ในช่วงระหว่างพักนี้ ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ทุกคนต่างก็จงใจอ้อมผ่านเด็กหนุ่มชุดขาว ไม่ใช่กลัวเขา แล้วก็ไม่ได้กลัวอาจารย์ของเขาอย่างเฉินผิงอัน แต่กลัวศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินผิงอันผู้นั้น
เกี่ยวกับการออกกระบี่ของจั่วโย่ว ยามอยู่บนหัวกำแพงเมือง พวกเขาต่างก็ไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียวราวกับรู้ใจกัน ทว่าตอนอยู่ในจวนซุนของเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียนกลับพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวอยู่ไม่น้อย
“เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงก็แค่พูดถึงควันธูปของสายเหวินเซิ่งแค่ไม่กี่คำเองไม่ใช่หรือ จั่วโย่วผู้นั้นต้องต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับคนอื่นเลยหรือไร? วิชากระบี่สูงกว่าก็มีเหตุผลแล้วงั้นหรือ? ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์คนเก่งของสายเหวินเซิ่ง เวทกระบี่สูงจริงๆ หลักการเหตุผลก็ยิ่งใหญ่จริงๆ”
“เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงมีผลการศึกเลื่องลืออยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผ่านสงครามใหญ่มาตั้งกี่ครั้ง ฆ่าปีศาจไปตั้งกี่ตน?! เขาจั่วโย่วคือเซียนกระบี่ที่เข้าร่วมศึกใหญ่แค่ครั้งเดียว หากทำให้เยว่ชิงได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือถึงขั้นสังหารเยว่ชิงไปโดยตรง ถ้าอย่างนั้นใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ควรต้องมอบกรอบป้ายอักษรทองให้จั่วโย่วเพื่อแสดงการขอบคุณเลยหรือไม่?”
“แค่เพื่อเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งก็ต้องรบราฆ่าฟันกัน เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงพูดผิดตรงไหน ควันธูปของสายเหวินเซิ่งเบาบางก็ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขารนหาที่กันเองหรอกหรือ? ก็ถือว่าดีแล้วที่ความรู้ของสายเหวินเซิ่งถูกห้ามเผยแพร่ ดีแล้วที่ปีนั้นราชวงศ์เส้าหยวนของพวกเราทำลายตำราวิชาความรู้ของพวกเขาได้มากที่สุดและเร็วที่สุด ถือเป็นความโชคดีอย่างใหญ่หลวงจริงๆ ไม่อย่างนั้นหากใต้หล้าไพศาลยกเอาความรู้ของสายนี้มาเป็นผู้นำ นั่นก็คงสนุกมากแล้วจริงๆ ใจแคบเท่าไส้ไก่ เกิดเรื่องเข้าหน่อยก็ระดมกำลังครึกโครม ก็โชคดีที่ที่นี่คือกำแพงเมืองปราณกระบี่อันคับแคบ ไม่อย่างนั้นหากยังอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าเขาจะอาศัยเวทกระบี่ของตัวเองมาสร้างปัญหาใหญ่เทียมฟ้าหรือไม่”
เพียงแต่ว่ายามที่คนรุ่นเยาว์พวกนี้แสดงท่าทางโกรธเคือง กลับไม่รู้เลยว่าเซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่นั่งอยู่ข้างกายซุนจวี้เฉวียน ใบหน้าที่ขมขื่นเหมือนมะระมาตั้งแต่เกิดกลับยิ่งขื่นขมระทมเข้าไปอีก
ซุนจวี้เฉวียนที่สวมชุดแขนเสื้อกว้างใหญ่นั่งอยู่บนระเบียง ในมือถือ ‘น้ำพุสุรา’ กระดกเหล้าขึ้นดื่ม ยิ้มถามว่า “ขู่เซี่ย เจ้าคิดว่าคนพวกนี้คิดแบบนี้จริงๆ หรือแสร้งทำเป็นคนโง่ที่ไม่มีเรื่องกลับหาเรื่องจะพูดกันแน่?”
ขู่เซี่ยไม่ได้ให้คำตอบ
เพราะว่าคำตอบทั้งสองอย่างนี้ต่างก็ไม่ใช่คำตอบที่ดี
ดูเหมือนว่าซุนจวี้เฉวียนจะยอมรับชะตากรรมมากกว่าขู่เซี่ยเสียอีก แม้แต่จะโกรธยังคร้านจะทำ เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พวกหัวมังกุท้ายมังกร พูดจาหนวกหูชวนให้คนรำคาญใจ”
ขู่เซี่ยถอนหายใจโล่งอก
จะดีจะชั่วก็ยังพักอยู่ในจวนซุนได้
แต่ถ้อยคำประโยคสุดท้ายของซุนจวี้เฉวียนกลับทำให้ขู่เซี่ยรู้สึกจนใจไม่น้อย “อยู่ในใต้หล้าไพศาล จะกินของส่งเดชไม่ได้ ทว่ากลับสามารถพูดจาส่งเดชได้ ทว่าอยู่กับข้ากลับตรงกันข้ามพอดี ของกินมั่วซั่วได้ แต่คำพูดไม่อาจเอ่ยส่งเดช เรื่องที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว วันหน้าหากมีเรื่องก็อย่ามาขอให้ข้าช่วยขอร้องแทนพวกเจ้า ข้าซุนจวี้เฉวียนเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่พอให้คนเขาฟันกระบี่ใส่หลายทีหรอก แล้วนับประสาอะไรกับที่ตายไปแล้วยังเสียเปล่า ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แล้วจะหาเรื่องลำบากใส่ตัวไปไย ข้าล่ะแปลกใจจริงๆ ตามหลักแล้วราชวงศ์เส้าหยวนก็ถือเป็นสถานที่ที่ไม่ขาดอารยธรรม เจ้าพวกลูกกระต่ายกลุ่มนี้ก็น่าจะได้เล่าเรียนเขียนอ่านกันมาไม่น้อย หลักการเหตุผลในตำราก็น่าจะกินเข้าท้องไปบ้างกระมัง กินอาหารเลิศรสหายากก็ขี้ออกมาเติมส้วม จะดีจะชั่วก็ยังพอมีประโยชน์ แต่นี่กินหลักการเหตุผลไปแล้ว แล้วก็ขี้ออกมาแล้ว ปากตัวเองเหม็นหรือไม่ ปากคนข้างๆ เหม็นหรือไม่ แค่นี้ก็น่าจะได้กลิ่นอยู่บ้างไม่ใช่หรือ? ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะว่า คำพูดเหล่านี้ของพวกเขา พูดอยู่ในจวนซุนของข้าก็พอ เพราะถึงอย่างไรชื่อเสียงจวนซุนของข้าก็ถูกพวกเจ้าทำร้ายจนฉาวโฉ่ไปทั่วหัวถนนแล้ว แต่หากยังออกไปโหวกเหวกอยู่ข้างนอก จวนซุนไม่ช่วยเก็บศพให้หรอกนะ”
จนถึงตอนนี้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ยังคงจดจำสายตาเย็นชาตอนเอ่ยประโยคสุดท้าย และคำพูดประโยคสุดท้ายของซุนจวี้เฉวียนได้ชัดเจน “ถึงอย่างไรกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราก็เป็นสถานที่กันดารยากจน เรียนหนังสือรู้ตัวอักษรก็ยิ่งเป็นเรื่องหายาก ลงมือทีก็ไม่รู้จักหนักเบา หากศพไม่ครบถ้วนก็ยากจะเก็บกลับมาประกอบกันได้”
หลังจากเซียนกระบี่ขู่เซี่ยเปิดปากเอ่ยให้หยุดพักครึ่งชั่วยาม จูเหมยก็รีบวิ่งไปหาอวี้เจวี้ยนฟูทันที เพราะต้องการบอกนางว่าชุยตงซานมาที่นี่ แค่มองก็รู้แล้วว่ามาเพื่อหาเรื่อง
จินเจินเมิ่งยังคงนั่งอยู่บนเบาะในมุมเพียงลำพัง ตามหาปณิธานกระบี่เสี้ยวที่ซ่อนอยู่ในปราณกระบี่พวกนั้นอยู่เงียบๆ
หลินจวินปี้ที่นั่งอยู่บนเบาะกำลังช่วยไขข้อข้องใจและตอบปัญหายากแก่ผู้ฝึกกระบี่สองสามคน
มีเพียงเหยียนลวี่ที่ลุกขึ้นยืนเดินไปหาลูกศิษย์ของเฉินผิงอันที่มีนามว่าชุยตงซานคนนั้น เขากระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง หันหน้ามามองสถานการณ์หมากบนกระดานแล้วยิ้มถามว่า “คือหัวข้อเป็นตาย (คือหัวข้อหนึ่งในการเล่นหมากล้อมโดยการกำหนดขอบเขตหนึ่งที่แน่นอนเอาไว้ แล้วให้ฝ่ายหนึ่งเดินก่อน โดยจะใช้วิธีฆ่าให้เป้าหมายที่กำหนดไว้ซึ่งจะเป็นหมากของตัวเองหรือหมากของฝ่ายตรงข้ามก็ได้ให้ตายหรือจะช่วยให้มีชีวิตรอด) ที่อยู่ใน ‘ตำราศาลาแห่งความชื่นมื่น’ ของอาจารย์ซีหลูหรือ?”
ชุยตงซานเงยหน้า ชำเลืองตามองเหยียนลวี่แวบหนึ่ง ไม่เอ่ยอะไรก็ก้มหน้าลง พยายามแก้หัวข้อปัญหาสถานการณ์หมากของตัวเองต่อไป
เหยียนลวี่ยิ้มกล่าว “เจ้าอยู่ที่นี่เพราะนึกอยากจะเล่นหมากล้อมกับใครหรือไม่? อยากขอให้จวินปี้ช่วยสอนวิชาหมากล้อมแก่เจ้างั้นหรือ? ข้าแนะนำเจ้าว่าถอดใจเสียเถอะ จวินปี้ไม่มีทางเดินมาที่นี่หรอก”
ชุยตงซานเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “เจี่ยงกวนเฉิง หากเจ้าคิดอยากจะตีสนิทข้า เพื่อจะให้อาจารย์ลุงใหญ่ของข้าคุ้นหน้าคุ้นตาเจ้า ข้าก็แนะนำเจ้าว่ารีบไสหัวไปดีกว่า”
เจี่ยงกวนเฉิง?
เหยียนลวี่หลุดหัวเราะพรืด
ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น “ทำไม ลูกศิษย์สายหย่าเซิ่งอย่างเจ้าคิดจะมาประลองบุ๋นกับข้าบนกระดานหมากล้อมงั้นหรือ?”
เหยียนลวี่ส่ายหน้า คลี่ยิ้มอย่างไม่ยินดียินร้าย สีหน้าไม่สะทกสะท้าน “เจ้าจำคนผิดแล้ว แม้ข้าเหยียนลวี่จะไม่ใช่ลูกศิษย์สายหย่าเซิ่ง แต่ก็รู้ดีว่าลูกศิษย์สายของหย่าเซิ่งให้ความเคารพกฎเกณฑ์ ยกย่องคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์เป็นที่สุด ไม่เคยแก่งแย่งช่วงชิงกับผู้อื่นโดยใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง หลักการเหตุผลอยู่ในตำราอยู่ในหัวใจ ไม่ได้อยู่บนหมัดหรือบนกระบี่ แน่นอนว่าก็ไม่อยู่บนกระดานหมากด้วย ข้าไม่ใช่สายของหย่าเซิ่งยังรู้เหตุผลข้อนี้ แล้วลูกศิษย์นับหมื่นของสายหย่าเซิ่งจะไม่ยิ่งเห็นด้วยหรอกหรือ?”
ชุยตงซานกล่าวอย่างสงสัย “เจ้าชื่อเหยียนลวี่ ไม่ใช่เจี่ยงกวนเฉิงที่บนหลุมศพบรรพบุรุษในบ้านมีควันเขียวผุดขึ้น ผู้อาวุโสสองคนในตระกูลต่างก็เคยเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาหรอกหรือ? เจ้าคือลูกหลานตระกูลเหยียนแห่งแผ่นดินกลาง?รึ?”
เหยียนลวี่สีหน้าเคร่งเครียด พูดเสียงขรึม “เจ้าระวังคำพูดด้วย!”
ชุยตงซานโบกมือ มือหนึ่งคีบเม็ดหมาก อีกมือหนึ่งถือตำรา ชำเลืองตามองเหยียนลวี่แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่พูดถึงเจี่ยงกวนเฉิงที่ปากบอกว่าใส่ใจ แต่ในใจกลับไม่แยแสแม้แต่น้อยผู้นั้นแล้ว ข้าจะพูดถึงเจ้าก็แล้วกัน บรรพบุรุษตระกูลเจ้าก็คือเหยียนซีที่ทุกครั้งที่ภูเขาชิงเสินมีงานเลี้ยงสุราก็ล้วนไม่เคยได้รับเทียบเชิญ แต่กลับทำหน้าหนาไปขอเหล้าดื่ม คือสุนัขเหยียนขาเลียตัวเป้งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางสินะ?! ทุกครั้งที่ดื่มเหล้าไปแล้ว ต่อให้ได้แต่นั่งอยู่ตำแหน่งท้ายสุด เขาที่จะคนก็ไม่ใช่นก (เพราะนับแต่โบราณมานกถูกมองว่ามีลักษณะเหมือนอวัยวะเพศชาย จึงกลายมาเป็นคำด่าอีกอย่างหนึ่ง) ก็ไม่เชิง กลับพยายามสุดชีวิตเพื่อจะดื่มคารวะคนอื่น พอออกมาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ก็รีบวางท่าว่าเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าเหยียนที่ ‘ข้าไม่เพียงแต่เคยดื่มเหล้าบนภูเขาชิงเสิน ยังเคยดื่มเหล้ากับใครๆๆ แล้วก็พูดคุยถูกคอกับใครๆๆ มาด้วย’? ก็โชคดีที่มีเจ้าคนผู้หนึ่งไม่รู้กาลเทศะ ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์บนโต๊ะเหล้า ไม่ทันระวังจึงหลุดปากเปิดเผยความลับสวรรค์นี้ออกมา ไม่อย่างนั้นฉายาสุนัขเหยียนขาเลียตัวเป้งนี้ก็ยังแพร่สะพัดไปไม่ได้จริงๆ คุณชายเหยียน เห็นด้วยหรือไม่ล่ะ?”
เหยียนลวี่หน้าเขียวคล้ำ
ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ “ก็แค่คำพูดเท่านั้น เบาบางล่องลอย ความใจกว้างของบัณฑิตอยู่ที่ไหนเล่า? ไยต้องเกิดจิตคิดสังหารข้าด้วย? หนำซ้ำยังคิดว่าถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย คิดว่าการสังหารข้านับว่ามีเหตุผลดีแล้ว เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร? เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะขี้ขลาดถูกเจ้าทำให้ตกใจตายไปโดยตรงเลยหรือ? ไม่กลัวจะถูกอาจารย์ลุงใหญ่ของข้าสับเจ้าเป็นชิ้นๆ กลายเป็นเนื้อบดหรือ? หรือเพราะมองไม่ออกว่าตบะของข้าสูงหรือต่ำ แต่กลับเกรงกลัวอาจารย์ที่ขอบเขตสูงนอกฟ้าของข้า บวกกับที่ตัวเจ้าเองคือเศษสวะ ถึงได้อดทนข่มกลั้นเอาไว้ คิดว่าลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สาย? เจ้าลองคิดดูนะ หากอิงตามหลักการนี้ แล้วทำตามกฎเกณฑ์ของพวกเจ้า เจ้ากับอาจารย์ลุงใหญ่ของข้าตามที่พวกเจ้าเรียกก็ไม่ใช่คนประเภทเดียวกันหรอกหรือ? เพียงแต่ว่ามีความแตกต่างเล็กๆ ก็คือเจ้าเหยียนลวี่คือเศษสวะที่สุนัขเฒ่าขาเลียสอนมา เวทกระบี่ก็เลยอยู่ในหลุมขี้ แต่เวทกระบี่ของอาจารย์ลุงใหญ่ข้าอยู่สูงบนฟากฟ้าก็เท่านั้น”
เหยียนลวี่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สองหมัดกำแน่น แต่สุดท้ายกลับคลี่ยิ้มบางๆ
ชุยตงซานวางเม็ดหมากและตำราหมากล้อมลง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ทำท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน ยิ้มสดใสเอ่ยว่า “เห็นไหม หลักการเหตุผลของพวกเจ้า ข้าก็รู้เหมือนกัน ใช้หลักการเหตุผลของพวกเจ้าแล้วง่ายกว่า สบายกว่าจริงๆ เสียด้วย”
ชุยตงซานโบกมือ พูดด้วยสีหน้ารังเกียจว่า “สุนัขขาเลียน้อยตระกูลเหยียนรีบถอยไปซะ รีบกลับไปเลียก้นของสุนัขขาเลียเฒ่าตระกูลพวกเจ้าเถอะ บรรพบุรุษตระกูลเจ้าตบะสูง เศษน้ำแกงเย็นๆ น้อยนิดที่ติดมาบนก้นนั้นพอจะป้อนให้เจ้าอิ่มได้ ยังจะวิ่งมาทำอะไรที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ มาส่ายหางตามก้นหลินจวินปี้หรือ? ฝึกกระบี่ ฝึกกระบี่ ฝึกกระบี่กับผีน่ะสิ ไม่คิดเสียบ้างว่าคุณชายใหญ่หลินของพวกเราเป็นใคร เขาออกจะสง่างามสูงส่ง ดุจดั่งเทพเซียนในกลุ่มคน…”
ในช่วงเวลาที่เหยียนลวี่กำลังจะเรียกกระบี่ออกมานั้นเอง
หลินจวินปี้ก็ลุกขึ้นยืนพอดี “พอเถอะ ชุยตงซาน ข้าเล่นหมากล้อมกับเจ้าก็ได้ วิธีพูดจากระทบกระเทียบแบบนี้ อย่าทำจะดีกว่า”
ชุยตงซานใช้มือหนึ่งบีบจมูก อีกมือหนึ่งกวักเรียก “คุณชายหลินรีบนั่งลงเร็วเข้า ข้าคงได้แต่อาศัยกลิ่นอายเซียนของเจ้ามาขับไล่กลิ่นเยี่ยวเหม็นฉุนนี่แล้วล่ะ”
เหยียนลวี่ยังคิดจะออกกระบี่ แต่กลับถูกเซียนกระบี่ขู่เซี่ยใช้เสียงในใจเอ่ยห้าม “จั่วโย่วไม่มีทางออกกระบี่เพื่อตัวเอง แต่กลับจะออกกระบี่เพื่อสายของเหวินเซิ่ง อีกทั้งยังไม่คิดจะสนใจด้วยว่าเจ้าคือใคร มีขอบเขตอะไร”
เหยียนลวี่หน้าซีดขาวเล็กน้อย กระโดดลงจากหัวกำแพงกลับไปนั่งที่เบาะ
ตอนที่เดินสวนไหล่กับหลินจวินปี้ หลินจวินปี้ตบไหล่ของเหยียนลวี่ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยังมีข้าอยู่นะ เวทกระบี่ของข้าไม่ได้เรื่อง แต่วิชาหมากล้อมยังพอถูไถ ถูกไหม?”
เหยียนลวี่ที่ได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจและถูกหยามเกียรติพยักหน้ารับแรงๆ
หลินจวินปี้สะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง นั่งลงฝั่งตรงข้ามของกระดานหมากเบาๆ
ชุยตงซานยกมือสองข้างถูกัน พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงและอิจฉา “ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำของคุณชายหลินก็ล้วนมีกลิ่นอายเซียนล่องลอยขนาดนี้ ต้องติดตัวมาจากท้องแม่แน่นอนเลย ใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นจะสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วดุจน้ำไหลเมฆคล้อย กลิ่นอายเซียนเอ่อท้นล้นหลามขนาดนี้ได้อย่างไร? ไม่มีทางเป็นไปแน่นอน นี่จะต้องเป็นพรสวรรค์อภินิหารที่ไร้รูปลักษณ์อย่างหนึ่งแน่ๆ เลย!”
หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “ข้าบอกแล้วว่าพูดจากระทบกระเทียบกันนั้นไม่มีความหมาย วางหมากลงก็พอ หากเจ้ายังตอแยไม่เลิกราแบบนี้ ข้าก็จะไม่เล่นหมากล้อมกับเจ้าแล้ว”
ชุยตงซานขยับตัวนั่งตรงอย่างสำรวม “เดิมพันสักหน่อยไหม?”
หลินจวินปี้ส่ายหน้า “ไม่เดิมพัน แค่แบ่งแพ้ชนะบนกระดานเท่านั้น”
ชุยตงซานเองก็ส่ายหน้า “เล่นหมากล้อมไม่มีของรางวัลจะสนุกตรงไหน? ข้ามาก็เพราะกะว่าจะมาหาเงิน…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชุยตงซานก็หันหน้าไปอีกทาง เด็กหนุ่มชุดขาวที่เมื่อครู่พอจะมีมาดของนักเล่นหมากล้อมอยู่บ้าง เวลานี้กลับกวักมือแรงๆ พลางยิ้มกว้างเอ่ยว่า “พี่หญิงอวี้ ทางนี้ๆ ข้าจะเล่นหมากล้อมกับคุณชายหลินแล้ว มาดูว่าข้าจะเอาชนะเขาอย่างไร!”
หลินจวินปี้เองก็เงยหน้าขึ้น เพียงแต่เมื่อเทียบกับชุยตงซานที่ปากเปราะแล้ว หลินจวินปี้ที่รูปโฉมหล่อเหลาดุจเซียนไม่ต่างกันกลับมีมาดสุภาพสง่างาม เพียงแค่หันไปยิ้มอย่างจนใจให้กับอวี้เจวี้ยนฟู
อวี้เจวี้ยนฟูสีหน้าไร้อารมณ์
จูเหมยกลั้นยิ้มไม่ไหว เรียกอวี้เจวี้ยนฟูอย่างสนิทสนมว่า ‘ไจ้ซี ไจ้ซี’ จากนั้นก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “เป็นคนโง่จริงๆ ด้วย”
ทว่าในใจอวี้เจวี้ยนฟูกลับมีความคิดนับร้อยประดังประเด
จริงดังคาด อีกฝ่ายคำนวณได้อย่างแม่นยำว่าจูเหมยจะต้องบอกเรื่องนี้กับตน แล้วก็คำนวณได้ว่าตนจะต้องปรากฏตัว อีกทั้งการปรากฏตัวของสตรีตระกูลอวี้อย่างตนย่อมต้องไปกระตุ้นใจอยากเอาชนะของคนอย่างหลินจวินปี้ สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ความคิดที่น้อยนิดเท่าเมล็ดงา เมื่อบังเกิดขึ้นมากลับไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย
และนี่ก็ยังคงอยู่ในแผนการของชุยตงซานผู้นี้