ยังเป็นเรื่องเล็ก ถึงอย่างไรก็ดีกว่าไม่มีชีวิตอยู่แล้ว”
พูดมาถึงตรงนี้ เฉิงเฉวียนก็หน้าซีดขาว ทั้งละอายใจ ทั้งกระวนกระวายใจ สายตาเต็มไปด้วยแววเสียใจ นึกอยากจะตบบ้องหูตัวเองแรงๆ สักครั้ง
เถาเหวินมีสีหน้าเป็นปกติ พยักหน้าเอ่ยว่า “คิดแบบนี้ได้ถือว่าดีมาก”
เฉิงเฉวียนเองก็อารมณ์ผ่อนคลายตามไปด้วย “อีกอย่าง เมื่อก่อนท่านอาเหวินเองก็มีหนี้บานเบอะอยู่แล้ว”
เถาเหวินหัวเราะ “ก็จริงนะ”
เถาเหวินใช้เสียงในใจเอ่ย “จะช่วยแนะนำงานหนึ่งให้เจ้า ข้าสามารถให้เจ้าเบิกเงินฝนธัญพืชได้ล่วงหน้าก่อนหนึ่งเหรียญ จะทำหรือไม่? นี่ไม่ใช่ความต้องการของข้า แต่เป็นความคิดของเถ้าแก่รองผู้นั้น เขาบอกว่าโหงวเฮ้งของเจ้าดี แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนซื่อตรง ดังนั้นเจ้าจึงค่อนข้างเหมาะสม”
เฉิงเฉวียนได้ยินเสียงริ้วคลื่นในหัวใจแล้วก็เอ่ยอย่างสงสัยว่า “หมายความว่าอย่างไร? ร้านเหล้ารับสมัครคนงานระยะยาวหรือ? ข้าว่าไม่เห็นจำเป็นเลย มีแม่นางเตี๋ยจ้างและจางเจียเจิน อีกอย่างร้านก็ไม่ใหญ่ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้ข้ายินดีจะช่วยเหลือ ก็คงต้องทำงานนานถึงปีมะโว้นั่นแหละถึงจะเก็บเงินด้พอ”
เถาเหวินกล่าวอย่างจนใจ “เถ้าแก่รองมองคนไม่ผิดจริงๆ ด้วย”
เซียนกระบี่คนหนึ่งที่กินบะหมี่หยางชุนคำเล็กๆ กับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งที่จิบเหล้าคำเล็กๆ หลังจากพูดคุยกันอย่างลับๆ ล่อๆ เสร็จ เฉิงเฉวียนก็ขยี้ซีกหน้าตัวเองแรงๆ ดื่มเหล้าคำใหญ่ พยักหน้ารับรัวๆ การค้าครั้งนี้ เขาตกลงทำแล้ว!
เถาเหวินนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งที่เถ้าแก่รองผู้นั้นเคยบอกเอาไว้ จึงเอ่ยเตือนเฉิงเฉวียนตามคำพูดของอีกฝ่าย “เจ้ามือมีกฎของเจ้ามือ โต๊ะพนันมีกฎของโต๊ะพนัน หากเจ้าเอามันมาปะปนกับมิตรภาพระหว่างสหาย ถ้าอย่างนั้นวันหน้าก็ไม่มีโอกาสได้ร่วมงานกันอีกแล้ว”
เฉิงเฉวียนพยักหน้ารับ
หลังจากเฉิงเฉวียนเดินจากไปได้ไม่นานเท่าไร ทางฝั่งของเฉินผิงอัน พวกฉีจิ่งหลงก็ออกไปจากร้านเหล้าเช่นกัน เถ้าแก่รองจึงยกชามเหล้ามานั่งลงข้างกายเถาเหวิน ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เซียนกระบี่เถา ได้เงินฝนธัญพืชไปหลายร้อยจนเกือบถึงพันเหรียญ ยังจะดื่มเหล้าประเภทนี้อีกหรือ? ค่าเหล้าของพวกเราวันนี้ เซียนกระบี่ใหญ่เถาไม่เลี้ยงหน่อยหรือ?”
เถาเหวินคิดแล้วก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จึงเตรียมจะพยักหน้าตอบตกลง คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่รองจะรีบใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “อย่าตะโกนเรียกให้คิดเงินโดยตรง แต่ให้บอกทุกคนที่นั่งอยู่ว่า ไม่ว่าวันนี้จะดื่มเหล้าไปมากน้อยเท่าไร ท่านเถาเหวินจะช่วยจ่ายเงินค่าเหล้าให้ครึ่งหนึ่ง จ่ายแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นข้าที่เลือกท่านมาคงเสียเวลาเปล่า แม้แต่พวกนักพนันที่เพิ่งจะเข้าวงการก็ยังรู้ว่าพวกเราสองคนร่วมมือกันเป็นเจ้ามือหลอกคนอื่น แต่หากข้าแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้จักท่านก็ยิ่งไม่ได้ จะต้องทำให้พวกเขาทั้งไม่กล้าเชื่ออย่างหมดใจแล้วก็ไม่กล้าสงสัยอย่างเต็มที่ กึ่งเชื่อกึ่งสงสัยคือกำลังดี วันหน้าพวกเราสองคนถึงจะเป็นเจ้ามือต่อไปได้ ที่ต้องการก็คือให้เจ้าพวกตะพาบที่แม้แต่ดื่มเหล้าก็ยังขี้เหนียวพวกนี้เข้าใจว่าตัวเองคิดถูกต้องแล้ว”
เถาเหวินใช้เสียงในใจด่าว่า “นี่มันอะไรกัน วันๆ ในสมองเจ้าคิดแต่เรื่องอะไรอยู่? ข้าว่านะ หากเจ้าเอาความตั้งใจนี้ไปใช้กับการฝึกกระบี่ ไม่ถึงสิบปี มารดามันเถอะ ป่านนี้ก็ได้เป็นเซียนกระบี่ไปนานแล้ว”
แต่เถาเหวินก็ยังตีหน้าเคร่งเอ่ยกับทุกคนว่า ค่าเหล้าวันนี้ ภายในจำนวนห้ากา เขาเถาเหวินก็จะช่วยจ่ายให้ครึ่งหนึ่ง ถือเป็นการขอบคุณที่ทุกคนช่วยสนับสนุน มาเดิมพันที่บ่อนของเขา แต่ค่าเหล้าห้าการวมถึงห้ากาขึ้นไป ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเถาเหวินแม้แต่อีแปะเดียว ไสหัวไปให้ไกลข้า ในกระเป๋ามีเงินก็ควักจ่ายค่าเหล้าเอง ไม่มีเงินก็ไสหัวกลับบ้านไปดื่มฉี่กินนมเสีย
เฉินผิงอันฟังคำพูดของเถาเหวินแล้วก็รู้สึกว่าไม่เสียแรงที่อีกฝ่ายคือเซียนกระบี่ตัวจริงเสียจริง ช่างมีคุณสมบัติของคนเป็นเจ้ามือยิ่งนัก! แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นเพราะสายตามองคนของตนดี
เฉินผิงอันดื่มเหล้าคำเล็ก ใช้เสียงในใจเอ่ยถาม “เฉิงเฉวียนผู้นั้นตอบตกลงแล้วหรือ?”
เถาเหวินวางตะเกียบลง กวักมือขอเหล้าจากเด็กหนุ่มอีกหนึ่งกา เอ่ยว่า “เจ้าน่าจะรู้ว่าทำไมข้าถึงไม่ได้จงใจให้ความช่วยเหลือเฉิงเฉวียนกระมัง?”
เฉินผิงอันกล่าว “รู้ เพราะอันที่จริงท่านไม่อยากให้เขาออกจากหัวกำแพงเมืองไปเข่นฆ่าศัตรูเร็วเกินไปนัก ไม่แน่อาจยังหวังให้เขาหยุดอยู่ในขอบเขตน่ากระอักกระอ่วนที่ไม่สูงไม่ต่ำนี้ไปตลอด เป็นนักพนันก็ดี เป็นผีขี้เหล้าก็ช่าง ด้วยนิสัยของเฉิงเฉวียน ถึงอย่างไรนิสัยของเขาก็ไม่เลวร้ายไปอย่างไร ทุกวันนี้ต้องคอยกลัดกลุ้มอยู่กับเรื่องน้อยใหญ่ แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่าตาย ส่วนเรื่องเล็กๆ ในบ้านของท่านอาเหวินนั้น ต่อให้หนึ่งปีมานี้ข้าอุดหูไว้ก็ยังได้ยินมาอยู่ดี กำแพงเมืองปราณกระบี่มีข้อหนึ่งที่ทั้งดีและไม่ดี นั่นคือคำพูดคำจาของผู้คนไร้ยำเกรง ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ใหญ่แค่ไหนก็ยากจะปกปิดได้”
เถาเหวินโบกมือ “ไม่คุยเรื่องพวกนี้ ดื่มเหล้า”
เถาเหวินพลันถามว่า “ทำไมไม่ลงเดิมพันว่าตัวเองแพ้ไปเลย? บ่อนหลายแห่ง อันที่จริงล้วนมีการเดิมพันนี้อยู่ หากเจ้าใจเด็ดสักหน่อย คาดว่าอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะได้เงินฝนธัญพืชมาหลายสิบเหรียญ พวกเซียนกระบี่หลายคนที่ขาดทุนคงเต้นผางด่ามารดาเจ้าน่าดูเลยล่ะ”
เฉินผิงอันพูดเสียงขุ่น “หนิงเหยาบอกไว้ก่อนแล้วว่า ห้ามไม่ให้ข้าแพ้ ท่านคิดว่าข้าจะกล้าแพ้หรือ? เพื่อเงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่สิบเหรียญ ไม่เพียงแต่ชีวิตครึ่งหนึ่งหายไป กลางดึกกลางดื่นยังกลับบ้านไม่ได้ ต้องมาปูผ้านอนบนพื้นที่ร้านนี่ คุ้มค่าหรือ?”
เถาเหวินหัวเราะเสียงดังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาตบไหล่คนหนุ่ม “กลัวเมียไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ดีมาก พยายามเข้าอีก”
เฉินผิงอันยิ้ม ชนชามเหล้ากับเถาเหวิน
เถาเหวินพูดปลงอนิจจังเสียงเบา “เฉินผิงอัน มีความรู้สึกร่วมกับความสุขความทุกข์ การพบการพรากของคนอื่นมากเกินไป อันที่จริงไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คนที่พูดประโยคแบบนี้ออกมาได้ ก็ควรจะพูดกับตัวเอง ถามเองตอบเอง เสพสุขอยู่กับตัวเอง”
เถาเหวินอึ้งตะลึง จากนั้นก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่เปลี่ยนหัวข้อใหม่ว่า “เกี่ยวกับเรื่องกฎบนโต๊ะพนัน ข้าก็พูดกับเฉิงเฉวียนไปตามตรงแล้ว”
เฉินผิงอันแกว่งชามเหล้า เอ่ยว่า “หากสามารถรักษากฎของการทำการค้าไว้ได้ตลอดเวลา เป็นเรื่องดี แต่หากวันใดเฉิงเฉวียนที่รักษากฎมาโดยตลอดยังคงยินดีทำลายกฎเพื่อสหายคนใด ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเฉิงเฉวียนผู้นี้มีค่าควรแก่การคบหาอย่างแท้จริง ถึงเวลานั้นต่อให้ท่านอาเถาไม่ยอมให้เขายืมเงิน ช่วยด้านการฝึกตนเฉิงเฉวียน ข้าจะทำเอง บอกตามตรง ก่อนจะมาเป็นเถ้าแก่รอง ข้าเคยมีฉายาอยู่สองอย่างที่เลื่องลือไปทั้งใต้หล้าไพศาล และยิ่งเป็นฉายาที่สมชื่อมากยิ่งกว่า หนึ่งคือเฉินคนดี อีกหนึ่งคือกุมารแจกทรัพย์!”
เถาเหวินชี้ไปยังชามเหล้าในมือเฉินผิงอัน “ก้มหน้าลงมอง ยังมีหน้าเหลืออยู่หรือไม่”
เฉินผิงอันก้มหน้าแล้วก็กล่าวอย่างตกตะลึงว่า “เด็กรุ่นเยาว์ผู้นี้เป็นใคร โกนหนวดแล้วก็หล่อเหลาไม่เบา”
……
ในห้องหนังสือของเจ้าประมุขตระกูลเยี่ยน
เจ้าอ้วนเยี่ยนยืนอยู่หน้าห้องประตูหนังสืออย่างกล้าๆ กลัวๆ
ก่อนหน้านี้พอบิดาได้ยินเรื่องการถามหมัดหน้าจวนหนิงก็มอบเงินฝนธัญพืชให้เยี่ยนจั๋วหนึ่งเหรียญโดยลงเดิมพันว่าเฉินผิงอันจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ด้วยหมัดเดียว
ต่อให้เยี่ยนจั๋วจะมั่นใจในตัวเฉินผิงอันมาก แต่ก็ยังรู้สึกว่าเงินฝนธัญพืชเหรียญนี้ต้องลอยหายไปตามสายน้ำแน่นอน แต่เยี่ยนหมิงผู้เป็นบิดากลับบอกว่า ต่อให้ลงเดิมพันผิดก็ไม่เป็นไร
ดังนั้นเมื่อเยี่ยนจั๋วได้เงินมาแล้วจึงคิดว่าควรจะทำให้มั่นคงสักหน่อย เลยตัดสินใจแอบลงเดิมพันแทนบิดาโดยพลการว่าเฉินผิงอันจะชนะได้ภายในสามหมัดและสิบหมัด นอกจากเงินฝนธัญพืชเหรียญนี้แล้ว ตนยังเอาเงินเก็บของตัวเองเป็นเงินร้อนน้อยสองเหรียญมาลงเดิมพันว่าเฉินผิงอันจะสามารถล้มคว่ำอวี้เจวี้ยนฟูสตรีสูงศักดิ์จากแผ่นดินกลางคนนั้นได้ภายในร้อยหมัดด้วย ผลคือใครเล่าจะไปคาดคิดได้ว่า เฉินผิงอันจะเสนอวิธีการประลองฝีมือที่ตนเองเสียเปรียบอย่างถึงที่สุดแก่อวี้เจวี้ยนฟู ส่วนอวี้เจวี้ยนฟูผู้นั้นก็เลอะเลือนนัก หลังปล่อยไปหนึ่งหมัดก็ถึงกับยอมแพ้โดยตรง มารดามันเถอะ เจ้าน่าจะยอมทนรับอีกสักสองสามหมัดสิ เฉินผิงอันเป็นขอบเขตร่างทอง เจ้าอวี้เจวี้ยนฟูก็เป็นขอบเขตร่างทองที่รากฐานดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุดเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
เจ้าอ้วนเยี่ยนไม่อยากมาที่ห้องหนังสือของบิดา แต่จะไม่มาก็ไม่ได้ เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เขาเยี่ยนจั๋วควักเงินส่วนตัวไปลงเดิมพันจนหมด ต่อให้ขอยืมมาจากมารดาก็ยังชดใช้เงินฝนธัญพืชกองใหญ่ที่เดิมทีบิดาควรจะได้มาจากเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นจึงได้แต่มารับคำด่า ต่อให้โดนตีด้วยก็คงไม่แปลกอะไร
เยี่ยนหมิงถามโดยไม่เงยหน้า “เดิมพันผิด?”
เยี่ยนจั๋วอืมรับหนึ่งที
เยี่ยนหมิงถาม “การถามหมัดครั้งนี้ เฉินผิงอันจะแพ้หรือไม่? จะนั่งเป็นเจ้ามือหากำไรเข้ากระเป๋าตัวเองหรือไม่?”
เยี่ยนจั๋วกล่าว “ไม่มีทาง เฉินผิงอันไม่ยึดติดกับแพ้ชนะระหว่างการเข่นฆ่าของผู้ฝึกตนก็จริง มีเพียงบนเส้นทางของการเรียนวรยุทธเท่านั้นที่มีทิฐิยึดมั่นล้ำลึก อย่าว่าแต่อวี้เจวี้ยนฟูเป็นขอบเขตร่างทองเหมือนกันเลย ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล เฉินผิงอันก็ไม่มีทางยอมแพ้อย่างเด็ดขาด”
เยี่ยนหมิงถาม “ข้างกายเฉินผิงอันก็คือจวนหนิง ในจวนหนิงมีแม่หนูหนิง การถามหมัดครั้งนี้ เจ้าคิดว่าอวี้เจวี้ยนฟูมีใจอยากเอาชนะ อยากจะขัดเกลาวิถีวรยุทธของตัวเอง ถ้าอย่างนั้นสำหรับเฉินผิงอัน ชนะแล้ว จะมีความหมายอะไร?”
เยี่ยนจั๋วส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้ไม่แน่ใจ ภายหลังได้ยินบทสนทนาของเฉินผิงอันกับอวี้เจวี้ยนฟู ข้าเลยรู้ว่า เฉินผิงอันไม่คิดว่าการประลองของทั้งสองฝ่ายจะมีประโยชน์ใดๆ ต่อเขา”
เยี่ยนหมิงเงยหน้าขึ้น ถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้อวี้เจวี้ยนฟูเลิกตอแย? ตอนนี้เจ้าคิดจนกระจ่างหรือยังว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงได้เสนอความคิดเช่นนั้น? หากยังคิดไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นของข้าก็ลอยหายไปกับสายน้ำจริงๆ แล้ว ความเสียหายทั้งหมดที่มาจากเงินฝนธัญพืชเหรียญนี้ เจ้าจงเขียนลงบัญชีเอาไว้ แล้ววันหน้าก็ค่อยๆ ใช้คืน เยี่ยนจั๋ว เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเฉินผิงอันตั้งใจยอมต่อให้ก่อน? เจ้าคิดว่าอวี้เจวี้ยนฟูผู้นั้นออกหมัด แต่กลับยอมรับความพ่ายแพ้โดยตรง คือการกระทำที่เกิดขึ้นตามใจปรารถนาอย่างนั้นหรือ? เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ขอแค่อวี้เจวี้ยนฟูยอมละทิ้งข้อได้เปรียบในการเรียนวรยุทธ แล้วยืนนิ่งไม่ขยับเหมือนเฉินผิงอัน จากนั้นรับหมัดหมัดหนึ่งจากเฉินผิงอัน อวี้เจวี้ยนฟูก็จะไม่มีหน้าตะโกนพูดถึงการประลองสองครั้งหลังแล้ว? เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าอดีตผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบอย่างป๋ายเลี่ยนซวง อดีตผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินอย่างน่าหลันเย่สิงของจวนหนิง วันๆ ทำแค่เฝ้าประตูหรือไม่ก็กวาดถูเรือนอย่างเดียว? ขอแค่เป็นเรื่องที่พวกเขาสอนได้ก็จะต้องสอนมันให้แก่ท่านเขยของตัวเอง และขอแค่เป็นเรื่องที่เฉินผิงอันเรียนรู้ได้ เขาก็จะต้องเรียนรู้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังจะเรียนได้ดีและเรียนได้เร็วมากเป็นพิเศษด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทางฝั่งของหัวกำแพงเมืองที่มีจั่วโย่วคอยสอนวิชากระบี่ให้ทุกๆ สามวันห้าวัน เวลาหนึ่งปีมานี้ อันที่จริงเจ้าเยี่ยนจั๋วก็ไม่ได้ใช้เวลาไปอย่างเสียเปล่า แต่คนเขากลับเหมือนใช้เวลาไปแล้วสามปีห้าปีอย่างไรอย่างนั้น”
เยี่ยนจั๋วกล่าวอย่างน้อยใจ “ข้าเองก็อยากจะประลองฝีมือกับเซียนกระบี่อยู่เหมือนกัน แต่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเราผู้นี้มาดใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีก เขาไม่ชอบขี้หน้าข้ามาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ตอนนี้ให้ตายก็ไม่ยอมสอนวิชากระบี่ให้แก่ข้า ข้าทำหน้าหนาไปขอร้องเขาอยู่หลายครั้ง ตาเฒ่านั่นก็ยังไม่ยินดีจะสนใจข้า”
เยี่ยนหมิงสีหน้าราบเรียบ “ทำไมไม่มาขอให้ข้าช่วยพูดให้ ให้เขายอมสอนกระบี่เจ้าแต่โดยดี? ในตระกูลเยี่ยน คำพูดของใครได้ผลมากที่สุด? เจ้าประมุขเยี่ยนหมิงควบคุมแม้แต่ผู้ถวายงานเซียนกระบี่เล็กๆ คนหนึ่งไม่ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เยี่ยนจั๋วพลันตาแดงก่ำ พูดเสียงสะอื้นว่า “ก็ข้าไม่กล้านี่นา ข้ากลัวว่าท่านจะด่าว่าข้าไม่เอาไหน ดีแต่กินดื่มอยู่ในบ้านให้สิ้นเปลืองไปวันๆ คำพูดที่ชวนให้คนสะอิดสะเอียนอย่างคำว่านายน้อยใหญ่ของตระกูลเยี่ยนเป็นหมูที่ถูกขุนจนอ้วนแล้ว เผ่าปีศาจที่อยู่ทางทิศใต้แค่แร่เนื้อไปก็พอ…ล้วนเป็นคำพูดที่แพร่ไปจากตระกูลเยี่ยนของพวกเราเอง ปีนั้นท่านพ่อไม่เคยจะสนใจควบคุม…แล้วทำไมข้าต้องมาที่นี่ให้ท่านด่าด้วย…”
เยี่ยนหมิงสีหน้าเป็นปกติ ยังคงไม่เอ่ยอะไรสักคำ
เยี่ยนจั๋วที่พูดความในใจจบรวดเดียวหันหน้าไปเช็ดน้ำตาทางอื่นแล้ว
เจ้าประมุขตระกูลเยี่ยนที่ชายแขนเสื้อสองข้างว่างเปล่าท่านนี้ถึงได้เปิดปากเอ่ยว่า “ไปบอกกับเขาว่า ให้เขาสอนกระบี่เจ้า มีความรู้เท่าไรต้องทุ่มออกมาให้หมด ห้ามเก็บซ่อนไว้แม้แต่น้อย”
เยี่ยนจั๋วอืมรับทีหนึ่งแล้วก็วิ่งออกไปจากห้องหนังสือ
ตรงมุมของห้องหนังสือมีริ้วคลื่นกระเพื่อมขึ้นมา ก่อนที่ร่างของผู้เฒ่าคนหนึ่งจะปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต้องให้ข้าเป็นคนเลวให้ได้เลยหรือ?”
เยี่ยนหมิงยิ้มบางๆ ตอบว่า “เจ้าเป็นผู้ถวายงานที่ทุกปีได้เงินเทพเซียนไปจากข้ากองโต ไม่เป็นคนชั่ว หรือจะให้ข้าที่เป็นพ่อต้องเป็นคนเลวในสายตาบุตรชาย?”
ผู้เฒ่าคิดว่าจะกลับไปยังสถานที่ฝึกตนของตัวเองทันที เพราะถึงอย่างไรเจ้าอ้วนน้อยผู้นั้นได้รับคำบัญชาไปแล้ว เวลานี้คงกำลังชักเท้าวิ่งตะบึงไปหาเขา แต่ผู้เฒ่าก็ยังยิ้มกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าประมุขเอ่ยคำว่า ‘ผู้ถวายงานเซียนกระบี่เล็กๆ’ สองคำหลังนี่ เลือกใช้คำได้ไม่เหมาะสมเท่าไรนะ”
เยี่ยนหมิงโบกมือเบาๆ ภูตน้อยที่ทำหน้าที่คอยพลิกเปิดหน้าหนังสือให้เขาตนนั้นก็เข้าใจได้ทันควัน มันงอสองเข่าลงเล็กน้อย แล้วดีดตัวกระโดดเข้าไปในกระบอกเก็บพู่กันใบหนึ่งที่วางไว้บนโต๊ะ ย้ายเอาเงินฝนธัญพืชออกมาสองเหรียญ จากนั้นก็ขว้างไปที่ผู้เฒ่าคนนั้น
ผู้เฒ่าเก็บเงินฝนธัญพืชสองเหรียญมาไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เหมาะสมมากแล้ว”
เยี่ยนหมิงคิดแล้วก็เอ่ยด้วยสีหน้าพิพักพิพ่วนว่า “เป็นผลลัพธ์จากการฝึกกระบี่แบบเดียวกัน แต่จำไว้ว่าออมมือหน่อย”
ร่างผู้เฒ่าวูบหายไป
อันที่จริงเยี่ยนหมิงยังมีคำพูดบางอย่างที่ไม่ได้บอกเยี่ยนจั๋วไปอย่างชัดเจน
ยกตัวอย่างเช่นตระกูลเยี่ยนหวังอย่างยิ่งกว่าเซียนกระบี่หญิงคนหนึ่งที่มีชื่อเล่นว่าชงฮวา (ต้นหอมซอย) จะสามารถกลายมาเป็นผู้ถวายงานคนใหม่ได้
เด็กสาวที่เดิมทีอนาคตบนมหามรรคายาวไกลผู้นั้นได้ออกจากหัวกำแพงเมืองไปรบตายอยู่บนสนามรบทางฝั่งทิศใต้ สภาพการตายชวนสังเวชอย่างถึงที่สุด ตอนนั้นการเข่นฆ่าบนสนามรบดุเดือดเลวร้าย สุดท้ายบุรุษผู้นี้ได้ฝืนอาการบาดเจ็บสาหัสเข้าไปช่วยเหลือ แต่ก็ยังช่วยได้ไม่ทันกาล
ภายหลังมารดาของเด็กสาวจึงเสียสติ ทั้งวันทั้งคืนเอาแต่พร่ำพูดประโยคหนึ่งถามบุรุษของตัวเองว่า เจ้าคือเซียนกระบี่ เหตุใดถึงได้ไม่ปกป้องลูกสาวตัวเอง?
……
บุรุษคนหนึ่งกลับมาถึงบ้านที่หากไม่มีเขาก็ว่างเปล่า ก่อนหน้านี้เขาสั่งบะหมี่หยางชุนจากร้านเหล้ามาเพิ่มอีกสามชาม เก็บไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อ เวลานี้ทยอยเอาชามวางไว้บนโต๊ะ หยิบตะเกียบออกมาสามคู่แล้วจัดวางให้เรียบร้อย จากนั้นบุรุษก็ก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ชามของตัวเอง บะหมี่หยางชุนชามหนึ่งในนั้นใส่ต้นหอมซอยมากเป็นพิเศษ
……
ท่ามกลางแสงสนธยา เฉินผิงอันที่เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อนั่งเอนพิงกรอบประตูอยู่บนธรณีประตู มองร้านของตัวเองที่กิจการดีเยี่ยม รวมไปถึงร้านเหล้าน้อยใหญ่ห่างไปไกลที่กิจการซบเซา
ได้ยินว่าสตรีสูงศักดิ์จากแผ่นดินกลางที่มาเยือนในปีนั้น หลังจากเดินอาดๆ ออกมาจากหอมายา เซียนกระบี่ทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ออกกระบี่ใส่ผู้ฝึกตนสำนักการทหารห้าขอบเขตบนมีนามว่าเถาเหวิน
ภายหลังเรื่องราวที่เป็นเพียงทุกข์สุขพบพรากของคนอื่นนี้ เดิมทีแค่ฟังก็ปล่อยผ่านไป ดื่มเหล้าไปหลายกา กินบะหมี่หยางชุนไปหลายชาม เรื่องราวก็ผ่านพ้นไปแล้ว ทว่ามันกลับยังคงวนเวียนอยู่ในใจของเฉินผิงอันไม่จางหาย มีแต่จะทำให้คนหนุ่มที่จากบ้านเกิดมาไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้คิดถึงตรอกหนีผิงบ้านเกิดอย่างอดไม่ได้ ภายหลังในใจเขารู้สึกย่ำแย่จริงๆ ตอนนั้นถึงได้ถามคำถามนั้นกับหนิงเหยา
ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ไม่ว่าเด็กหรือแก่ ขอแค่เป็นผู้ฝึกกระบี่ นั่นก็คือทุกคนกำลังรอความตาย ตายไปคนหนึ่งเดี๋ยวก็มีคนตายอีก ตายจนไม่มีใครยินดีจะจดจำใครนานๆ อีกแล้ว
ทว่าพวกตะพาบจากใต้หล้าไพศาลกลับมาพร่ำพูดหลักคุณธรรมจริยธรรม กฎเกณฑ์มารยาทที่ไร้น้ำหนักที่นี่อย่างนั้นหรือ?
ทำไมถึงไม่มองไปให้ทั่วกำแพงเมืองปราณกระบี่เสียก่อนแล้วค่อยบอกถึงข้อดีและข้อเสียของที่นี่? ไม่ได้จะให้เจ้าขึ้นไปบนหัวกำแพงเมืองแล้วกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญเสียหน่อย คนที่ตายไม่ใช่พวกเจ้านี่นา ถ้าอย่างนั้นแค่มองให้มากหน่อย คิดให้มากหน่อย มันยากนักหรือไร?
เด็กหนุ่มจางเจียเจินปลีกตัวจากงานที่ยุ่งวุ่นวาย เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วก็หันมาเห็นโดยบังเอิญว่าท่านเฉินเอนศีรษะพิงกรอบประตู สายตาเหม่อลอยมองไปเบื้องหน้า แววตาเคว้งคว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ดูเหมือนว่าอาจารย์เฉินจะเสียใจ แล้วก็ผิดหวังอยู่เล็กน้อย