ดื่มเหล้าไปแล้วก็กลับจวนหนิง ระหว่างทางที่กลับไป ชุยตงซานหิ้วเหล้าภูเขาชิงเสินที่สองไหราคาห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะกลับไปด้วย แน่นอนว่าไม่ได้เชื่อกับทางร้านเหล้าเอาไว้
นี่ทำให้พวกผีขี้เหล้าทั้งหลายรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ จิตใจเยียบเย็น แม้แต่เงินเทพเซียนของลูกศิษย์ตัวเอง เถ้าแก่รองก็ยังหลอกเอาไปด้วยหรือ? แล้วคนนอกหลุม เขาจะออมมือให้หรือไร?
ได้ยินมาว่าผู้ฝึกกระบี่ก่อนกำเนิดคนหนึ่งที่บอกว่าตัวเองเชี่ยวชาญวิชาการเดิมพันเป็นอันดับหนึ่ง แม้แต่อาเหลียงก็ยังหลอกเอาเงินเขาไปไม่ได้แม้แต่เหรียญเดียว เวลานี้ได้เริ่มทำการศึกษาแล้วว่าควรจะลงเดิมพันกับเถ้าแก่รองแล้วหาเงินมาให้ตัวเองได้อย่างไร ถึงเวลานั้นก็จะเขียนหนังสือรวบรวมเป็นรูปเล่ม แล้วจะมอบตำราเล่มนี้ให้คนอื่นโดยไม่เก็บเงิน ขอแค่เป็นคนที่มาดื่มเหล้าในเหลาสุราเป่ากวงซึ่งเป็นเหลาสุราที่ใหญ่ที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็สามารถเอาไปได้เลยเล่มหนึ่ง เมื่อดูตามนี้ เหลาสุราเป่ากวงที่อยู่ในนามของตระกูลฉีก็ถือว่าตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับเถ้าแก่รองแล้ว
น่าหลันเย่สิงเปิดประตู ด้วยความดีใจที่ได้เหล้ามาสองกา คนที่เฝ้าประตูใหญ่แต่กลับควบคุมประตูเล็กอย่างปากตัวเองไม่อยู่จึงเอ่ยเรียกอีกฝ่ายว่าน้องเล็กตงซานอย่างกระตือรือร้น ชุยตงซานยิ้มตาหยี ปากก็เรียกว่าท่านปู่น่าหลัน แต่ในใจกลับคิดว่าพี่ใหญ่น่าหลันผู้นี้อายุมากแล้วก็เลยเลอะเลือนจนจำรสชาติตอนถูกตีไม่ได้แล้วสินะ อยากโดนซ้อมอีกรอบหรือไร ก่อนหน้านี้คำพูดของตนก็แค่ทำให้ในใจป๋ายหมัวมัวอึดอัดเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าครั้งนี้คงต้องลงมืออย่างโหดร้ายออกหมัดเต็มแรงใส่พี่ใหญ่น่าหลันอย่างเจ้าแล้ว ตีเพราะสนิทสนม ด่าก็เพราะรัก จงรับไว้และเสพสุขกับมันแต่โดยดี
เพื่อไม่ให้โอกาสน่าหลันเย่สิงได้ล้อมคอกเมื่อวัวหาย หลังจากที่เดินข้ามผ่านธรณีประตูใหญ่มาพร้อมกับอาจารย์ ชุยตงซานจึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “ลำบากให้พี่หญิงลั่วซานต้องคอยคุ้มกันมาส่งแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “เป็นหน้าที่ของนาง ไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ “แน่นอน เพียงแต่ว่าในใจศิษย์กระวนกระวาย ไม่แน่ใจว่าการแต่งกายวันนี้จะเข้าตาพี่หญิงลั่วซานหรือไม่”
น่าหลันเย่สิงยิ้มกล่าว “ตงซานอ่า เจ้าคือเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่ยากจะพานพบได้ เซียนกระบี่ลั่วซานจะต้องจดจำเจ้าได้อย่างแน่นอน”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “นั่นสิๆ”
ทางฝั่งของลานประลองยุทธฟ้าดินเล็กเมล็ดงา เผยเฉียนกำลังถูกป๋ายหมัวมัวป้อนหมัดให้
เฉินผิงอันไม่ได้อยู่ด้วย เพราะทนมองไม่ไหว
หากตัวเฉินผิงอันเป็นคนถูกป้อนหมัดเอง รสชาติการถูกผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบป้อนหมัดเป็นอย่างไร ต่อให้อนาถแค่ไหนก็ไม่เป็นไร แต่กลับทนเห็นลูกศิษย์ของตนถูกป้อนหมัดไม่ได้
สาเหตุที่แท้จริงก็คือ เฉินผิงอันกลัวว่าหากตัวเองมองมากหน่อย แล้ววันหน้าเผยเฉียนทำความผิด ตนจะตัดใจตำหนินางไม่ลง แล้วจะกลายเป็นว่าใช้เหตุผลกับนางน้อยลง
เพราะถึงอย่างไรตลอดเวลาหลายปีที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน เฉินผิงอันก็เจอความยากลำบากบนเส้นทางหัวใจสายนี้มาจนเกินพอแล้ว
ตัดขาดความสำคัญกับคนอื่น ต่อให้ยากแค่ไหนก็ไม่ยากอีกต่อไป มีเพียงตัดขาดความสัมพันธ์กับตัวเองคนเมื่อวานเท่านั้นที่ลำบากสุดแสน ยากดั่งเดินขึ้นสวรรค์
……
ในคฤหาสน์หลบร้อนหลังหนึ่งของใต้เท้าอิ่นกวานที่ตั้งอยู่นอกเมือง
ใต้เท้าอิ่นกวานนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ลอยอยู่กลางอากาศ มือทั้งสองของนางจับผมแกละสองข้างของตัวเอง ก้มหน้ามองลงไป จุดที่สายตานางมองเห็นคือภาพแผนที่ของนคร แต่มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าอีกทั้งยังละเอียดกว่าแผนที่ปกติทั่วไป ต่อให้เป็นสวนดอกไม้ หอเก๋งศาลาส่วนตัวของเรือนใหญ่ทั้งหลายซึ่งรวมถึงเรือนบนถนนไท่เซี่ยง ก็ล้วนเห็นชัดเจนครบถ้วน
เพียงแต่ว่าตอนนี้บนแผนที่กลับเป็นเส้นทางทั้งหลายที่วาดด้วยพู่กันสีชาด เส้นทางสีแดงสด ฝั่งหนึ่งคือจวนหนิง อีกฝั่งหนึ่งกลับไม่มีเป้าหมายแน่นอน มากสุดก็คือร้านเหล้าของเตี๋ยจ้าง รวมไปถึงมุมหัวเลี้ยวของตรอกเส้นนั้น ตำแหน่งที่นักเล่านิทานมักจะเอาม้านั่งตัวเล็กมาวางไว้ รองลงมาก็คือจุดที่จั่วโย่วฝึกกระบี่ ส่วนที่เหลือก็คือร่องรอยเส้นทางต่างๆ ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ สรุปก็คือเถ้าแก่รองเดินไปที่ไหนก็จะมีคนวาดภาพบนแผนที่ไปถึงที่นั่น
ผังหยวนจี้เคยถามว่า “เฉินผิงอันไม่ใช่สายของเผ่าปีศาจเสียหน่อย เหตุใดอาจารย์ต้องสนใจการเดินทางของเขาขนาดนี้ด้วย”
ใต้เท้าอิ่นกวานตอบกลับมาว่า “ไม่ได้ต่อสู้ ไม่มีเหล้าดื่ม อาจารย์เบื่อมากนี่นา”
ผังหยวนจี้จึงไม่ถามให้มากความอีก เพราะเหตุผลข้อนี้ของอาจารย์มีเหตุผลอย่างมาก
ตามคำบอกของอาจารย์เขา สายของอิ่นกวานในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เมื่อสืบทอดมาถึงมือของนาง ต่อให้จะไม่ถือว่าทำได้ดีนัก แต่ก็ถือว่าผ่านเกณฑ์และได้มาตรฐานอย่างแน่นอน ไม่เพียงแต่ผ่านเกณฑ์ ยังทำเรื่องอย่างอื่นเพิ่มเติมหลายต่อหลายเรื่อง คุณความชอบไม่ถือว่าน้อยเลยจริงๆ แต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ยังชอบยั่วยุนางอยู่ร่ำไป รังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ ผู้มีความสามารถมากก็ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น แต่ไม่เห็นต้องมีชะตาชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยวุ่นวายขนาดนี้เลยนี่นา
ลั่วซานเซียนกระบี่หญิงยังคงสวมชุดผ้าฝ้ายคอกลม รูปแบบยังคงเดิม แต่เปลี่ยนสีใหม่ อีกทั้งยังปักปิ่นดอกไม้ไว้บนมวยผม
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ลั่วซานที่อยู่ในสายของอิ่นกวาน รวมไปถึงโจวเฉิงสตรีวิปลาสที่โล้ชิงช้าอยู่บนหัวกำแพงเมืองผู้นั้น ล้วนถือว่ามีรูปโฉมโดดเด่นอย่างถึงที่สุดแล้ว
พอมาถึงห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อน ลั่วซานที่ถือพู่กันด้ามหนึ่งก็เดินมาวาดเส้นทางสีแดงอีกเส้นหนึ่งลงไปบนแผนที่
เซียนกระบี่จู๋อานขมวดคิ้ว “คราวนี้ทำไมถึงได้พาชุยตงซานไปยังที่พักของเถาเหวิน? เขาต้องการสิ่งใด?”
ลั่วซานกล่าว “เจ้าถามข้า? ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้าไปถามเฉินผิงอันหรือถามชุยตงซานดีล่ะ?”
เซียนกระบี่จู๋อานร้องอ้อหนึ่งที “คิดจะไปก็ไปเถอะ ข้ารั้งไว้ไม่อยู่สักหน่อย”
ลั่วซานถลึงตาใส่
จู๋อานกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ใต้เท้าอิ่นกวานเอ่ย “น่าจะไปเกลี้ยกล่อมเถาเหวินว่าให้ขยันหาเงินมากๆ อย่ารนหาที่ตายกระมัง เถ้าแก่รองผู้นี้ยังใจอ่อนไปหน่อย มิน่าเล่าครั้งแรกที่ข้าเห็นหน้าเขาถึงไม่ชอบเขาทันทีเลย”
ใต้เท้าอิ่นกวานบิดผมแกละของตัวเอง เบ้ปากเอ่ย “บางทีอาจเป็นเพราะเถ้าแก่รองผู้นี้ยังได้เห็นมาน้อยนัก เวลาสั้นเกินไป หากได้มองนานกว่านี้แล้วยังมีจิตใจเช่นนี้ได้ ข้าก็คงนับถือเขาจริงๆ น่าเสียดายนัก…”
น่าเสียดายที่ใต้เท้าอิ่นกวานไม่ได้เอ่ยประโยคต่อไป ลั่วซานและเซียนกระบี่จู๋อานต่างก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
จู่ๆ ใต้เท้าอิ่นกวานก็ทอดถอนใจ สีหน้ายิ่งแสดงความเสียดาย “เยว่ชิงไม่ถูกฆ่าตาย ไม่สนุกเลยสักนิด”
คราวนี้เซียนกระบี่จู๋อานใคร่รู้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว เพราะถึงอย่างไรเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง เขาก็ไม่ค่อยสนใจสักเท่าไร แต่จั่วโย่วที่เป็นผู้ฝึกกระบี่เหมือนกัน เขากลับสนใจอย่างยิ่ง จึงถามว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน สรุปแล้วเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเอ่ยอะไรกันแน่ ถึงทำให้จั่วโย่วยอมหยุดมือเก็บกระบี่?”
ใต้เท้าอิ่นกวานยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา
เซียนกระบี่จู๋อานจึงโยนเหล้าหมักเซียนชั้นเลิศของเหลาสุราเป่ากวงไปให้นางกาหนึ่ง
ใต้เท้าอิ่นกวานเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “คงจะพูดกับจั่วโย่วว่า ศิษย์หลานพวกนั้นของเจ้ากำลังมองดูอยู่ ปล่อยกระบี่ออกไปมากขนาดนั้นกลับยังฆ่าใครไม่ได้ นี่ก็น่าขายหน้ามากพอแล้ว ไม่สู้ล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าเยว่ชิงไปซะ ถือเสียว่าเป็นการประลองฝีมือไปดีกว่า หากฆ่าอีกฝ่ายตายไปจริงๆ จะเป็นการลดเกียรติของอาจารย์ลุงใหญ่อย่างเจ้าเอาได้กระมัง”
ลั่วซานกับเซียนกระบี่จู๋อานมองสบตากัน รู้สึกว่าคำตอบนี้ยากจะทำให้คนเชื่อได้
ใต้เท้าอิ่นกวานกระโดดขึ้นไปยืนบนที่เท้าแขนเก้าอี้ มองแผนที่นั้นจากมุมที่สูงกว่าเดิมอีกหน่อย พูดพึมพำกับตัวเองว่า “คนที่ใกล้จะตายมีค่อนข้างเยอะนะเนี่ย คนที่รอดชีวิตได้ก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แพ้เสียเงินชนะได้เงิน หาเงินคืนเงิน มีคนทำการค้าแบบนี้ด้วยหรือ? ในอนาคตใครเล่าจะจดจำเงินขายชีวิตน้อยนิดของเจ้าเถาเหวินได้ ใครจะจำเรื่องเล็กน้อยเท่าเมล็ดงาที่เจ้าเฉิงผิงอันทำลงไปได้? ภายใต้สถานการณ์ใหญ่ ทุกคนต่างก็ยากจะหลบหนีได้พ้น เป็นเรื่องที่ไร้ความหมายสิ้นดี แต่กลับยังตั้งใจทำขนาดนี้? เฮ้อ ไม่รู้จริงๆ ว่ามือกระบี่ที่เรียนหนังสือพวกนี้ทำอะไรอยู่ แล้วยังเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ดันดื่มเหล้าไม่ได้อีก ข้าล่ะกลุ้มจะตายอยู่แล้ว จู๋อาน เจ้ารีบดื่มเข้าสิ ให้ข้าได้ดมกลิ่นเหล้าก็ยังดี”
……
กำแพงเมืองปราณกระบี่ในวันนี้
จั่วโย่วไม่ใช่แค่รู้สึกไม่ค่อยชินสักเท่าไร แต่ไม่ชินอย่างถึงที่สุด
กับชุยตงซานนั้น สามารถแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ขัดหูขัดตาก็ออกกระบี่ใส่
กับเฉินผิงอัน สอนวิชาความรู้บางอย่างของตนให้เขา หากมีจุดไหนขัดตาก็จะสอนศิษย์น้องเล็กให้ฝึกกระบี่
แต่ทั้งสองคนตรงหน้านี้ต่างก็เป็นศิษย์หลาน!
บวกกับกวอจู๋จิ่วที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ถูกศิษย์น้องเล็กพามาอยู่ข้างกาย ก็ถือว่าเป็นศิษย์หลานครึ่งตัวด้วย?
ครั้งนี้เผยเฉียนพยายามจะแย่งพูดให้ได้ก่อน เคยแพ้ให้เฉาฉิงหล่างไปหนึ่งครั้ง นั่นเป็นเพราะนางโชคไม่ดี แพ้สองครั้ง นั่นก็แสดงว่าตนไม่มีมารยาทต่ออาจารย์ลุงใหญ่มากพอ!
ดังนั้นรอให้อาจารย์ของตนทักทายกับอาจารย์ลุงใหญ่ของตนเรียบร้อยแล้ว ตนก็ต้องลงมือแล้ว!
คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนวางแผนมาเป็นดิบดี กลับดันแพ้ให้กับกวอจู๋จิ่วที่ถือว่าเป็นสหายร่วมสำนักครึ่งตัว
ไม่รู้ว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงไม่ถูกกักบริเวณแล้ว ช่วงนี้จึงมักจะมาเยือนจวนหนิงบ่อยๆ มาบ่นว่าอาจารย์แม่ปิดด่านก็แล้วไปเถอะ ประเด็นสำคัญคือพอมาเจอกับอาจารย์ลุงใหญ่ของตนก็ยังไม่รู้จักพูดจาดีๆ เสียบ้าง
ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ยอมรับศิษย์น้องหญิงเล็กอย่างเจ้า ก็เป็นเหตุผลให้ศิษย์น้องหญิงเล็กอย่างเจ้าไม่ยอมรับศิษย์พี่หญิงใหญ่อย่างนั้นหรือ? หืม? หัวสมองเล็กๆ ของเจ้าถูกทุบจนเละไปแล้วหรือไร? ช่างเถิดๆ ต้องจดจำคำสอนของอาจารย์ให้ขึ้นใจ กระบี่สูงอยู่ในฝัก หมัดสูงอย่าได้ปล่อยออกไป
วันนี้กวอจู๋จิ่วชิงพูดก่อนว่า “ว่าที่ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ ท่านหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ถูกเซียนกระบี่มากมายขนาดนั้นซึ่งรวมถึงเซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงล้อมเอาไว้ อันที่จริงอารมณ์ของท่านผ่อนคลายมากเลย ใช่ไหม? เพราะในอดีตศึกใหญ่ที่ท่านออกจากหัวกำแพงไปสังหารปีศาจ ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ก็ถูกปีศาจมากมายล้อมเอาไว้เหมือนกัน ผ่าแตงหั่นผักควั่บๆๆ เพราะฉะนั้นจึงเคยชินมานานแล้ว ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน! อาจารย์ลุงใหญ่ท่านอย่าได้ไม่ยอมรับเด็ดขาดเชียว!”
จั่วโย่วยิ้มเอ่ยว่า “สามารถยอมรับได้”
กวอจู๋จิ่วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากข้าเป็นคนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างคงต้องจุดธูปไหว้พระ ขอร้องไม่ให้เวทกระบี่ของอาจารย์ลุงใหญ่สูงไปกว่านี้แม้สักเสี้ยวเดียวเลยล่ะ”
เผยเฉียนร้อนใจจนตาแดงก่ำ ยกสองมือเกาหัว
คำประจบสอพลอแบบนี้ไม่มีความจริงใจเกินไปแล้ว
อาจารย์ลุงใหญ่ท่านห้ามเชื่อเด็ดขาดเลยนะ
จั่วโย่วคลี่ยิ้ม เอ่ยพูดคุยกับเผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างสองสามประโยค ถ้อยคำที่ใช้เกรงใจและมีมารยาท มีมาดของผู้อาวุโสอย่างยิ่ง เอ่ยชมวิชากระบี่มารคลั่งของเผยเฉียน บอกให้นางพยายามเข้าอีก ยังบอกอีกว่าปณิธานกระบี่ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเซียนกระบี่โจวเฉิงนั้นสามารถเรียนได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเลื่อมใส วันหน้าอาจารย์ลุงใหญ่จะถ่ายทอดเวทกระบี่ให้เจ้าด้วยตัวเอง
จั่วโย่วยังกำชับเฉาฉิงหล่างว่าให้ตั้งใจเล่าเรียน ทั้งฝึกตนและเรียนหนังสือล้วนอย่าให้ถูกถ่วงเวลาทั้งสองอย่าง นั่นจึงจะเป็นรากฐานในการหยัดยืนของสายเหวินเซิ่ง ไม่ลืมสอนวิชาที่อาจารย์ของตนเองถนัดแก่เฉาฉิงหล่าง บอกกับเฉาฉิงหล่างว่าในเรื่องของการศึกษาหาความรู้อย่าเรียนรู้จากเฉินผิงอันเป็นพอ เพราะมันอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก จำเป็นต้องเป็นศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์ นี่ต่างหากจึงจะเป็นรากฐานในการเรียนรู้ของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าแต่ละรุ่นแย่ลงเรื่อยๆ นั่นจะไม่ทำให้พวกอดีตปราชญ์ทั้งหลายขำขันหรอกหรือ? ไม่พูดถึงระบบความรู้ของสายอื่น แต่สายของเหวินเซิ่งย่อมไม่มีหลักการเหตุผลนี้อยู่แน่นอน
ทำเอาเฉินผิงอันที่มองดูอยู่ทั้งดีใจ ทั้งกระอักกระอ่วน
ไม่เคยเห็นศิษย์พี่ใหญ่ท่านนี้จะเคยพูดจาน่าฟังด้วยสีหน้าเมตตาอ่อนโยนแบบนี้กับตนเลย
หรือว่านี่ก็คือคำกล่าวที่ว่าห่างกันรุ่นหนึ่งจะสนิทกันมากกว่า?
พาพวกเขามากราบอาจารย์ลุงใหญ่
กระท่อมของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็อยู่ห่างไปไม่ไกล
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพาพวกเขาไปพบผู้เฒ่าด้วยกัน
เฉินชิงตูเดินออกมาจากกระท่อม ชำเลืองตามองชุยตงซานแวบหนึ่ง น่าจะเป็นการพูดว่าไอ้ลูกกระต่ายน้อยไสหัวไปให้ไกลๆ
ชุยตงซานจึงยิ้มกล่าว “ได้เลย”
กล่าวจบก็หมุนตัว กระโดดโลดเต้นจากไป ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะทั้งสองข้างโบกสะบัดพลิ้วไสว
กวอจู๋จิ่วยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ยื่นสองนิ้วชี้ไปที่หัว เท้าสองข้างทำท่าเตรียมก้าวเดิน
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่ามองนางแวบหนึ่ง เพื่อแสดงความจริงใจ กวอจู๋จิ่วที่ยื่นสองนิ้วชี้ศีรษะจึงก้าวเดินเร็วกว่าเดิม
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ไม่ได้บอกให้เจ้าไปเสียหน่อย”
กวอจู๋จิ่วเหมือนยกภูเขาออกจากอก หมุนตัวหนึ่งรอบแล้วหยุดยืนนิ่ง แสดงให้รู้ว่าตนจากไปแล้วและกลับมาแล้ว
เผยเฉียนถอนหายใจอยู่ในใจไม่หยุด ต้องเกลี้ยกล่อมอาจารย์จริงๆ แล้วว่าแม่นางน้อยที่สมองไม่ใคร่จะสมประดีแบบนี้ พาเข้าสำนักไม่ได้จริงๆ ต่อให้จะต้องรับเป็นลูกศิษย์ แต่พอแม่นางน้อยที่โตแต่ตัวสมองไม่โตผู้นี้เข้าไปในศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่ว เก้าอี้ก็ต้องนั่งติดกับประตูใหญ่สักหน่อย
ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ นางเผยเฉียนเห็นส่วนรวมเป็นหลักไร้ความเห็นแก่ตัว จะไม่มีส่วนร่วมกับบุญคุณความแค้นส่วนบุคคลเด็ดขาด ที่เสนอความเห็นเช่นนี้ก็เพราะเห็นแก่คุณธรรมใหญ่ของสำนักล้วนๆ
แต่เผยเฉียนก็รู้สึกเลื่อมใสกวอจู๋จิ่วอยู่นิดๆ เป็นคนโง่ก็ดีไปอย่าง นางถึงได้กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานแบบนี้ต่อหน้าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส
หากเป็นตนย่อมไม่กล้าพูดแบบนี้แน่นอน ไม่กล้าแม้แต่จะมองผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ให้มากเกินจำเป็น เพราะจะทำให้นางเจ็บตา
เฉินชิงตูมองเด็กๆ ที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอัน สุดท้ายก็เอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “มีคำตอบแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ลูกศิษย์สายเหวินเซิ่ง แต่ไหนแต่ไรมามักจะวิเคราะห์สถานการณ์แล้วทำการเลือกและสละอยู่เสมอ”
เฉินชิงตูพยักหน้ารับ เพียงแค่เอ่ยว่า “ตามใจเจ้า”
สุดท้ายวันนี้บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จั่วโย่วนั่งอยู่ตรงกลาง ซ้ายขวาคือเฉินผิงอันและเผยเฉียน ข้างกายเฉินผิงอันคือกวอจู๋จิ่ว ส่วนข้างกายเผยเฉียนคือเฉาฉิงหล่าง
ไม่รู้ว่าเหตุใดชุยตงซานที่เมื่อครู่ถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไล่กลับไปแล้วถึงได้ถูกเรียกกลับมาอีกครั้ง
พูดคุยธุระจบ ชุยตงซานเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ถึงขั้นกล้ายืนเคียงไหล่กับเฉินชิงตูอย่างผึ่งผาย ดูเหมือนว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม คนทั้งสองถึงได้มายืนมองทัศนียภาพที่ห่างออกไปไม่ไกลด้วยกัน
เฉินชิงตูยิ้มถาม “ใต้เท้าราชครูคิดอย่างไร?”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “กลัวว่าจะเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง”