ยามฟ้าสาง ขยับเข้าใกล้ประตูใหญ่ของภูเขาห้อยหัว จากนั้นแค่เดินออกไปไม่กี่ก้าวก็จะข้ามผ่านใต้หล้าแห่งหนึ่งไปสู่ใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งแล้ว แต่จ้งชิวกลับถามว่า “โปรดอภัยที่ข้าถามมาก การเดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนี้ ใครเป็นผู้ช่วยเหลือ ระหว่างเดินทางกลับจะมีภัยแฝงหรือไม่”
ชุยตงซานกลับไม่คิดจะปิดบังอะไร ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นการช่วยเหลือเล็กๆ จากเส้าอวิ๋นเหยียนเซียนกระบี่เจ้าของเรือนชุนฟาน ก็แค่ใช้เงินเปิดทางเท่านั้น ไม่มีค่าพอให้อาจารย์จ้งต้องเป็นกังวล”
แน่นอนว่าจ้งชิวไม่ได้เชื่อในคำพูดเหล่านี้ของเด็กหนุ่ม คิดจะยื่นเงินส่งให้กับเส้าอวิ๋นเหยียนของเรือนชุนฟาน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเคาะประตูให้อีกฝ่ายยอมเปิดประตูออกมาก่อนถึงจะได้
เพียงแต่ว่าในเมื่อชุยตงซานบอกว่าไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวล จ้งชิวจึงวางใจลงได้ ไม่อย่างนั้นทั้งสองฝ่ายที่ทุกวันนี้ถือว่ามาจากศาลบรรพจารย์เดียวกันบนภูเขาลั่วพั่ว หากมีจุดที่ต้องการให้เขาจ้งชิวออกแรงจริงๆ จ้งชิวก็ยังหวังว่าชุยตงซานจะสามารถบอกความจริงอย่างตรงไปตรงมาแก่เขาได้
สำหรับชุยตงซาน ไม่ใช่แค่เขาจ้งชิวเท่านั้นที่ประหลาดใจ อันที่จริงจ้งชิวยังมองออกว่าคนสามคนได้แก่จูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิงละซานจวินเว่ยป้อ ในฐานะภูเขาลูกเล็กที่มีคุณวุฒิเก่าแก่ที่สุดของภูเขาลั่วพั่ว แท้จริงแล้วพวกเขาต่างก็ให้ความสำคัญกับความใกล้ชิดห่างเหินระหว่างตนเองกับยอดฝีมือนอกโลกที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้มากเหมือนกัน เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ‘เด็กหนุ่ม’ ที่มีนามว่าชุยตงซานผู้นี้มีความคิดล้ำลึกเหมือนหุบเหวที่มองไม่เห็นก้นบึ้งมากเกินไป ในฐานะราชครูของหนึ่งแคว้น เขาจ้งชิวเห็นคนมานักต่อนัก ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิ อัครเสนาบดี แม่ทัพหรือผู้กล้าในใต้หล้า แม้แต่จิตใจดั้งเดิมของอวี้เจินอี้ที่หันมาฝึกตนแสวงหาการเป็นเซียน เขาก็ยังมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง หันกลับมามองเด็กหนุ่มชุดขาวที่วันๆ ชอบเล่นสนุกเอะอะมะเทิ่งกับเผยเฉียนผู้นี้ ส่วนลึกในใจของจ้งชิวคล้ายมีลางสังหรณ์บอกกับตัวเขาเองว่า ไม่ไปสืบเสาะความคิดจิตใจของคนผู้นี้ถือเป็นแผนการอันดีเยี่ยมที่สุดแล้ว
คนเฝ้าประตูของที่แห่งนี้คือนักพรตน้อยอ่อนเยาว์ที่มีวัยวุฒิสูงเทียบเท่ากับเทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัว เวลานี้นักพรตน้อยไม่ได้ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออีกแล้ว แต่จ้องเป๋งมองประเมินคนทั้งสี่อย่างไม่คิดจะปิดบังสายตาของตัวเองแม้แต่น้อย
จากนั้นนักพรตน้อยที่เคยตบให้ลู่ไถกระเด็นออกจากหอซ่างเซียนด้วยฝ่ามือเดียวผู้นี้ก็ถามคำถามกับคนทั้งสี่ในเวลาเดียวกัน โดยถามเด็กหนุ่มชุดลัทธิขงจื๊อและแม่นางน้อยที่ถือไม้เท้าเดินป่าด้วยคำถามเดียวกัน
คำถามที่ถามจ้งชิวคือ “ยินดีขึ้นไปจุดธูปหนึ่งดอกที่หอซ่างเซียง (จุดธูป/ปักธูป) หรือไม่? หากจุดธูปได้สำเร็จก็จะสามารถอาศัยสิ่งนี้มาอยู่ในสำนักของข้า ไม่แน่ว่าหลังจากวันนี้ไปเจ้าและข้าอาจเรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง แต่ข้าไม่อาจรับประกันได้ว่าความอาวุโสของเจ้าจะขยับขึ้นไปได้อีกก้าว เรื่องนี้จำเป็นต้องบอกกับเจ้าอย่างชัดเจนไว้แต่แรก”
หากเป็นผู้ฝึกตนทั่วไปของใต้หล้าไพศาล ก็คงจะมองคำพูดประโยคนี้เป็นโชควาสนาที่ลึกล้ำดุจฟ้าดิน
เผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่างคือคำถามว่า “อาจารย์เจ้าเป็นใคร?”
ถามชุยตงซานว่า “เจ้าเป็นใคร?”
จ้งชิวใช้การรวมเสียงให้เป็นเส้นยิ้มตอบไปว่า “ขอบพระคุณเจินเหรินที่เมตตา แต่ข้าเป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ เป็นผู้ฝึกยุทธครึ่งตัว ไม่เคยมีความคิดใดๆ ต่อวิชาตระกูลเซียนของผู้ฝึกตน”
เฉาฉิงหล่างมีสีหน้าเป็นธรรมชาติ ใช้ริ้วคลื่นในหัวใจตอบกลับไปว่า “ใต้หล้าไพศาล การสืบทอดของสำนักคือความสำคัญในสำคัญอีกที ผู้น้อยมิอาจบอกได้ ขอเจินเหรินโปรดอภัยให้ด้วย”
เกี่ยวกับคำตอบที่ถือว่ายังอยู่ในการคาดการณ์นี้ นักพรตน้อยเองก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจสักเท่าไร เขาพยักหน้าถือว่าเข้าใจแล้ว ยิ่งไม่ได้อับอายจนกลายเป็นความโกรธเคือง
เห็นผู้คนสารพัดรูปแบบอยู่ในภูเขาห้อยหัวมาปีแล้วปีเล่า ช่างไร้รสชาติน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก ก็แค่อยากจะหาความประหลาดใจให้ตัวเองเท่านั้น
แม่นางน้อยคนนั้นถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมรกตที่หล่อหลอมมาจากแส้ไม้ไผ่สีทองจากบ่อสายฟ้า นางไม่ได้เอ่ยอะไร แต่เงยหน้ามองท้องฟ้าแสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ ราวกับว่ารู้คำตอบจากเสียงในใจของเด็กหนุ่มคนนั้น จากนั้นนางก็ค่อยๆ ขยับเท้า สุดท้ายไปหลบอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มชุดขาว นักพรตน้อยหลุดหัวเราะพรืด ชื่อเสียงของตนในภูเขาห้อยหัวไม่ได้เลวร้ายสักหน่อย ไอ้เรื่องที่อาศัยอำนาจรังแกคนอื่น เขาไม่เคยทำมาก่อนสักครั้งครึ่งครั้ง มีบางครั้งที่ลงมือก็ล้วนเป็นการอาศัยมรรคกถาอันน้อยนิดและความสามารถอันเล็กน้อยของตนเท่านั้น
เพียงแต่ว่าคำตอบของเด็กหนุ่มที่สวมห่มเนื้อหนังมังสาเป็นคราบร่างของมังกรที่แท้จริงยุคบรรพกาลนั้นกลับทำให้นักพรตน้อยพูดไม่ออก อยู่ดีๆ ไอ้หมอนี่ก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมา ทั้งไม่ได้รวมเสียงให้เป็นเส้น แล้วก็ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำโดยใช้เสียงในทะเลสาบหัวใจ แต่พูดออกมาโดยตรงว่า “ข้าก็คือตงซานไงล่ะ”
นักพรตน้อยไม่มีอารมณ์จะตอแยอีกฝ่าย เขาก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อ ประตูใหญ่ด้านข้างเปิดออกด้วยตัวเอง
คนทั้งสี่คนเดินตรงไปที่ประตูใหญ่ เผยเฉียนคอยหลบอยู่ในจุดที่ห่างจากนักพรตน้อยที่สุด เวลานี้ห่านขาวใหญ่ขยับไปหนึ่งก้าว นางที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายมือของห่านขาวใหญ่ก็ขยับตามไปด้วย ราวกับว่าเมื่อตนมองไม่เห็นนักพรตน้อย นักพรตน้อยก็จะมองไม่เห็นตนอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากขึ้นเรือที่นครมังกรเฒ่า ชุยตงซานก็เอ่ยเตือนเผยเฉียนแค่เรื่องเดียว ยามที่เจอกับยอดฝีมือ อย่ามองนานนัก ให้เดินอ้อมผ่านไป พยายามทำตัวให้เป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง
เผยเฉียนจึงถามว่าแบบไหนถึงจะถือว่าเป็นยอดฝีมือ ชุยตงซานจึงยิ้มกล่าวว่าพวกคนที่มองปราดเดียวก็เห็นว่ามีไอเมฆหมอกลอยอยู่เหนือทะเลสาบหัวใจ ก็คือยอดฝีมือ เมื่อมองไปแล้วก็ทำตัวเป็นคนตาบอดเลียนแบบเฉินหลิงจวิน แล้วค่อยทำตัวเป็นคนใบ้เลียนแบบหมี่ลี่น้อย
พอเท้าเหยียบลงพื้น ลมหายใจของจ้งชิวก็ไม่ค่อยจะราบรื่นนัก แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก สูดลมหายใจอยู่ไม่กี่ครั้งก็กลับคืนมาเป็นปกติ
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเดินทางไกลเช่นเดียวกัน มีชาติกำเนิดมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวและใต้หล้าไพศาล อันที่จริงกลับมีความต่างกันไม่น้อย
ในฐานะราชครู จ้งชิวสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงและความคิดจิตใจไปมาก รอจนกระทั่งพื้นที่มงคลดอกบัวกลายเป็นพื้นที่มงคลรากบัว ไม่มีมหามรรคาคอยสยบกดทับเอาไว้อีก อีกทั้งจ้งชิวยังได้ปลดภาระของราชครูลง ไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตใจหรือแรงใจ ล้วนถูกถางเปิดออกกว้าง อันที่จริงไม่ต้องรอให้จ้งชิวเดินเข้าไปในภูเขาลั่วพั่ว เขาก็กลายเป็นจ้งชิวสองคนแล้ว ดังนั้นเวลาสิบปีที่ผ่านมานี้ จ้งชิวได้ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหกเหมือนน้ำมาคลองสำเร็จ เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทองก่อน สุดท้ายเมื่อเหตุไม่คาดฝันหรือควรจะพูดว่าโชควาสนาปรากฏขึ้น จ้งชิวที่เป็นดั่งศาลาใกล้น้ำได้ยลจันทร์ก่อน แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในศาลาก็ได้ก้าวข้ามผ่านธรณีประตูใหญ่อีกแห่งหนึ่ง
มองดูเหมือนว่าเกิดจากวาสนาและโชคชะตา แต่แท้จริงแล้วคือการสั่งสมไว้มากแล้วทยอยนำมาใช้ทีละน้อย
เฉาฉิงหล่างคือคนที่รู้สึกย่ำแย่มากที่สุด สีหน้าของเขาซีดขาวน้อย มือสองข้างที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อพากันทำมุทราช่วยสงบจิตวิญญาณของตัวเอง
ล้วนเป็นวิชาที่อาจารย์ลู่เคยถ่ายทอดไว้ให้ในอดีตทั้งสิ้น
เผยเฉียนกลับคืนมาเป็นปกติได้เร็วกว่าเฉาฉิงหล่าง นางโคลงศีรษะด้วยท่าทางลำพองใจ เห็นไหม เส้นทางการฝึกตนของเจ้าตอไม้เฉาข้างกายผู้นี้ ช่างมีภาระหนักอึ้งบนเส้นทางยาวไกล ทำให้นางกังวลอย่างมาก
ก่อนหน้านี้นางชุยตงซานใช้เสียงในใจเอ่ยกับนางประโยคหนึ่งว่า “ข้าจะหยอกเจ้าตัวน้อยนั่นเล่นสักหน่อย”
เผยเฉียนจึงเอ่ยเตือน “อย่าให้เกินกว่าเหตุนะ”
ชุยตงซานคือคนสุดท้ายที่เดินเข้าประตูใหญ่ไป ร่างของเขาเอนมาด้านหลัง ยืดคอยาวราวกับต้องการเห็นให้ชัดว่านักพรตน้อยอ่านหนังสืออะไรอยู่
นักพรตน้อยยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “บนภูเขาห้อยหัว ศิษย์หลานบางคนของข้าผู้เป็นนักพรตไม่ค่อยเป็นมิตรกับเผ่าพันธุ์เจียวหลงสักเท่าใด”
ร่างของชุยตงซานหายเข้าไปในประตูใหญ่แล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถอยก้าวหนึ่งกลับออกมา ถามว่า “เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรนะ?”
นักพรตน้อยอึ้งตะลึง หันหน้าไปมอง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “สรุปว่าเจ้ามีขอบเขตอะไรกันแน่?”
ชุยตงซานหัวเราะร่า “หากข้าบอกว่าตัวเองเป็นขอบเขตบินทะยาน เจ้าจะเชื่อไหม?”
นักพรตน้อยส่ายหน้า
เด็กหนุ่มคนนั้นกลับทำตัวเหมือนคนกินอิ่มที่ว่างงานด้วยการพูดคุยหัวข้อที่น่าเบื่ออย่างมากนี้ด้วยความจริงจัง เขาถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะถามข้าทำไม? หากข้าบอกว่าข้าเป็นขอบเขตก่อกำเนิด ขอบเขตหยกดิบ เจ้าก็จะเชื่ออย่างนั้นหรือ? เป็นเจ้าที่เชื่อข้า หรือว่าเชื่อตัวเจ้าเองกันแน่? ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเชื่อเจ้า หรือเชื่อข้าที่อยู่ในใจเจ้า ถ้าอย่างนั้นข้าควรเชื่อว่าเจ้าคนไหนกันแน่ที่เชื่อ?”
นักพรตน้อยอึ้งตะลึงไปนาน ก่อนจะถามว่า “สมองเจ้ามีปัญหาใช่หรือไม่?”
เด็กหนุ่มคนนั้นก็ยังเล่นแง่ไม่ยอมไปไหน ยังคงค้างอยู่ในท่าที่เท้าสองข้างอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว แต่ร่างที่เอนมาด้านหลังยังคงอยู่ในใต้หล้าไพศาล “หากทุกข์ภัยอยู่บนมหามรรคาไม่ได้อยู่ที่ตัวเจ้าและข้า เจ้าจะทำอย่างไร? กินยาแล้วมีประโยชน์หรือ?”
นักพรตน้อยหมดคำพูดอย่างสิ้นเชิง
เด็กหนุ่มคนนั้นยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “เจ้าเองก็จริงๆ เลยนะ ก่อนหน้านี้ถามข้าว่าสมองมีปัญหาหรือไม่ พอข้าถามว่าเจ้าต้องการยาไหม คราวนี้เจ้ากลับอึ้งงันไปเลยหรือ?”
นักพรตน้อยกล่าวอย่างฉงนว่า “เจ้าเบื่อการมีชีวิตอยู่ขนาดนี้เลยหรือ?”
เด็กหนุ่มตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “ฟ้าดินให้กำเนิดมนุษย์ ควรจะตอบแทนอย่างไร? สุดท้ายแล้วก็ต้องตอบแทนด้วยความตายไม่ใช่หรือ”
นักพรตน้อยขมวดคิ้วมุ่น ปิดหน้าหนังสือ เตรียมจะกระชากไอ้หมอนี่กลับมาที่ภูเขาห้อยหัวแล้วซ้อมให้หนักๆ สักครา สรุปแล้วอีกฝ่ายมีขอบเขตอะไร ย่อมเป็นดั่งหินที่ผุดเมื่อน้ำลดเอง คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นเห็นท่าไม่ดีจึงเผ่นหนีไปแล้ว
ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็เอนตัวออกมาหัวเราะคิกคักกับนักพรตน้อยอีก “รวมเล่มซงเจียนที่มองดูเหมือนจะมีแต่ความเศร้ารันทดเกินครึ่งเล่มนี้ไม่มีอะไรให้น่าอ่านเลยจริงๆ สุดท้ายบัณฑิตผู้ลุ่มหลงในรักคนนั้นก็ตาย ทว่าสตรีกลับไม่ได้ตายตามเพื่อบูชารัก แต่กลับไปแต่งงานกับคนอื่น ให้กำเนิดเด็กน้อยตัวอ้วนท้วนกลุ่มใหญ่ เจ้าว่าน่าโมโหหรือไม่ น่าโกรธหรือไม่? นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ ที่น่าโมโหที่สุดก็คือบัณฑิตคนนั้นกลับชาติมาเกิดใหม่ กลายมาเป็นลูกชายของลูกชายสตรีผู้นั้น สุดยอดไปเลย ประเสริฐยิ่งนัก!”
นักพรตน้อยพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เค้นรอยยิ้มออกมา เอ่ยเนิบช้าว่า “มา พวกเรามาคุยกันดีๆ เถอะ”
ในที่สุดเด็กหนุ่มชุดขาวก็ยอมไสหัวไปอย่างรู้กาลเทศะ ไม่คิดจะคุยเพิ่มกับตนอีกแม้แต่ประโยคเดียว
รอจนเจ้าตะพาบผู้นั้นจากไป นักพรตน้อยที่หงุดหงิดใจก็รีบเปิดหนังสือไปถึงตอนจบ แล้วก็พลันเบิกตากว้าง ในหนังสือนั่นคือฉากจบแบบสุขบริบูรณ์แท้ๆ
ชุยตงซานกลับมาอีกรอบ กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “ลืมบอกเจ้าไปเรื่องหนึ่ง เล่มที่เจ้าอ่านคือฉบับที่คนรุ่นหลังเอามาตีพิมพ์ใหม่หลังจากที่ผู้จัดจำหน่ายตำราใจดำทำการปรับปรุงแก้ไข ฉากจบของฉบับแรกที่ยังไม่ถูกตัดไม่ได้จบสวยงามเช่นนี้ เพราะหากเป็นจุดจบแบบเดิมยอดขายก็ไม่ทะลุเป้า ร้านหนังสือขายไม่ค่อยออก ไม่เชื่อหรือ? ของเจ้าเล่มนี้เป็นฉบับที่หออวี้ซานของสกุลหลิวตุนซีของหลิวเสียทวีปเป็นผู้จัดพิมพ์ใช่ไหมล่ะ? เฮ้อ ตำราที่ไม่ถือว่าเป็นฉบับหายากหรือฉบับสมบูรณ์แบบนี้ ยังอ่านอย่างตั้งใจปานนั้น อ่านฉบับพิมพ์ของหอเหวินกวนก็ยังดีนี่นา แต่ก็มีนิยายรักประโลมโลกที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัดชุดหนึ่งที่ทุกครั้งเมื่อชายหญิงได้พบเจอกัน เนื้อหาไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลงกลับยังเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก นั่นน่ะดีเยี่ยมสุดๆ ไปเลย หากเจ้ามีเงินแล้วก็ยังมีเวลา จะต้องไปหาซื้อมาให้ได้นะ!”
นักพรตน้อยเอ่ยถาม “เจ้ามีหรือ?”
เด็กหนุ่มชุดขาวกล่าวอย่างจนใจ “ข้าเป็นถึงผู้ฝึกตนใหญ่ห้าขอบเขตกลาง จะจ่ายเงินเก็บนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญที่มีหลายฉบับพวกนี้ไปทำไม”
นักพรตน้อยถอนหายใจ เก็บตำราเล่มนั้นลงไป อ่านนานไปก็หงุดหงิดใจ สุดท้ายถึงพูดอย่างจริงจังว่า “คนที่หากนับตามความอาวุโสแล้วถือว่าเป็นศิษย์หลานของข้าคนนั้น ดูเหมือนว่าจะตรวจสอบประวัติความเป็นมาของเจ้าไม่เจอ”
คนผู้นั้นยิ้มตาหยี พยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็บอกเขาว่าไม่ต้องตรวจสอบแล้ว มีชีวิตอยู่จนเอียน ระวังจะถูกฟ้าผ่าตาย เจ้าคิดว่าอยู่ในภูเขาห้อยหัวที่ใหญ่ขนาดนี้จะสง่างามได้เหมือนข้าที่นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มาระหว่างฟ้าดินใหญ่ทั้งสองแห่งได้หรือ? ใช่ไหม?”
ในที่สุดนักพรตน้อยก็ลุกขึ้นยืน
ทันใดนั้นพื้นที่ใกล้ในระยะประชิด นักพรตน้อยที่เรือนกายเหมือนเด็กธรรมดาในหมู่ชาวบ้านทั่วไป กลับเหมือนขุนเขาใหญ่ลูกหนึ่งที่พลันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน
ชุยตงซานโบกมือเป็นการอำลา “อย่าคิดจะเฝ้าตอรอกระต่ายเลย ยิ่งอย่าคิดว่าจะปิดประตูปล่อยสุนัข เทพเซียนใหญ่ห้าขอบเขตกลางอย่างข้า แค่ยกมือยกเท้าแผ่นดินก็ไหวภูเขาก็สะเทือนแล้ว ไม่ทันรอให้พวกเจ้ากลัว ข้าก็กลัวตัวเองก่อนแล้ว”
นักพรตน้อยคิดจะแหกกฎสักครั้งเพื่อไปลากตัวคนผู้นี้ออกจากกำแพงเมืองกระบี่กลับมาที่อาณาเขตภูเขาห้อยหัว คิดไม่ถึงว่าเทียนจวินใหญ่ที่เฝ้าพิทักษ์อยู่บนยอดเขาเดียวดายจะพลันใช้เสียงในใจเอ่ยกับเขาอย่างเฉยชาว่า “ปล่อยเขาไป”