เฉินผิงอันหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก แต่กลับไม่ได้ประทานมะเหงกเป็นรางวัลอีกครั้ง
บางทีผ่านไปอีกไม่กี่ปี เผยเฉียนตัวสูงขึ้นอีกหน่อย ไม่เหมือนแม่นางน้อยอีกต่อไป ต่อให้จะเป็นอาจารย์ก็คงเขกหัวนางตามใจชอบไม่ได้อีกแล้วกระมัง พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ให้รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเขกมะเหงกลงไปอีกที ทำเอาเผยเฉียนไม่กล้าหมุนตัวส่งเดชอีก นางยื่นมือมาลูบหัวตัวเอง เดินไปข้างกายอาจารย์พ่อพลางยิ้มตาหยีถามว่า “อาจารย์พ่อ ในตำราบอกว่าเทพเซียนลูบหัวข้า ผูกผมเป็นอมตะ อาจารย์พ่อว่าวันใดวันหนึ่งข้าจะถูกท่านตีจนสติปัญญาเปิดโล่งหรือไม่ ถึงเวลานั้นข้าก็จะทั้งเรียนวิชาหมัด ทั้งฝึกวิชากระบี่ แล้วก็ยังเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่ทะยานลมขี่เมฆ จากนั้นก็ต้องคัดตัวอักษร แล้วยังต้องคอยไปดูแลกิจการในตรอกฉีหลงอีก ยุ่งวุ่นวายทั้งวัน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกตน มองดูคล้ายว่าต้องดูแค่คุณสมบัติ ส่วนใหญ่อาศัยข้าวที่สวรรค์และบรรพบุรุษประทานมาให้ แต่แท้จริงแล้วพิถีพิถันในเรื่องการถามใจมากที่สุด จิตไม่นิ่งไม่มีสมาธิก็ไม่อาจแสวงหาความจริง ต่อให้เจ้าเรียนวิชาคาถานับพันนับหมื่นก็ยังเป็นดั่งจอกแหนไร้รากที่ล่องลอยไปเรื่อยอยู่ดี”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “แม้ว่าทุกวันนี้ขอบเขตผู้ฝึกตนของอาจารย์พ่อจะยังไม่ถือว่าสูงที่สุด แต่ก็แค่ชั่วคราวนะ แค่ชั่วคราวเท่านั้น ทว่าประโยคนี้หากไม่ได้เดินอยู่บนพื้นฐานของขอบเขตบินทะยานก็คงพูดออกมาไม่ได้จริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เรื่องนี้เจ้าก็รู้ด้วยหรือ? เจ้าคือขอบเขตบินทะยานหรือ?”
เผยเฉียนกล่าว “หลักการเหตุผลไม่ได้อยู่ที่ความสูงสักหน่อย อีกอย่างตอนนี้ข้าก็ยืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองที่สูงที่สุดในใต้หล้าแล้ว ดังนั้นคำพูดที่ข้าพูดออกมาตอนนี้จึงสูงกว่าปกติ”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก “นี่มันอะไรกับอะไรกัน”
เฉินผิงอันพลันหัวเราะ “หากนับกันตั้งแต่พื้นดินที่หยั่งรากลงไป ที่นี่อาจเป็นหัวกำแพงเมืองที่สูงที่สุดของสี่ใต้หล้าก็จริง แต่หากไม่พูดถึงการเชื่อมติดกับพื้นดิน ถ้าอย่างนั้นนครจักรพรรดิขาวของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางในใต้หล้าไพศาลก็อาจจะสูงยิ่งกว่า ส่วนเรื่องที่ว่าป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัวแห่งนั้นสูงเท่าไรกันแน่ กลับไม่มีบันทึกไว้ในตำรา อาจารย์เองก็ไม่เคยถามคนอื่น ดังนั้นมันกับหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใครกันแน่ที่สูงกว่ากัน ก็บอกได้ยากแล้ว วันหน้าหากมีโอกาส ข้าจะลองไปดูให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง”
เผยเฉียนถามอย่างใคร่รู้ “คือบรรพบุรุษของป๋ายอวี้จิงจำลองในเมืองหลวงต้าหลีน่ะหรือ? อาจารย์จะไปทำอะไรที่นั่น? ไกลจะตายไป ฟังห่านขาวใหญ่เล่าว่า มันไม่เหมือนกับกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ที่แค่โดยสารเรือข้ามฟาก ขึ้นมาบนภูเขาห้อยหัว เดินผ่านประตูใหญ่ก็คือใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งแล้วพวกเราก็สามารถเดินเที่ยวเล่นได้ตามใจชอบ ห่านขาวใหญ่บอกว่าเขาเคยมีโอกาสอาศัยความสามารถของตัวเองไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว แต่ข้าไม่เชื่อเขา มีเหตุผลที่อาจารย์ตัวเองยังไม่เคยไป แต่นักเรียนกลับไปมาก่อนเสียที่ไหน อาจารย์พ่อ ข้าเกลี้ยกล่อมห่านขาวใหญ่แล้วไม่ได้ผล วันหน้าอาจารย์พ่อก็บอกเขาหน่อยเถอะ วันหน้าต้องเปลี่ยนนิสัยชอบขี้โม้นี้เสียที อาจารย์พ่อ ข้ารู้ได้ไหมว่าทำไมท่านต้องไปเยือนสถานที่ที่ห่างไกลขนาดนั้น? ว่ากันว่าด้านในป๋ายอวี้จิงล้วนมีแต่นักพรตชายหญิงอยู่เต็มไปหมด หากอาจารย์พ่อจะไปที่นั่นคนเดียว อีกทั้งยังไม่มีข้าอยู่ข้างกาย จะต้องน่าเบื่อมากแน่ๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ได้จะไปเที่ยวเสียหน่อย”
เผยเฉียนยิ่งฉงนสนเท่ห์เข้าไปใหญ่ “ไปหาใครหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก็น่าจะใช่กระมัง”
เผยเฉียนขมวดคิ้ว “ใครกัน ไยมีมาดใหญ่โตขนาดนี้ ไม่รู้จักเป็นฝ่ายมาหาอาจารย์พ่อด้วยตัวเองที่ภูเขาลั่วพั่วเสียบ้าง”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะทันใด
คนเขามีคุณสมบัติจะวางมาดใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ นั่นแหละ
คนหนึ่งในนั้นเคยป่าวประกาศว่า ‘ต้องถามว่าหมัดของข้าตอบตกลงหรือไม่’
แล้วปล่อยหนึ่งหมัดใส่ใต้ผืนฟ้า แยกทะเลเมฆออกจากกัน
อีกคนยิ้มกล่าวว่า ‘ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าเล่นเป็นเพื่อนเจ้า’
กระบี่บินสิบสองเล่มร่วงหล่นลงมายังโลกมนุษย์
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย นึกถึงตอนเป็นเด็กหนุ่มช่วงที่เพิ่งจะได้รู้เรื่องวงในมากมายหลังจากที่เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนั้น เพียงแต่ไม่นานก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน จึงพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ตอนนี้อาจารย์มีความปรารถนาอยู่สองอย่างที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน ความปรารถนาสองอย่างนี้ บางทีอาจทำไม่ได้ตลอดชีวิต แต่ก็จะคิดถึงอยู่ตลอดเวลา”
เผยเฉียนยื่นมือมาขยี้หูตัวเองอย่างแรง กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “อาจารย์พ่อ ข้ากำลังเงี่ยหูรอฟังนะ!”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากมีวันนั้นจริงๆ ตอนที่อาจารย์จะออกเดินทางไกลค่อยบอกเจ้าอีกครั้ง คำพูดนั้นใหญ่เกินไป หากพูดเร็วเกินก็ไม่เหมาะนัก”
เผยเฉียนทอดถอนใจ “ถ้าอย่างนั้นก็คงได้แต่รอไปอีกสองสามร้อยปีแล้วล่ะ!”
เฉินผิงอันพึมพำ “สองสามร้อยปีก็อาจจะยังทำไม่ได้ ไม่แน่ว่าผ่านไปสองสามพันปี หากมีชีวิตยืนยาวขนาดนั้นจริง ความหวังนั้นก็ยังเลือนรางอยู่ดี”
โชคดีที่ต่อให้ความหวังจะเลือนราง
แต่กระนั้นก็ยังมีความหวัง
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ชะลอฝีเท้าเนิบช้าสุดท้ายจึงหยุดยืนนิ่ง ยิ้มตาหยีแหงนหน้ามองท้องฟ้า
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว ห่างออกไปไกลเบื้องหน้า พวกชุยตงซานกำลังมองดูขุนเขาสายน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลทางทิศใต้อยู่บนหัวกำแพงเมือง
ป๋ายโส่วยืนอยู่ข้างกายฉีจิ่งหลง หันมาขยิบตาให้เฉินผิงอัน พี่น้องคนดี ต้องพึ่งเจ้าแล้ว ขอแค่เจ้าจัดการกับเผยเฉียนได้ วันหน้าจะให้ข้าเซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายโส่วเรียกเจ้าว่านายท่านใหญ่เฉินก็ยังได้!
เฉินผิงอันหันหน้ามาพูดกับเผยเฉียน “มือกระบี่กับผู้ฝึกกระบี่ หากอิงตามขนบธรรมเนียมของใต้หล้าก็มีความต่างราวฟ้ากับเหวจริง แต่เจ้าอย่าได้ถือสาคำพูดคำจาของป๋ายโส่วมากนักเลย”
เวลานี้เผยเฉียนอารมณ์ดีนักล่ะ ไม่สนใจแล้วว่าป๋ายโส่วผู้นั้นเอ่ยอะไร นางเผยเฉียนเป็นคนใจคอคับแคบแบบนั้นหรือ? สมุดบัญชีเล่มเล็กที่นางแอบเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดีเล่มหนานักหรือไง? บางจะตายไป! เวลานี้นางอยู่ข้างกายอาจารย์จึงเปลี่ยนจากท่าทางระมัดระวังตอนอยู่บนเรือข้ามฟากก่อนหน้านี้ เวลาเดินจึงเดินอาดๆ นี่เรียกว่า ‘เดินอย่างองอาจโอหัง ภูตผีปีศาจหวั่นกลัว’ ยังจะต้องใช้ยันต์กระดาษเหลืองแปะหน้าผากไปอีกทำไม นางเงยหน้ายิ้มกล่าว “อาจารย์พ่อ เรื่องอย่างการเรียนวิชาหมัด การคัดตัวอักษรพวกนี้ ข้าไม่กล้าพูดว่าตัวเองได้ความสักเท่าไรหรอก แต่ความกว้างใหญ่ของท้อง (เปรียบเปรยถึงความใจกว้าง/จิตใจที่เอื้อเฟื่อเผื่อแผ่) อาจารย์พ่อนั้น ข้าฝึกปรือจนอย่างน้อยที่สุดก็ได้ทักษะจากอาจารย์พ่อมาหนึ่งส่วน ทักษะหนึ่งส่วนเชียวนะ! นี่ต้องเป็นท้องที่กว้างใหญ่แค่ไหนกัน? ขนาดบรรจุกับข้าวสองจาน ข้าวใหญ่ๆ อีกสามถ้วยก็ยังไม่มีปัญหา! จะรับประโยคเบาๆ ไม่กี่ประโยคของเจ้าป๋ายโส่วคนเดียวไม่ได้งั้นหรือ? อาจารย์พ่อท่านดูแคลนข้าเสียแล้ว!”
มีเพียงชุยตงซานคนเดียวที่นั่งอยู่บนหัวกำแพง เวลานี้กำลังหัวเราะชอบใจ
สามารถทำให้เผยเฉียนร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ และหัวเราะอย่างร่าเริงเบิกบานได้ขนาดนั้น ก็มีแค่อาจารย์ของตนแล้ว
ประเด็นสำคัญคือหลังจากที่เผยเฉียนทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะไปแล้ว นางก็จะยังตั้งใจจดจำเรื่องพวกนี้ และคิดตามหลักการเหตุผลที่ถูกสอนมาจริงๆ จดจำทั้งสิ่งที่เข้าใจและสิ่งที่ไม่เข้าใจทั้งหมด หาใช่เลือกแค่เฉพาะบางอย่างแล้วเหลือทิ้งไว้เกินครึ่งไม่
เฉาฉิงหล่างเห็นว่าเผยเฉียนกลับมาเป็นปกติแล้วก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกได้
อาจารย์ตอนก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือถ้อยคำ ก็สมกับเป็นอาจารย์จริงๆ แล้ว
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเลยหรือ?”
ป๋ายโส่วถามหยั่งเชิง “หากข้ายอมรับผิด เรื่องนี้จะผ่านไปได้จริงๆ งั้นหรือ?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ “บอกได้ยาก”
ป๋ายโส่วจึงลังเลตัดสินใจไม่ได้
ฉีจิ่งหลงเอ่ยเสียงเบาว่า “อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวพันถึงความผิดความถูกที่ใหญ่มากนัก เรื่องที่เจ้าต้องยอมรับผิด อันที่จริงไม่ใช่คำพูดเหล่านั้น ตามความเห็นข้า นั่นไม่ถือว่าเป็นการล่วงเกินอะไร แน่นอนว่าเหตุผลเป็นเช่นนี้ แต่ด้านความรู้สึกกลับไม่ได้เป็นเช่นนี้เสมอไป เพราะถึงอย่างไรการพูดจากับคนอื่นในใต้หล้าก็หมายความว่าไม่ใช่การพึมพำกับตัวเอง สภาพจิตใจของเจ้าไม่ถูกต้อง ไปเยือนภูเขาลั่วพั่วมารอบหนึ่งแล้ว แต่กลับไม่ได้ตั้งใจจริงจังที่จะมองให้มากคิดให้มาก ไม่อย่างนั้นเวลาเจ้ากับเผยเฉียนสองฝ่ายเจอกันก็ไม่น่าจะรู้สึกอึดอัดเช่นนี้”
“จะตั้งใจได้อย่างไร? ตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว แค่พบหน้ากัน ข้าถูกเผยเฉียนเตะทีเดียวก็เป็นลมหมดสติไปแล้ว”
นับว่าหาได้ยากนักที่ป๋ายโส่วจะทำท่าทางเศร้าสร้อยเช่นนี้ต่อหน้าฉีจิ่งหลง เขาชำเลืองตามองถ่านดำน้อยที่อยู่ห่างไปไม่ไกลแล้วก็ได้แต่กดเสียงต่ำพึมพำว่า “พี่น้องเฉินของข้าคนนั้นเป็นคนอย่างไร เจ้าจะไม่รู้หรือ? ต่อให้เจ้าคนแซ่หลิวไม่รู้ ทว่าคนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับรู้กันหมดแล้ว หากเผยเฉียนได้รับการสืบทอดจากเฉินผิงอันสักเจ็ดแปดส่วนจริงๆ จะทำอย่างไร? อีกอย่างเจ้ากับเฉินผิงอันยังสนิทกันขนาดนั้น วันหน้าจะต้องไปมาหาสู่กันบ่อยๆ แน่นอน เจ้าไปภูเขาลั่วพั่ว เขามาเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุย เทียวไปเทียวมากันอยู่อย่างนี้ แล้วข้าจะหลบเลี่ยงเผยเฉียนได้ทุกครั้งเลยหรือ? ประเด็นสำคัญคือมิตรภาพระหว่างข้ากับเฉินผิงอันไม่อาจเอามาใช้กับเผยเฉียนได้เลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังจะมีปัญหามากกว่าเดิมด้วย จะว่าไปแล้วก็ต้องโทษเฉินผิงอันนั่นแหละที่ปากอีกานัก ดันพูดว่าปากอย่างข้าง่ายที่จะเรียกหากระบี่บินจากเซียนกระบี่ได้ง่ายอะไรนั่น ตอนนี้ดีแล้ว กระบี่บินของเซียนกระบี่ยังไม่ทันมาถึง เผยเฉียนก็หมายหัวข้าก่อนแล้ว เห็นไหม เจ้าเห็นไหม เผยเฉียนกำลังถลึงตาใส่ข้า รอยยิ้มบนใบหน้าของนางเหมือนกับของพี่น้องเฉินของข้าไม่มีผิดเพี้ยนเลยใช่ไหมล่ะ?! คนแซ่หลิว ในที่สุดข้าก็มองออกแล้ว อย่าเห็นว่าเมื่อครู่นี้เฉินผิงอันอบรมเผยเฉียนด้วยท่าทางเข้มงวดปานนั้น แท้จริงแล้วในใจเขาใส่ใจนางเป็นที่สุดเลยล่ะ ตอนนี้ข้าเริ่มกลัวแล้วว่าคราวหน้าที่ไปดื่มเหล้าที่ร้าน เฉินผิงอันจะให้คนเทยาถ่ายใส่ลงไปในเหล้า เหล้าครึ่งกากับยาถ่ายอีกครึ่งกา เรื่องแบบนี้เฉินผิงอันต้องทำได้แน่นอน ทั้งแกล้งข้าได้ แล้วยังประหยัดเงินด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยนะ”
ฉีจิ่งหลงกล่าว “ดูท่าเจ้าก็คิดเยอะอยู่เหมือนกัน”
ป๋ายโส่วทอดถอนใจอยู่ในใจ มีอาจารย์ที่ดีแต่จะมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นโดยไม่คิดจะช่วยเหลืออย่างเจ้า สรุปแล้วมีประโยชน์อะไรกันแน่
เผยเฉียนกระโดดโลดเต้นมาถึงด้านหน้ากลุ่มคน แล้วเอ่ยกับป๋ายโส่วว่า “ป๋ายโส่ว วันหน้าพวกเราแค่ประลองบุ๋นกันเถอะ”
หน้าตาศักดิ์ศรีคือสิ่งใด ล้อเล่นหรือไร เอามากินแทนข้าวได้หรือ?
ก่อนที่นางจะได้พบเจออาจารย์พ่อ อายุน้อยๆ ก็ต้องท่องอยู่ในยุทธภพของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนมานานหลายปี ตอนนั้นยังไม่ได้เรียนวิชาหมัด ยามอยู่ในยุทธภพเคยมีหน้าตาศักดิ์ศรีกับผายลมอะไร
พอป๋ายโส่วได้ยินประโยคนี้ก็ซาบซึ้งใจจนเกือบจะร้องไห้โฮเลียนแบบเผยเฉียน
เพียงแต่ว่าเผยเฉียนแอบเบี่ยงตัว หันหลังให้อาจารย์พ่อของนางเล็กน้อย จากนั้นก็เม้มปากยิ้มบางๆ แล้วไม่ขยับอีก
ป๋ายโส่วจึงเหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางหัว
เฉินผิงอันยื่นมือมากดหัวเผยเฉียน เผยเฉียนก็รีบหัวเราะฮ่าๆ ทันใด “ป๋ายโส่วเจ้าคือคนที่มีปณิธานอยู่ที่การเป็นเซียนกระบี่ใหญ่นะ อาจารย์หลิวรับลูกศิษย์ที่ดีอย่างเจ้ามา สมกับคำว่าอาจารย์เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ ลูกศิษย์เป็นเซียนกระบี่เล็กจริงๆ อาจารย์และศิษย์สองคนก็คือสองเซียนกระบี่ คราวหน้าหากข้าเดินทางไปเป็นแขกที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยพวกเจ้าเป็นเพื่อนอาจารย์ ข้าจะหอบเอาประทัดพวงใหญ่หลายๆ พวงไปร่วมฉลองด้วยสักหน่อย”
เฉินผิงอันเอ่ย “พูดดีๆ”
เผยเฉียนจึงกระแอมหนึ่งที ก่อนเอ่ยว่า “ป๋ายโส่ว ก่อนหน้านี้ข้าผิดเอง เจ้าอย่าได้ถือสา ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย”
ก่อนหน้านี้คำว่าขอโทษที่อาจารย์พ่อเอ่ยกับตน มีน้ำหนักมากแคไหน? ใต้หล้านี้ไม่มีตาชั่งใดที่สามารถชั่งน้ำหนักนั้นออกมาได้!
แบ่งเสี้ยวหนึ่งออกมาให้ป๋ายโส่วก็เหมือนฝนตกปรอยๆ เท่านั้น
ป๋ายโส่วรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ สีหน้าแข็งทื่อ “ไม่ถือหรอก”
ข้าผู้อาวุโสไม่กล้าถือสาเจ้าหรอก
เผยเฉียนยิ้มบางๆ “ข้าเรียนวิชาหมัดสาย แล้วก็เรียนได้ช้าด้วย นี่ก็ต้องรอให้ผ่านไปหลายวันกว่าจะเลื่อนเป็นขอบเขตห้าเล็กๆ ได้ไม่ใช่หรือ? ดังนั้นรอให้ผ่านไปสักหลายๆ ปีก่อนแล้วค่อยขอความรู้จาก…ศิษย์พี่ป๋ายโส่วแล้วกัน”
ป๋ายโส่วแข็งใจถามว่า “ไหนตกลงกันแล้วว่าแค่ประลองบุ๋นอย่างไรล่ะ?”
เผยเฉียนหัวเราะร่า “ถ้าอย่างนั้นเรื่องของวันหน้าก็ไว้ค่อยว่ากันวันหน้า”
เฉาฉิงหล่างเห็นภาพนี้แล้ว อันที่จริงก็รู้สึกดีใจมาก
ที่แท้ก็ไม่ใช่แค่ตนที่กลัวเผยเฉียน
เฉินผิงอันใช้ริ้วคลื่นเสียงในใจถามฉีจิ่งหลง “ป๋ายโส่วระมัดระวังตัวเองยามอยู่กับเผยเฉียนขนาดนี้ ยามฝึกตนจะมีปัญหาหรือไม่?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มตอบ “ถือเสียว่าเป็นการฝึกจิตใจที่ไม่อาจขาดไปได้ก็แล้วกัน ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนยอดเขาเพียนหราน อันที่จริงป๋ายโส่วไม่ค่อยมีอารมณ์อยากจะฝึกตนมากนัก แม้จะบอกว่าทุกวันนี้เขาเปลี่ยนไปไม่น้อย แล้วก็นึกอยากจะเรียนกระบี่ขึ้นมาจริงๆ เพียงแต่เขาคล้ายจะดื้อดึงไม่ทำตามความตั้งใจเดิม คงเพราะตั้งใจจะเล่นแง่กับข้ากระมัง ตอนนี้มีลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเจ้าคอยเป็นผู้ตรวจตรา ข้าว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วได้ยินว่าเผยเฉียนก็จะมาที่นี่ด้วย หลายวันมานี้เขาก็ตั้งใจฝึกกระบี่มากเป็นพิเศษเลยล่ะ”
เฉินผิงอันเอ่ย “ดูจากแค่เรื่องที่ว่าให้ตายอย่างไรป๋ายโส่วก็ไม่ยอมลงมืออย่างเต็มที่ ต่อให้ต้องเสียหน้า อัดอั้นตันใจถึงขีดสุด ก็ยังไม่เคยคิดจะเอาวิชาก้นกรุของภูเขาเกอลู่ออกมาใช้ แค่นี้เขาก็ไร้ความผิดแล้ว ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่ทั้งสองฝ่ายอยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็มีเรื่องให้ตีกันได้แล้ว”
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ลูกศิษย์ของข้าจะแย่กว่าของเจ้าได้หรือ?”
เฉินผิงอันตอบ “ก็แย่กว่านิดๆ จริงๆ นั่นแหละ”
ฉีจิ่งหลงถาม “แล้วอาจารย์ล่ะเป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ปีนี้ข้าเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง? จะให้เปรียบเทียบกับผู้ฝึกกระบี่ที่มีอายุมากเกือบร้อยปีได้อย่างไร หรือจะให้เปรียบเทียบกันจริงๆ ก็ได้ ตอนนี้เจ้าคือขอบเขตหยกดิบใช่ไหม ตอนนี้ข้าคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้า หากคิดคำนวณตามอายุของทั้งสองฝ่าย ก็เท่ากับว่าข้าคือผู้ฝึกตนขอบเขตสิบห้า เทียบกับเจ้าที่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบเอ็ดในตอนนี้ก็ยังสูงกว่าถึงสี่ระดับไม่ใช่หรือ? ไม่ยอมแพ้ใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นเรื่องของวันหน้าก็ไว้ค่อยว่ากันวันหน้า รอให้ข้าอายุร้อยปีเมื่อไหร่ ดูสิว่าข้าจะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตสิบห้าได้หรือไม่ หากไม่ได้ก็ถือว่าข้าพูดจาส่งเดชไปเรื่อย ซึ่งก่อนจะเป็นเช่นนั้น เจ้าก็เลิกเอาเรื่องขอบเขตมาพูดกับข้าเสียที”
ฉีจิ่งหลงหัวเราะขำ “เถ้าแก่รองไม่ได้มีแค่สุราเท่านั้นที่มาก เหตุผลก็มากเหมือนกันนะนี่”
เฉินผิงอันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย “ชมเกินไปแล้วๆ”
เฉินผิงอันไม่พูดเหลวไหลกับฉีจิ่งหลงอีก หากไอ้หมอนี่ตัดสินใจจะยกหลักการเหตุผลมาพูดกับตนจริงๆ เฉินผิงอันก็คงต้องปวดหัวมากแน่ๆ
เฉินผิงอันมองไปทางชุยตงซาน เปิดปากถามว่า “จะไปพบศิษย์พี่ใหญ่ของข้าก่อน หรือว่าจะไปจวนหนิงก่อน?”
ดูเหมือนชุยตงซานจะคิดเรื่องนี้ไว้ก่อนนานแล้ว จึงยิ้มเอ่ยว่า “พวกอาจารย์ไปที่จวนหนิงก่อนก็ได้ ศิษย์พี่ใหญ่ของอาจารย์ ข้าไปพบเขาคนเดียวก็พอ”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบตกลง
ชุยตงซานพลันเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ขอข้ายืมยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งมาเพิ่มความกล้าหน่อยสิ”
อันที่จริงเผยเฉียนในเวลานี้มึนงงสับสนอย่างมาก ศิษย์พี่ใหญ่ของอาจารย์ผู้นี้มาจากที่ใดกัน?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เฉินผิงอันไม่ทันได้เล่าให้นางฟัง เพราะถึงอย่างไรในจดหมายลับก็ไม่สะดวกจะพูดเรื่องนี้ ส่วนชุยตงซานก็คร้านจะพูด ไอ้หมอนั่นแซ่จั่วนามโย่วหรือแซ่โย่วนามจั่วตนก็จำไม่ได้แล้ว หากไม่เป็นเพราะเมื่อครู่อาจารย์เอ่ยถึง เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเซียนกระบี่ใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นทุกวันนี้กลับมานั่งกินลมดื่มน้ำค้างอยู่บนหัวกำแพงเมือง โอ้อวดปราณกระบี่บนร่างของตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน