เฉินผิงอันไม่รู้สึกมีอคติเลยแม้แต่น้อย ก็แค่รู้สึกเสียใจนิดๆ เท่านั้น
ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดปีนั้นตอนที่เว่ยป้ออยู่หน้าเรือนไม้ไผ่ของภูเขาลั่วพั่วถึงได้พูดเรื่องสองสามเรื่องของอาเหลียง
แล้วเหตุใดเด็กหนุ่มเฉินผิงอันถึงได้น้ำตาอาบหน้า แล้วเหตุใดนอกจากความเลื่อมใสแล้ว ส่วนลึกในใจยังซุกซ่อนความละอาย ความเสียใจและความจนใจที่ยากจะใช้ถ้อยคำมาบรรยายเอาไว้ด้วย นั่นคืออารมณ์อย่างหนึ่งที่เว่ยป้อในเวลานั้นไม่เคยรับรู้
แทบจะทุกคนล้วนคิดว่าการเดินทางไกลครั้งแรกของเฉินผิงอันคือการคุ้มกันพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาต้าสุย คือเฉินผิงอันที่พยายามปกป้องมรรคาเพื่อพวกเขาอย่างสุดชีวิต และเมื่อมองจากผลลัพธ์ก็ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะทำให้ดีไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นคนนอกล้วนไม่อาจชี้นิ้วตำหนิเขาได้
แต่ปีนั้นหลังจากที่เด็กหนุ่มรองเท้าเตะได้พบกับอาเหลียงเป็นครั้งแรก อันที่จริงนั่นต่างหากถึงจะเป็นการทดสอบใหญ่อีกครั้งหนึ่งในชีวิตของเฉินผิงอัน การชักคะเย่อในใจที่เงียบเชียบ
เฉินผิงอันหวังให้ตัวเองในสายตาของชายฉกรรจ์สวมงอบที่เรียกตัวเองว่ามือกระบี่ ก็คือคนที่อาจารย์ฉีฝากความหวังไว้ให้ เฉินผิงอันหวังให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น เพื่อที่ตัวเองจะได้พิสูจน์ว่าเป็นตนไม่ผิดแล้ว จึงเป็นเหตุให้การเดินทางที่มีจุดเริ่มต้นจากริมลำคลอง และจากลากันที่จุดพักม้าเมืองหงจู๋ เฉินผิงอันคอยพยายามที่จะคาดเดาความคิดของอาเหลียงอยู่ตลอดเวลา เอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์แล้วคิดว่ายอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่งที่ปรากฏกายกะทันจะชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไร คอยคาดเดาว่าสหายของอาจารย์ฉีที่พกดาบ แต่กลับบอกว่าตัวเองเป็นมือกระบี่ผู้นั้นจะชอบเด็กรุ่นหลังที่เป็นแบบใด เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ต่อให้เขาไม่ชอบ รู้สึกดูแคลน แต่เฉินผิงอันก็จะไม่มีทางทำให้อีกฝ่ายเกิดอคติในใจโดยเด็ดขาด ดังนั้นทุกคำพูดทุกการกระทำของเฉินผิงอันในเวลานั้นล้วนเกิดจากความจงใจ ผ่านการครุ่นคิดมาอย่างลึกซึ้ง เด็กหนุ่มอายุน้อยที่เดินทางท่องอยู่ท่ามกลางภูเขาเขียวน้ำใสจะยังมีอารมณ์คอยชื่นชมขุนเขาชมสายน้ำอยู่อีกงั้นหรือ?
ต่อให้ความตั้งใจเดิมของเฉินผิงอันคือหวังให้ตัวเองสามารถคุ้มครองพวกเป่าผิงไปส่งถึงสำนักศึกษาอย่างปลอดภัยได้สำเร็จ และบุรุษประหลาดที่จูงลา พกดาบไม้ไผ่จะไม่ทำร้ายพวกเขาแม้แต่ปลายเล็บ แต่พอเวลาผ่านไป ย้อนกลับมามองดูชีวิตช่วงนั้นของตน คิดถึงหนึ่งครั้ง เฉินผิงอันก็จะเสียใจหนึ่งครั้ง แล้วก็มักจะอยากดื่มเหล้าอยู่บ่อยๆ
ชีวิตคนเมื่อเดินผ่านมาแล้วก็คือผ่านมาแล้วจริงๆ ไม่ใช่บ้านเกิดไม่ใช่มาตุภูมิ ไม่อาจหวนย้อนกลับ
บางครั้งที่หันกลับไปมอง จะยังไม่อยากดื่มเหล้าได้อย่างไร
เจี่ยงชวี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในตอนนี้ที่ระมัดระวังตัว กับเฉินผิงอันที่ท่องผ่านขุนเขาสายน้ำด้วยความกังวลคิดหนัก จะไม่เหมือนกันได้อย่างไร
เฉาฉิงหล่างเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยน มองตราประทับและหน้าพัดบางส่วนที่แกะสลักและเขียนตัวอักษรไว้เรียบร้อยแล้ว เขาพลันสังเกตเห็นว่าอาจารย์ของตนเอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่เงียบๆ ตรงโต๊ะด้านข้าง
เฉาฉิงหล่างไม่กล้ารบกวนการใช้ความคิดของอาจารย์ จึงหยิบเอามีดแกะสลักเล่มเล็กที่ดูเก่าแก่ แต่กลับยังคมกริบดังเดิมออกมาวางลงบนโต๊ะเบาๆ
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดอาจารย์ถึงมอบสิ่งนี้ให้กับตน แน่นอนว่าเฉาฉิงหล่างไม่ได้คิดว่าเพราะมีดแกะสลักทำมาจากวัสดุที่ธรรมดาเกินไป เขาจึงจะไม่เห็นค่าของมัน ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ของขวัญที่อาจารย์มอบให้กะทันหันชิ้นนี้ ยิ่ง ‘ไม่มีค่า’ เท่าไหร่ ก็ยิ่งคู่ควรให้ตนเก็บรักษาเป็นอย่างดีมากเท่านั้น
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า “คิดเรื่องบางอย่างในอดีตนิดหน่อย”
เฉาฉิงหล่างก็ลุกขึ้นตามเรียบร้อยแล้ว
เฉินผิงอันยื่นมือออกมากดลงบนความว่างเปล่า “วันหน้าไม่ต้องมีพิธีการยิบย่อยเช่นนี้อีก เป็นตัวของตัวเองมากๆ หน่อย”
เฉาฉิงหล่างยิ้มพลางพยักหน้ารับ แต่กลับรอให้อาจารย์นั่งลงบนเก้าอี้ก่อน เขาค่อยนั่งตาม
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ โน้มร่างมาด้านหน้า มองมีดแกะสลักเล่มเล็กที่อยู่บนโต๊ะแล้วยิ้มเอ่ยว่า “มีดแกะสลักเล่มนี้ เถ้าแก่ร้านแถมให้ข้าตอนที่ข้าซื้อตราประทับหินหยกในร้านแห่งหนึ่งของเมืองหลวงต้าสุ้ยเมื่อครั้งที่ออกจากบ้านเดินทางไกลเป็นครั้งแรก ยังจำพวกแผ่นไม้ไผ่แกะสลักที่ข้ามอบให้เจ้าก่อนหน้านี้ได้กระมัง แต่ละตัวอักษรล้วนใช้มีดแกะสลักเล่มนี้แกะออกมา เดิมทีมันก็เป็นของที่ไม่มีราคาค่างวด แต่กลับเป็นของที่มีความหมายมากในชีวิตข้า”
เฉาฉิงหล่างลุกขึ้นยืน ถอยหลังไปสองสามก้าว ประสานมือโค้งคารวะ
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “มีความหมายก็แค่มีความหมายเท่านั้น เจ้าไม่ต้องเอาจริงเอาจังขนาดนี้ สิ่งของที่มีความหมายต่อข้ามีมากนักล่ะ ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีราคา หากเจ้าใส่ใจแบบนี้ทุกครั้ง ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยังมีรองเท้าสานอยู่อีกกองใหญ่ เจ้าต้องการด้วยหรือไม่? ข้ายกให้เจ้าคู่หนึ่ง เจ้าก็โค้งคารวะครั้งหนึ่ง ใครขาดทุนใครได้กำไร? ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ขาดทุนกันทั้งคู่ เรื่องที่ทั้งอาจารย์ทั้งลูกศิษย์ต่างก็ไม่ได้กำไรเช่นนี้ อย่าทำเลยจะดีกว่า”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้ายิ้มกล่าว “อาจารย์ รองเท้าสานนั้นช่างเถิด ข้าสามารถถักเองได้ ไม่แน่ว่าฝีมืออาจดีกว่าอาจารย์ด้วย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากพูดถึงเรื่องความรู้ เรื่องของการฝึกตน อาจารย์ครึ่งๆ กลางๆ อย่างข้า บางทีอาจสู้เจ้าไม่ได้จริงๆ มีเพียงเรื่องถักรองเท้าสานนี่แหละ อาจารย์ท่องไปทั่วหล้า ยากนักที่จะพบศัตรูในเรื่องนี้ได้”
เฉาฉิงหล่างยิ้มบางๆ
เฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อว่า “หากอิงตามคำพูดของหลี่ถวนจิ่งอดีตเจ้าสวนลมฟ้าคนก่อน ถ้าการถักรองเท้าสานก็เป็นเส้นทางสายใหญ่แห่งการฝึกตนวิชาหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คือห้าขอบเขตล่างที่เพิ่งได้เผชิญโลกกว้าง ไม่รู้ว่าทัศนียภาพห้าขอบเขตบนของการถักรองเท้าเป็นเช่นไร”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ “อาจารย์บอกว่าใช่ก็ใช่นั่นแหละ”
เฉินผิงอันพูดต่อไม่ออก มาลองนึกๆ ดู ตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วบ้านของตนขาดขนบธรรมเนียมแบบใดบ้าง หญ้ายอดกำแพงไม่ขาด ตัวขี้ประจบขอบเขตบินทะยานก็ไม่ขาด ล้วนถูกลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนและพวกจูเหลี่ยนพาเลี้ยวเข้ารกเข้าพงไปหมดแล้ว เป็นเหตุให้แม้แต่กวอจู๋จิ่วลูกศิษย์ครึ่งตัวผู้นั้นก็ยังเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันที่แม้ไม่มีใครสั่งสอนก็ยังเข้าใจได้เองเหมือนกับเผยเฉียนไปด้วย ดังนั้นจึงยังขาดความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างเฉาฉิงหล่างนี่แหละ
เฉินผิงอันจึงยิ้มอย่างปลาบปลื้ม ในที่สุดตนก็มีลูกศิษย์ดีๆ ที่เป็นคนปกติกับเขาบ้างแล้ว
กลับกลายเป็นเฉาฉิงหล่างที่รู้สึกอึดอัดเสียเอง เขาเอื้อมมือไปหยิบพัดไม้ไผ่ที่บนหน้าพัดเขียนตัวอักษรและบนโครงของพัดก็แกะสลักตัวอักษรเอาไว้ พัดพับมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อที่ค่อนข้างสุภาพไพเราะ หนึ่งในนั้นก็คือคำเรียกว่า ‘ลมเย็น’
ตัวอักษรบนหน้าพัดย่อมสะดุดตามากที่สุด แค่มองก็รู้ทันที แต่ส่วนที่เฉาฉิงหล่างชอบจริงๆ กลับเป็นตัวอักษรเล็กๆ ขนาดเท่าหัวแมลงวันที่เรียงกันเป็นแถวอยู่บนซี่พัดขนาดใหญ่ เหมือนเด็กคนหนึ่งที่แอบซ่อนตัวไม่กล้าพบเจอใคร ตัวอักษรนั้นเขียนได้เล็กมากๆ บางทีหากคนที่ซื้อพัดเป็นคนที่ไม่ละเอียดอ่อน ไม่สังเกตให้ดีก็คงคิดว่าเป็นพัดไม้ไผ่เล่มหนึ่งที่มีแค่ตัวอักษรบนหน้าพัด ไม่มีตัวอักษรที่ถูกแกะสลักเอาไว้ หลายเดือนหลายปี ชีวิตนี้ชาตินี้ คงไม่มีทางรู้ได้เลย
เฉาฉิงหล่างหุบพัดพับ ถือไว้ในมือ จ้องนิ่งไปที่อักษรแถวนั้น แล้วเงยหน้ายิ้มกล่าวว่า “มิน่าเล่าอาจารย์ถึงได้ชอบดื่มเหล้า”
เฉินผิงอันยิ้มชอบใจ
ตัวอักษรที่แกะสลักไว้บนไม้ไผ่คือคำว่า
เรื่องราวบนโลกดุจความฝัน ดื่มเหล้าไม่กลัวว่าจะเมาพับ ไม่ดื่มกลับเป็นคนในความฝัน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากชอบ ข้าก็ยกให้เจ้า”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้าคลี่ยิ้ม “มิกล้าถ่วงรั้งการหาเงินของอาจารย์”
เฉินผิงอันหยิบพัดอีกเล่มหนึ่งขึ้นมาโบกลมเย็นเข้าใส่ตัว พูดกลั้วหัวเราะว่า “อาจารย์ของเจ้าไม่ใช่คนแบบนั้น”
เฉาฉิงหล่างถาม “อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาแกะสลักตัวอักษรบนตราประทับกันดีไหม?”
เฉินผิงอันรีบวางพัดลงทันที ยิ้มตอบ “ดีสิ”
เฉาฉิงหล่างกลั้นยิ้ม หยิบตราประทับที่เป็นหินสีขาวราวหิมะซึ่งเขาถูกใจตั้งแต่แรกเห็นขึ้นมา ถือมีดแกะสลักไว้ในมือ แต่แล้วก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย จึงได้แต่ถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ แกะสลักตัวอักษรกับเขียนตัวอักษรไม่ค่อยเหมือนกัน แล้วเมื่อก่อนข้าก็ไม่เคยทำเรื่องแบบนี้ หากลงมือครั้งแรกแล้วแกะสลักผิดไป จะไม่สิ้นเปลืองตราประทับชิ้นหนึ่งไปเปล่าๆ หรอกหรือ?”
จิตของเฉินผิงอันขยับเล็กน้อย กระบี่บินสืออู่ก็บินออกมาจากช่องโพรง ถูกเขาถือไว้ในมือ เฉินผิงอันกล่าวด้วยสีหน้าไม่แยแสว่า “ตราประทับพวกนี้เป็นแค่ของธรรมดาทั่วไปในกำแพงเมืองปราณกระบี่ คือหินชนิดหนึ่งที่มีเต็มภูเขา จะหยิบเอามาจากไหนก็ได้ ไม่ได้มีราคาอะไร แต่หากเจ้ากังวลจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็แกะสลักตัวอักษรให้ช้าสักหน่อย เมื่อมือช้าใจเร็ว ความผิดพลาดก็จะน้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่พวกผู้ฝึกกระบี่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ยังพูดง่าย เดิมทีก็ไม่ค่อยถือสาจุดบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ บนตัวอักษรอยู่แล้ว ขอแค่ตัวอักษรบนตราประทับมีความหมายดีก็ต้องขายออกได้แน่”
เฉินผิงอันมือหนึ่งถือ ‘มีดแกะสลัก’ สืออู่ อีกมือหนึ่งถือตราประทับ คิดว่าจะมอบให้เฉาฉิงหล่างและเผยเฉียนคนละชิ้น เขาจึงครุ่นคิดถึงเนื้อหาของตัวอักษร เนิ่นนานก็ยังไม่เริ่มลงมือ
ดังนั้นจึงกลับกลายเป็นว่าเฉาฉิงหล่างที่เพิ่งเคยแกะสลักเป็นครั้งแรก แต่กลับร่ายถ้อยคำไว้ในใจคร่าวๆ อยู่ก่อนแล้วได้เริ่ม ‘ลงพู่กัน’ ก่อน หลังจากเขียนตัวอักษรตัวแรกเสร็จ เฉาฉิงหล่างก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หยุดพักเล็กน้อย พอเงยหน้ามองไปก็เห็นว่าอาจารย์ยังตกอยู่ในภวังค์ความคิด
เฉาฉิงหล่างจึงก้มหน้าแกะตัวอักษรต่ออีกครั้ง
หลังจากที่เผยเฉียนหวนกลับมา มีประโยคหนึ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจเฉาฉิงหล่างมานาน เพียงแต่เด็กหนุ่มไม่คิดจะบอกอาจารย์ ไม่อย่างนั้นจะตกเป็นที่สงสัยว่าเป็นคนขี้ฟ้อง เป็นคนที่ชอบว่าร้ายผู้อื่นลับหลัง
‘หากไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเผยเฉียนไม่ดีแค่ไหน ก็ไม่มีทางเข้าใจว่าตอนนี้เผยเฉียนดีแค่ไหน’
เกี่ยวกับเผยเฉียนที่จากลากันไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง ต่อให้จะพูดถึงแค่เรื่องของส่วนสูงที่เหตุใดถึงต่างไปจากจินตนาการของเขามากขนาดนั้น อันที่จริงตอนที่อยู่ตรงหัวเลี้ยวของถนนในพื้นที่มงคลอันเป็นบ้านเกิด เด็กหนุ่มถือร่มที่มีบุคลิกสง่างามก็รู้สึกประหลาดใจมากแล้ว
ภายหลังได้กลับมาพบกันอีกครั้ง เฉาฉิงหล่างก็ยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม
กระทั่งตามเผยเฉียนไปที่วัดซินเซียง เฉาฉิงหล่างถึงพอจะเข้าใจขึ้นมาได้บ้าง ภายหลังมาถึงภูเขาลั่วพั่ว ความสงสัยก็เริ่มน้อยลง เริ่มคุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลงและไม่เปลี่ยนแปลงของเผยเฉียนแล้ว กระทั่งถึงทุกวันนี้ แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุได้อย่างเต็มที่ แต่อย่างน้อยที่สุดเฉาฉิงหล่างก็ไม่เป็นเหมือนช่วงแรกๆ ที่เข้าใจผิดคิดว่าเผยเฉียนได้ยึดครองเรือนกายของผู้ฝึกตนบางคนมา หรือเปลี่ยนจิตวิญญาณไปส่วนหนึ่งหรือไม่ ไม่อย่างนั้นเหตุใดนิสัยใจคอของเผยเฉียนถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้?
ราวกับว่าเดินจากสุดโต่งด้านหนึ่งไปสู่สุดโต่งอีกด้านหนึ่ง
เด็กหนุ่มจิตใจละเอียดอ่อนทั้งยังรอบคอบ อันที่จริงต่อให้จะเป็นการเดินทางไกลครั้งแรกหลังออกมาจากภูเขาลั่วพั่ว เขาก็ยังคงมีความกังวลที่ไม่เล็กไม่ใหญ่บางอย่างอยู่ดี
แต่พอได้ยินคำสั่งสอนระหว่างอาจารย์และศิษย์บนหัวกำแพง
เด็กหนุ่มก็วางใจได้อย่างเต็มที่แล้ว
เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉาฉิงหล่างพลันรู้สึกใจฝ่อขึ้นมาเล็กน้อย บอกว่าไม่ได้ฟ้อง แต่ดูเหมือนว่าเมื่อครู่นี้ตนก็แอบฟ้องลับหลังเผยเฉียนไปไม่น้อยเลยนี่นา
เฉาฉิงหล่างรวบรวมสมาธิแกะสลักตัวอักษรอีกครั้ง
โดยไม่ทันรู้ตัวเด็กกำพร้าในตรอกทรุดโทรมของปีนั้นก็กลายมาเป็นเด็กหนุ่มผู้สวมชุดลัทธิขงจื๊อที่มีมาดสง่างามแล้ว
เฉาฉิงหล่างคิดว่าจะมอบตราประทับชิ้นนี้ให้อาจารย์ของตน
เฉินผิงอันยังคิดไม่ออกว่าจะแกะสลักอะไรดี จึงได้แต่วางตราประทับในมือลงไป เก็บกระบี่บินสืออู่เข้าไปไว้ในช่องโพรงลมปราณ หันไปหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนบนหน้าพัดแทน
เฉาฉิงหล่างเงยหน้าขึ้นมองเฉินผิงอัน เนิ่นนานก็ไม่ยอมถอนสายตากลับมา
เฉินผิงอันไม่ได้เงยหน้า แต่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเด็กหนุ่มแล้ว จึงยิ้มเอ่ยว่า “เป็นอะไรไป? แกะสลักผิดหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนอันใหม่แล้วแกะใหม่ เพียงแต่ว่าตราประทับอันที่แกะผิดก่อนหน้านี้ หากเจ้ายินดีก็เก็บเอาไว้ อย่าทิ้งไป”
“ข้าไม่ได้แกะสลักผิด”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า เงียบไปนานก็พึมพำว่า “ได้พบเจอกับอาจารย์ คือความโชคดีของข้าอย่างยิ่ง”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะทันใด แต่ก็ยังไม่เงยหน้า คิดแล้วก็พยักหน้าพูดพึมพำกับตัวเองว่า “อาจารย์ได้พบเจอศิษย์ก็ดีใจมากเหมือนกัน”
เฉาฉิงหล่างก้มหน้าแกะสลักตัวอักษรต่ออีกครั้ง
เฉินผิงอันเขียนหน้าพัดเสร็จก็หันหน้ามาถามว่า “แกะสลักคำว่าอะไร?”
เฉาฉิงหล่างรีบยกมือขึ้นบังตราประทับเอาไว้ “ยังแกะสลักไม่เสร็จ วันหน้าอาจารย์ก็จะได้รู้เอง”
เฉินผิงอันหัวเราะ ลูกศิษย์คนนี้ของเขาไม่ค่อยเหมือนกับลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่ตอนนี้คงกำลังยุ่งอยู่กับการเอ่ยถ้อยคำประจบเยินยอสักเท่าไรจริงๆ
เฉาฉิงหล่างนั่งตัวตรง สีหน้ามุ่งมั่นตั้งใจ แกะสลักตัวอักษรอย่างระมัดระวัง เมื่อจิตใจสงบนิ่งมือก็มั่นคง
ใช้มีดแกะสลักที่อาจารย์มอบให้แกะตัวอักษร คราวหน้าที่ต้องจากลากัน ค่อยมอบตราประทับที่อยู่ในมือชิ้นนี้ให้อาจารย์
เฉาฉิงหล่างยังแกะสลักไม่เสร็จ ระหว่างที่แกะสลักเขาหลับตาลง ในสมองปรากฏภาพงดงามที่เขาจินตนาการมานานมากแล้ว สิ่งที่คิดในใจก็คือสิ่งที่มือเขียนไป
‘อาจารย์นั่งอยู่แต่ลำพัง ลมฤดูใบไม้ผลิพลิกเปิดหน้าหนังสือ’