พอจะมองเห็นเค้าโครงของภูเขาห้อยหัวได้ลางๆ
เฉาฉิงหล่างทอดสายตามองไป เอ่ยอย่างไม่กล้าเชื่อว่า “นี่คือตราประทับอักษรภูเขาชิ้นหนึ่งจริงหรือ?”
จ้งชิวกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ต่างบ้านต่างเมือง ช่างมีทัศนียภาพงดงามยิ่งใหญ่มากมายเสียเหลือเกิน”
เผยเฉียนนั่งอยู่บนราวระเบียงกับชุยตงซาน หันหน้ามาเอ่ยเสียงเบาว่า “ปัญญาชนสองคน แต่กลับมีความรู้ไม่เยอะเท่าข้า เจ้าเห็นข้าไหม พอเห็นภูเขาห้อยหัวนั่น ข้ามีท่าทางประหลาดใจหรือ? ไม่มีเลยสักนิด จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นภัยจากการที่เอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียว ไม่รู้จักออกเดินทาง แต่ข้านั้นไม่เหมือนกัน คัดอักษรไม่หยุด แล้วยังเคยท่องผ่านหมื่นภูเขากับอาจารย์พ่อมาก่อน อาจารย์จ้งเคยไปเยือนใบถงทวีปที่ใหญ่ขนาดนั้นมาบ้างหรือไม่? เคยไปเยือนแคว้นชิงหลวนของแจกันสมบัติทวีปไหม? อีกอย่างข้าเองก็คัดหนังสือทุกวัน ใต้หล้านี้เรื่องของการคัดหนังสือจนกองกันเป็นภูเขา นอกจากพี่หญิงเป่าผิงแล้ว หากข้าบอกว่าตัวเองเป็นที่สาม ก็คงไม่มีใครกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นที่สอง!”
ชุยตงซานพูดด้วยใบหน้าฉงน “แต่เมื่อครู่นี้ที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่เห็นภูเขาห้อยหัวก็ดูเหมือนว่าจะน้ำลายไหลด้วยนะ ท่าทางราวกับอยากจะย้ายมันกลับภูเขาลั่วพั่วอย่างไรอย่างนั้น วันหน้าใครไม่ยอมแพ้ก็เอาตราประทับนี่ไปทุบหัวคนคนนั้น”
เผยเฉียนรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “สมบัติชิ้นโตขนาดนั้น ใครเห็นแล้วจะไม่อยากได้บ้างเล่า”
“เกี่ยวกับเรื่องของการคัดหนังสือนี้ อันที่จริงพ่อครัวเฒ่าที่เจ้าดูแคลนความรู้ของเขาค่อนข้างจะร้ายกาจ ในอดีตผู้ที่รับผิดชอบเรื่องการเขียนหนังสือประวัติศาสตร์ของราชสำนักก็เป็นเขาที่ดึงเอาตัวขุนนางบุ๋นผู้รอบรู้ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้าสิบกว่าท่าน และบัณฑิตของสำนักฮั่นหลินที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังและชีวิตชีวาอีกยี่สิบกว่าคนให้มาช่วยกันเรียบเรียง คัดลอกตำราประวัติศาสตร์ไม่หยุดทั้งกลางวันกลางคืน สุดท้ายเขียนออกมาได้ถึงสิบล้านตัวอักษร ตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กที่เป็นฝีมือของจูเหลี่ยนั้นยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุดจริงๆ หากจะบอกว่าเชี่ยวชาญอย่างล้ำลึกก็ไม่มากเกินไป ต่อให้เป็นหออักษรทั้งหลายของใต้หล้าไพศาลที่ทุกวันนี้ได้รับความนิยมมากที่สุด ลายมือก็ยังสู้ของจูเหลี่ยนในอดีตไม่ได้ การเรียบเรียงตำราครั้งนี้ถือเป็นการรวบรวมความรู้ที่น่าสนใจที่สุดในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว น่าเสียดายที่นักพรตเฒ่าจมูกโคบางคนรู้สึกขวางหูขวางตาก็เลยขยับปลายนิ้ว หายนะล่มแคว้นครั้งนั้นเหมือนการจุดไฟเตาเผาบูชาตัวอักษรให้กับขนบธรรมเนียมของบางแห่งในใต้หล้าไพศาล ทำการเผาวัตถุอย่างกระดาษที่ถูกทิ้งและเศษซากเครื่องกระเบื้องที่มีตัวอักษรโดยเฉพาะ ทั้งหมดถูกเผาทิ้งไปถึงเจ็ดแปดส่วน ความตั้งใจและความทุ่มเทของบัณฑิต ความรู้บนหน้ากระดาษต้องกลับคืนสู่ฟ้าดินไปเกินครึ่งในคราวเดียว”
ชุยตงซานเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุด พอเล่าถึงประวัติเก่าแก่ยาวนานของสถานที่แห่งหนึ่งไปแล้วก็โบกชายแขนเสื้อสองข้างขึ้นลง เอ่ยชวนคุยว่า “ลำพังแค่ดูไม่จดจำ จอกแหนลอยคว้างไปตามกระแสคลื่น ไม่เหมือนคนอื่นที่เห็นหนึ่งเป็นหนึ่ง เห็นสองได้สอง พอเห็นสามก็รู้เป็นร้อยพัน ทำไปตามลำดับขั้นตอนก็คือเสากลางกระแสน้ำ พอน้ำลอยมากระทบก็เกิดเป็นคลื่นสูงหมื่นจ้างโถมตัวท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา”
เผยเฉียนถลึงตาใส่ “ห่านขาวใหญ่ สรุปว่าเจ้าอยู่ฝั่งไหนกันแน่? ทำไมแขนเจ้าชอบหันออกไปข้างนอกอยู่เรื่อย (เปรียบเปรยว่าเข้าข้างคนอื่น ไม่เข้าข้างคนของตัวเอง) จะให้ข้าช่วยบิดให้เจ้าไหม? ตอนนี้การเรียนวรยุทธของข้าสำเร็จไปขั้นใหญ่แล้ว ได้ประมาณหนึ่งส่วนของอาจารย์แล้วล่ะ เวลาออกแรงจะไม่รู้จักหนักเบา เสียงกร๊อบหนึ่งครั้ง นึกจะหักก็หักง่ายๆ พอไปเจออาจารย์พ่อ เจ้าห้ามเอาไปฟ้องเด็ดขาดเลย”
ส่วนที่บอกว่าความรู้ของพ่อครัวเฒ่าหรือการเขียนตัวอักษรอะไรนั่น ใครจะไปเชื่อ
อาจารย์พ่อแค่ใช้ฝ่ามือข้างเดียวกับคำพูดอีกสองสามประโยค ก็สามารถทำให้พ่อครัวเฒ่ายอมยกธงขาวแล้วสงบใจทำกับข้าวอยู่ในห้องครัวแต่โดยดีได้แล้ว
ชุยตงซานยื่นฝ่ามือออกมา “ขอข้ายืมยันต์กระดาษเหลืองมาแปะหน้าผากให้หายตกใจหน่อย ศิษย์พี่หญิงใหญ่ทำให้ข้าตกใจจะตายอยู่แล้ว”
เผยเฉียนขมวดคิ้วพูด “อย่าเหลวไหลนะ อาจารย์พ่อเคยบอกว่า ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอกห้ามหยิบยันต์ที่เป็นสมบัติของตัวเองออกมาอวดส่งเดช สถานที่ที่มีผู้ฝึกตนรวมตัวกันอยู่มากมาย ง่ายจะทำให้คนอิจฉา พอคนอิจฉาก็เกิดเรื่องถูกผิดได้ง่าย ตนเองไม่ผิดกลับชักนำให้คนอื่นคิดว่าผิด แล้วพอไม่ยอมรับผิดก็จะเกิดทะเลาะเบาะแว้งกัน สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจกล่าวคำว่า ‘ข้าไม่ผิด’ ออกมาได้ หากอยู่ในสถานที่ที่มีภูตผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์รวมตัวกันมากมายก็จะยิ่งถูกมองเป็นการท้าทาย นี่ข้าไม่ได้พูดเหลวไหลไปเองนะ ปีนั้นตอนที่ข้าอยู่ใบถงทวีปกับอาจารย์พ่อ ในป่าร้างชานเมืองที่ดวงจันทร์ส่องแสงยามราตรีลมพัดแรง ก็เคยได้เจอกับขบวนเทพภูเขาสู่ขอภรรยา ข้าแค่มองมากไปหน่อย มองมากไปแค่ครั้งเดียวจริงๆ พวกภูตผีเหล่านั้นก็พากันหันมาถลึงตาใส่ข้าอย่างพร้อมเพรียง เจ้าพวกตัวดี เจ้าลองเดาสิว่าเป็นอย่างไร อาจารย์พ่อเห็นข้าได้รับความอยุติธรรมใหญ่เทียมฟ้าก็เลยรีบถลึงตากลับไปทันที พวกองค์เทพและภูตผีของขุนเขาสายน้ำที่แต่ละตนเย่อหยิ่งจองหองเหมือนถูกฟ้าผ่า จากนั้นก็พากันหมอบกราบ คุกเข่าขอร้อง แม้แต่เกี้ยวที่มีสตรีซึ่งไม่รู้ว่าเป็นคนหรือผีนั่งอยู่ก็ยังไม่กล้าไม่มีใครกล้ายกขึ้นมา คาดว่าคงถูกโยนทิ้งจนแตกพังบ้างล่ะ ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ในใจของข้ายังรู้สึกผิดไม่หายเลย”
ชุยตงซานยิ้มบางๆ “เล่าเรื่องจริงจบแล้ว ไหนลองเล่าฉบับไม่จริงบ้างสิ”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที “ฉบับไม่จริงน่ะหรือ ก็มีอยู่เหมือนกัน ก็คืออาจารย์พ่อลุกขึ้นยืน เป็นฝ่ายเอ่ยขออภัยหมัวมัวเฒ่าที่เป็นคนนำขบวนก่อน จากนั้นยังกล่าวอวยพรให้พวกเขาอย่างจริงใจ หลังจบเรื่องยังสั่งสอนข้าไปรอบหนึ่ง แล้วยังบอกด้วยว่าเรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม ผ่านไปสองครั้งแล้ว หากยังทำผิดอีกจะไม่เกรงใจข้าแล้วจริงๆ”
เผยเฉียนขยี้ตา แสร้งทำท่าเช็ดน้ำตาเอ่ยว่า “ต่อให้จะเป็นแค่เรื่องโกหก แต่พอคิดตามก็ยังทำให้คนเสียใจจนน้ำตาไหลได้อยู่ดี”
ชุยตงซานยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “อย่าลืมเก็บขี้ตาไว้ล่ะ ไม่ใช่เช็ดออกหมด”
เผยเฉียนปล่อยหมัดออกไปหนึ่งหมัด ขณะที่อยู่ห่างจากศีรษะของชุยตงซานหนึ่งชุ่นก็เก็บหมัดมา หัวเราะคิกคัก “กลัวหรือไม่?”
ชุยตงซานอยู่นิ่งๆ ก่อนครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหลือกตาสองข้างขึ้น ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านไม่หยุด พูดเสียงอู้อี้ว่า “ช่างเป็นพายุหมัดที่เผด็จการนัก ข้าจะต้องได้รับบาดเจ็บภายในที่สาหัสมากอย่างแน่นอน”
เผยเฉียนประกบสองนิ้วเข้าหากันแล้วจิ้มออกไป “นิ่ง!”
ชุยตงซานรีบหยุดนิ่งไม่ขยับทันที
เผยเฉียนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เจ้านี่สมควรโดนสั่งสอนจริงๆ
ครู่หนึ่งต่อมา ชุยตงซานก็พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ รีบเก็บวิชาอภินิหารเร็วเข้า!”
เผยเฉียนใช้มือสองข้างเท้าคาง ทอดสายตามองไปทิศไกล เอ่ยเสียงเบาอย่างเนิบช้าว่า “อย่าพูดกับข้า ทำให้ข้าเสียสมาธิ ข้าต้องตั้งใจคิดถึงอาจารย์พ่อแล้ว”
หลังจากนั้นชุยตงซานก็นั่งนิ่งเหมือนก้อนหินจริงๆ เพียงแต่เงยหน้ามองภูเขาห้อยหัว สิ่งที่คิดอยู่ในหัว ไม่ได้อยู่ที่ภูเขาห้อยหัว ถึงขั้นไม่อยู่ในใต้หล้าไพศาลหรือใต้หล้ามืดสลัวที่ห่างไกลยิ่งกว่าด้วยซ้ำ แต่เป็นที่ฟ้านอกฟ้า คิดไปถึงเทวบุตรมารนอกโลกที่นอกจากผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานแล้วก็ไม่มีใครเดาประวัติความเป็นมาของพวกมันออก
สองปัญญาชนน้อยใหญ่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลอย่างจ้งชิวและเฉาฉิงหล่างเคยชินกับการเล่นก่อกวนของคนทั้งสองนานแล้ว
ในเรื่องของการฝึกตน บางครั้งที่เฉาฉิงหล่างเจอด่านสำคัญหลายอย่างที่จ้งชิวไม่อาจช่วยไขข้อข้องใจให้ได้ ก็จะไปถามเอาจากชุยตงซานที่เป็นคนร่วมสำนัก เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ผู้นั้น ทุกครั้งชุยตงซานก็จะพูดถึงแค่เรื่องที่เขาถาม พูดจบก็เริ่มไล่แขก เฉาฉิงหล่างก็จะเอ่ยขอบคุณแล้วขอตัวจากมา เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง
อันที่จริงเฉาฉิงหล่างถือเป็นตัวอ่อนผู้ฝึกตนกลุ่มแรกๆ ตามหลังอวี้เจินอี้ที่ใจคิดแต่อยากจะเป็นเซียนที่สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของปราณวิญญาณฟ้าดินในพื้นที่มงคลดอกบัวปีนั้น และท่ามกลางหยกงามด้านการฝึกตนกลุ่มเล็กนี้ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเฉาฉิงหล่างคือบุคคลที่มีทั้งพรสวรรค์ รากฐานและโชควาสนา ดังนั้นครั้งที่สองที่ได้พบเผยเฉียน เฉาฉิงหล่างที่ตอนนั้นได้เดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนแล้วถึงได้พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ต่อให้ครั้งแรกที่ได้กลับมาพบเจอเผยเฉียนอีกครั้งแล้วเผยเฉียนลงมือกับเขาจริงๆ นางก็ไม่มีทางทำได้สำเร็จ ภายหลังตอนอยู่ในวัดซินเซียงที่อยู่ติดกับตรอกเล็กเก่าโทรม เฉาฉิงหล่างลงมือห้ามปรามเผยเฉียนอยู่หลายครั้ง อันที่จริงก็ได้เผยให้เห็น…กลิ่นอายของเซียนแล้ว
หากไม่พูดถึงงานพิธีแขวนภาพเหมือน จุดธูปบูชาของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วที่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ร่างของพวกเขาได้เดินทางมาเยือนใต้หล้าไพศาล อันที่จริงการที่จ้งชิวพาเฉาฉิงหล่างท่องไปทั่วยุทธภพของใต้หล้ารากบัว ตามความหมายที่แท้จริงแล้วก็ถือว่าได้ออกมาจากฟ้าดินขนาดเล็กที่ในประวัติศาสตร์มักจะมีเจ๋อเซียนจุติลงมายังโลกมนุษย์อยู่เสมอแห่งนั้นแล้ว จากนั้นก็ได้มาเยือนใต้หล้าที่ใหญ่กว่าบ้านเกิดซึ่งมีเจ๋อเซียนมากมายอย่างใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ แล้วก็จริงดังคาด ที่นี่มีสามลัทธิ ร้อยสำนักประชันขับขาน ตำราอริยะปราชญ์มากมายดั่งไอหมอกลอยเหนือมหาสมุทร โชคดีที่ซานจวินใหญ่แห่งขุนเขาเหนือเว่ยป้อเป็นฝ่ายเอาวัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งให้จ้งชิวยืมตอนอยู่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่เรื่องการเลือกซื้อตำราที่นครมังกรเฒ่าก็มากพอจะทำให้จ้งชิวตกอยู่ในสภาวะกระอักกระอ่วนที่คำนึงถึงอันนี้แล้วต้องพลาดอันนั้นแล้ว
ตอนนั้นหลังกลับไปถึงเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนก็ได้เตรียมการสำหรับเดินทางออกมาจากพื้นที่มงคลรากบัว จ้งชิวเคยกล่าวกับเฉาฉิงหล่างด้วยความหวังดีว่า ยิ่งฟ้าสูง ยิ่งแผ่นดินกว้างใหญ่ ก็ยิ่งควรจะจดจำคำว่า จะไปไหนต้องบอกให้รู้ถึงที่ที่จะไป
การที่เดินทางท่องไปทั่วพื้นที่มงคลก่อนจะเดินทางออกจากบ้านเกิด นอกจากเพื่อจ้งชิวที่กักตัวเองอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนมาเกินครึ่งชีวิต และตัวเฉาฉิงหล่างเองก็ต้องการจะทำความเข้าใจกับขนบธรรมเนียมของสี่แคว้นด้วยตัวเองแล้ว ตลอดเส้นทางนั้น จ้งชิวก็ยังได้วาดภาพแผนที่นับร้อยแผ่นร่วมกับเฉาฉิงหล่างด้วยมือตัวเอง จ้งชิวบอกกับเฉาฉิงหล่างอย่างชัดเจนว่า ต่อจากนี้ใต้หล้าแห่งนี้จะเกิดสถานการณ์ใหม่ดั่งฟ้าคว่ำแผ่นดินพลิกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จะมีผู้ฝึกตนถือกำเนิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน พวกเขาจะพากันขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนเซียน เดินขึ้นสู่ที่สูงเพื่อแสวงหาความจริง แล้วก็จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และศาลเจ้ามากมายถูกแต่งตั้งขึ้น จะมีภูตผีที่เหมือนปลาหลุดรอดจากแหหลายตนไปสร้างความวุ่นวายให้กับโลกมนุษย์
เฉินผิงอันอาจารย์ของเจ้าไม่อาจทุ่มเทเวลาและความคิดจิตใจมาจับตามองที่นี่ได้มากนัก เขาจำเป็นต้องมีคนช่วยแบ่งเบาภาระให้ คอยให้เขาแนะนำเขา ถึงขั้นที่ว่าต้องมีคนที่ยินดีเอ่ยถ้อยคำซื่อสัตย์ระคายหูอยู่ข้างกายเขา จากนั้นจ้งชิวก็ถามเฉาฉิงหล่างว่า หากมีวันนั้นจริงๆ จะยินดีพูดหรือไม่ จะกล้าพูดหรือไม่
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ยินดี แล้วก็กล้าด้วย
จ้งชิวถามอีกว่า หากเจ้ากับอาจารย์ถกเถียงกันจนไม่ได้ข้อสรุป ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองมีเหตุผล ควรจะทำอย่างไร
เด็กหนุ่มตอบอีกครั้ง จะโต้เถียงกันเพราะต้องการแค่เอาชนะไม่ได้ จำเป็นต้องหาข้อดีมาชดเชยข้อเสีย หาหลักการเหตุผลมาจากคำพูดของอีกฝ่าย แล้วต่างคนก็ต่างนำมาขัดเกลากันเอง นี่ก็จะมีโอกาสทำให้พื้นที่มงคลรากบัวมีมหามรรคาเส้นหนึ่งที่สรรพชีวิตในใต้หล้าล้วนมีอิสระเสรีปรากฎขึ้น
สุดท้ายจ้งชิวยังถามว่า หากในอนาคตมหามรรคาของพวกเจ้าทั้งสองถูกกำหนดให้ต้องช่วงชิงแก่งแย่งกันเอง และจะไม่มีทางเลือกอย่างอื่นนอกจากต้องเลือกอย่างหนึ่งสละทิ้งอย่างหนึ่ง เจ้าควรจะทำอย่างไร?