ชุยตงซานขมวดคิ้ว “ฟ้าดินมีเพียงแห่งเดียว การเพิ่มการลดล้วนมีจำนวนที่แน่นอน แม่น้ำแห่งกาลเวลามีแค่เส้นเดียว จากไปแล้วไม่หวนกลับมา! ท่านปู่ของข้าวางลงได้แล้ว แต่ทำไมเพราะการที่ข้าวางไม่ลง กลับกลายเป็นว่าทำให้เขาวางไม่ลงไปด้วยเล่า!”
ภิกษุหัวเราะเสียงดังลั่น ก่อนจะท่องภาษาพระธรรมหนึ่งคำ เก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืนแล้วเอ่ยว่า “พระธรรมกว้างไกลไร้ขอบเขตสิ้นสุด มีแค่ก่อนและหลังเท่านั้นจริงๆ หรือ? จะไม่ยอมให้คนถัดไปวางไม่ลง? วางลงแล้วอย่างไร? ไม่ยอมวางลงแล้วอย่างไร?”
ชุยตงซานส่ายหน้า “อย่าได้คิดมาเล่นปริศนาคำทายกับข้า ไม่ว่าจะเป็นความรู้ของสำนักที่มีชื่อเสียงแห่งใด หรือจะเป็นญาณวิทยาของลัทธิพุทธ ข้าก็ล้วนศึกษาอย่างลึกซึ้ง”
ภิกษุพนมสองมือ แหงนหน้ามองม่านฟ้า จากนั้นถอนสายตากลับมา สายตามองตรงไปยังฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลเบื้องหน้า มือขวาวางทับหัวเข่าขวา ปลายนิ้วมือสัมผัสพื้นเบาๆ
แล้วก็ยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมา นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ประกับกัน นิ้วที่เหลือกางออกอย่างเป็นธรรมชาติ ดุจดอกบัวเบ่งบาน
ชุยตงซานถอนหายใจ ประนมสิบนิ้ว พยักหน้ารับคำ ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
สีหน้าของภิกษุสงบนิ่ง ยกมือข้างที่วางทับหัวเข่านิ้วสัมผัสพื้นขึ้นมา แบฝ่ามือออก หันฝ่ามือไปด้านนอก นิ้วมืองอลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พบเจอห้วงมหรรณพแห่งทุกข์ของโลกมนุษย์อีกครั้ง ดอกบัวเบ่งบานอีกดอก”
ชุยตงซานกระโดดจากหัวกำแพงทางทิศใต้ลงมาเดินบนทางเดินม้าที่กว้างขวางอย่างถึงที่สุดเส้นนั้น กระทั่งมาถึงหัวกำแพงทางทิศเหนือก็ก้าวเท้าออกไป เรือนกายดิ่งลงเบื้องล่างในแนวเส้นตรง ฐานกำแพงเกิดฝุ่นตลบปลิวคลุ้ง แล้วชุดสีขาวที่สะอาดเอี่ยมไม่ติดฝุ่นสักเม็ดก็เดินออกมาจากทรายเหลืองที่คละคลุ้ง ครั้นจึงวิ่งตะบึงไปตลอดทาง บางครั้งก็กระโดดโลดเต้น บางครั้งก็ว่ายน้ำอยู่กลางอากาศ ดังนั้นที่บอกว่าสมองของชุยตงซานมีปัญหา ก็ถือว่าจูเหมยมีเหตุผลอย่างเต็มเปี่ยม ไม่มีใครนั่งเรือยันต์แล้วยังพายเรือ แล้วก็ไม่มีใครที่เดินในตรอกของนครกับแม่นางน้อยคนหนึ่ง พอไปถึงที่เงียบๆ ไร้ผู้คนแล้วจะแบกไม้เท้าเดินป่าที่เบาหวิวท่อนหนึ่งขึ้นมาบนบ่า แล้วแสร้งทำเป็นเดินโซเซราวกับว่ามันหนักมาก
ชุยตงซานไม่ได้ตรงไปที่จวนหนิง แต่แอบปีนกำแพงจวนหรูหราหลังหนึ่งเข้าไปอย่างลับๆ ล่อๆ
เจอกับเซียนกระบี่คนหนึ่งนั่งถือจอกเหล้าดื่มสุราอยู่ในระเบียง ชุยตงซานนั่งยองอยู่บนรั้วระเบียง ตาจ้องจอกเหล้าใบนั้นไม่กะพริบ
เซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียนยิ้มกล่าว “ใต้เท้าราชครู เรื่องอื่นๆ ล้วนพูดกันง่าย ทว่าของชิ้นนี้มอบให้ท่านไม่ได้จริงๆ”
ชุยตงซานบ่นอย่างไม่พอใจ “เซียนกระบี่ช่างขี้เหนียวนัก”
ซุนจวี้เฉวียนยิ้มจืดเจื่อน “ยากที่จะเชื่อได้จริงๆ ว่าราชครูคือราชครู”
ชุยตงซานกระตุกมุมปาก “คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็รู้สึกว่าเจ้าเป็นสายลับเหมือนกันไม่ใช่หรือ? ทว่าแท้จริงแล้วกลับเป็นแค่นักพนันที่ทั้งช่วยเจ้ามือหาเงินแล้วก็แจกจ่ายเงิน?”
ซุนจวี้เฉวียนกล่าวอย่างสนเท่ห์ “ทำเรื่องราวต่างๆ เลียนแบบอาเหลียง อันที่จริงก็มีหลายคนที่อยากเป็นอย่างเขา เพียงแต่ว่าไม่มีใครทำได้ดีก็เท่านั้น ความรู้สึกที่รู้อะไรควรไม่ควรเช่นนั้นของนักเล่านิทาน สรุปแล้วว่ามาจากไหนกันแน่ มีคนมากน้อยแค่ไหนที่สุดท้ายแล้วกลายเป็นแค่เรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้า เพราะถึงอย่างไรก่อนที่จะทำทุกอย่างเฉกเช่นอาเหลียงได้ ก็ต้องมีเงื่อนไขใหญ่ข้อหนึ่ง นั่นคือมีเวทกระบี่ปณิธานกระบี่ได้อย่างเขา คนนอกจะเลียนแบบได้อย่างไร? ร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ อาเหลียงที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลกลายมาเป็นอาเหลียงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างไร เชื่อว่าท่านและข้าต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ”
ชุยตงซานกล่าว “ข้ามีศิษย์น้องอยู่คนหนึ่งชื่อว่าเหมาเสี่ยวตง ด้านการศึกษาหาความรู้นั้นไม่ได้ความ แต่กลับสอนคนได้ดียิ่งนัก อาจารย์ของข้าไม่ว่าเรื่องอะไรก็เรียนรู้ได้เร็ว เรียนรู้ได้ดี ทุกจุดที่สายตามองเห็นล้วนเป็นวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินที่นำมาใช้ฝึกตนได้”
ซุนจวี้เฉวียนโบกมือ “อย่าพูดจาแบบนี้เลย ข้าปรับตัวไม่ทันจริงๆ ทั้งศิษย์น้องเหมาเสี่ยวตง ทั้งอาจารย์ที่เป็นเถ้าแก่รอง ข้าถึงขั้นไม่กล้าดื่มเหล้าแล้ว”
ชุยตงซานกระดกปลายคางชี้มา เห็นได้ชัดว่ายังไม่ถอดใจ “ไม่อยากดื่มเหล้าแล้วจะเอาจอกเหล้าไว้ทำอะไร มอบให้ข้าเถอะ”
ซุนจวี้เฉวียนมองเด็กหนุ่มที่นั่งยองอยู่บนราวรั้วอย่างไม่รักษาภาพพจน์ก็ให้รู้สึกปวดหัวแปลบ จึงทำหน้าตาขมขื่นเหมือนมะระเลียนแบบเซียนกระบี่ขู่เซี่ย
ชุยตงซานกระโดดลงมา “ทุกคนต่างก็มีแต่ความไม่พอใจที่สูงเสียดฟ้า ทว่าดันทำอะไรเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสคนหนึ่งไม่ได้ จะคลายความกลัดกลุ้มอย่างไร? คาดว่าก็คงมีแค่การดื่มเหล้าแล้ว ดื่มเหล้าเมามายรอความตาย ถึงอย่างไรก็คงดีกว่ามีสติแจ่มชัดแล้วจำต้องตายไปกระมัง”
ซุนจวี้เฉวียนไม่ปิดบังความคิดของตัวเองแม้แต่น้อย “คิดอย่างไร ทำอย่างไร คือคนละเรื่องกัน อาเหลียงเคยพูดหลักการข้อนี้ให้ข้าฟัง คนหนึ่งอธิบายชัดเจนแล้ว อีกคนหนึ่งก็ฟังเข้าหูแล้ว ไม่อย่างนั้นผู้ฝึกกระบี่ที่ถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสฟันตายด้วยกระบี่เดียวในตอนนั้นก็คงไม่ใช่ต่งกวานพู่ที่เป็นที่จับตามองของทุกคน แต่เป็นซุนจวี้เฉวียนที่จะมีหรือไม่มีก็ได้แล้ว”
ชุยตงซานนั่งอยู่ในระเบียง เอนหลังพิงราว “เซียนกระบี่คู่รักเทพเซียนสองคนในจวนหนิงนั้นรบตาย ทว่าต่งกวานพู่แห่งตระกูลต่งกลับถูกคนกันเองออกกระบี่ฆ่าตาย ครั้งแรกที่อาจารย์ของข้ามาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับได้เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนั้น จวนหนิงต้องตกต่ำลงเพราะเหตุนี้ ทว่าตระกูลต่งกลับยังคงรุ่งโรจน์ดังเดิม ไม่มีใครเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว เจ้าคิดว่าคนที่เสียใจที่สุดควรจะเป็นใคร?”
ซุนจวี้เฉวียนตอบ “แน่นอนว่ายังคงเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส”
ชุยตงซานสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “ทุกคนมีเหตุผล เป็นเรื่องที่ยุ่งยากที่สุด”
ซุนจวี้เฉวียนยิ้มกล่าว “ใต้เท้าราชครูมาเยือนถึงบ้านวันนี้ คงไม่ได้มาพูดเรื่องพวกนี้กับข้ากระมัง? ระหว่างท่านและข้าก็เป็นแค่การค้าที่ราคายุติธรรมเท่านั้น เรื่องบางอย่างยืดเยื้อมานานหลายปี ต่อให้เจ้าเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ก็ยังไม่มีอารมณ์จะแยกแยะมันให้ชัดเจนแล้ว คำตอบก็หนีไม่พ้นคำว่า ‘แล้วยังจะทำอย่างไรได้อีก ก็เอาแบบนี้แหละ’ แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องการออกจากเมืองไปสังหารปีศาจได้กลายเป็นความเคยชินไปแล้ว เรื่องอย่างการเข่นฆ่า ทำมานานเข้าก็จะกลายเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินไปเอง หากเอามาพูดกับข้าซุนจวี้เซียน อย่างข้าก็คงถือว่าเป็นคนกลัวตายคนหนึ่งกระมัง? แต่หากต้องขึ้นหัวกำแพง แล้วไปเยือนทางทิศใต้จริงๆ ก็สามารถฆ่าได้อย่างฮึกเหิมนักล่ะ”
ชุยตงซานกล่าว “ในอดีตมักจะมีศึกทุกๆ ร้อยกว่าปี ไม่พูดถึงการเข่นฆ่าครั้งใหญ่อันโหดเหี้ยมที่คนสิบสามคนประชันลำดับกัน เวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบปี ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มาโจมตีเมืองแล้วถึงสองครั้ง เพียงแต่รูปแบบการสู้รบไม่ถือว่าใหญ่นัก นี่ก็หนีไม่พ้นคิดจะใช้ศึกหล่อเลี้ยงศึก อุ่นเครื่องให้กับกองกำลังของแต่ละฝ่าย ฝึกการต่อสู้ฝึกกำลังทหารครั้งใหญ่ เจ้ากลัวหรือไม่? หากรวบรวมกำลังการต่อสู้ครึ่งหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หรืออาจจะเป็นทั้งหมดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเข้าด้วยกันจริงๆ กำแพงเมืองปราณกระบี่มีคนเพียงเท่านี้ มีกระบี่บินน้อยนิดแค่นี้ กลัวหรือไม่?”
ซุนจวี้เฉวียนกล่าว “นี่ก็คือเหตุผลที่ทำไมพวกเราถึงพร่ำบ่นไม่หยุด แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ลงมือทำอะไรมากนัก ถึงอย่างไรก็มีเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสคอยเฝ้าอยู่บนหัวกำแพงเมือง”
ชุยตงซานถาม “หากอย่างนั้นหากผู้ครองใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่หายตัวไปนานหมื่นปีคนนั้นกลับคืนมาสู่โลกอีกครั้งเล่า? มีคนที่สามารถจับคู่เข่นฆ่ากับเฉินชิงตู งัดข้อกันตัวต่อตัวแล้ว เซียนกระบี่อย่างพวกเจ้าจะทำอย่างไร? ยังมีความกล้าพอที่จะลงไปจากหัวกำแพงเมืองไหม?”
ซุนจวี้เฉวียนเงียบงัน
ชุยตงซานยื่นมือออกมา ยิ้มกล่าวว่า “มาเดิมพันกันไหม? หากข้าปากอีกา เรื่องเป็นไปตามที่ข้าบอกจริงๆ จอกเหล้าใบนี้ก็ต้องเป็นของข้า ถึงอย่างไรเจ้าเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่แน่ว่าอาจต้องอาศัยควันธูปน้อยนิดนี้มาขอร้อง หากเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้น ในอนาคตข้าก็จะคืนให้เจ้าเอง เซียนกระบี่มีอายุขัยยืนยาว ไม่กลัวที่ต้องรอเสียหน่อย”
ซุนจวี้เฉวียนโยนจอกเหล้าใบนั้นไปให้ชุยตงซาน “ไม่ว่าแพ้หรือชนะก็จะมอบให้ท่าน อาเหลียงเคยบอกว่านักพนันของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่มีใครที่สามารถเอาชนะได้ ยิ่งเป็นเซียนกระบี่ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ แทนที่ต้องแพ้ให้กับพวกเดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลุ่มนั้น ก็ไม่สู้มอบให้กับใต้หล้าไพศาลที่อยู่เบื้องหลังดีกว่า ถือเสียว่าเลือกในข้อที่จะเกิดประโยชน์มากที่สุด แม้จะชวนให้คนโมโหเหมือนกัน แต่ทำให้ตัวเองโมโหน้อยหน่อยก็ถือว่าได้กำไรแล้ว”
ชุยตงซานยิ้มรับจอกเหล้าใบนั้นมา “แต่ว่า?”
ซุนจวี้เฉวียนพยักหน้ารับ ลุกขึ้นยืน “ยังมีคำว่า ‘แต่ว่า’ อยู่จริงๆ นั่นแหละ ‘คิดจะข้ามผ่านหัวกำแพงเมืองมา ข้าตอบตกลงแล้วหรือยัง?’”
ชุยตงซานพยักหน้า “ข้าเกือบจะอดไม่ไหวคืนจอกเหล้าให้เจ้าแล้วโขกหัวไหว้ฟ้าดิน ตัดหัวไก่เผากระดาษเหลือง สาบานเป็นพี่น้องกับเจ้าเสียแล้ว”
ซุนจวี้เฉวียนยิ้มกล่าว “ราชครูพูดจาแบบนี้ช่างทำลายบรรยากาศเสียจริง มาดองอาจแห่งวีรบุรุษที่ยากนักกว่าจะเปิดเผยออกมาได้ของข้านี้ เกือบจะรั้งไว้ไม่อยู่เสียแล้ว”
ชุยตงซานกล่าว “เซียนกระบี่ซุน หากเจ้ายังทำตัวเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาแบบนี้ ข้าคงต้องเอาขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วมาใช้รับมือกับเจ้าแล้วนะ!”
ซุนจวี้เฉวียนพลันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าไม่ใช่ซิ่วหู่ผู้นั้น ไม่ใช่ราชครู”
ชุยตงซานกล่าวอย่างอึดอัด “ข้าคือตงซานไงล่ะ”
ซุนจวี้เฉวียนกระตุกมุมปาก สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเปิดปากพูดโต้อีกฝ่าย “ถ้าอย่างนั้นข้าก็คือซีเหอน่ะสิ” (ตงซานคือภูเขาบูรพา ซีเหอคือแม่น้ำประจิม)
คนชุดขาวผู้นั้นปีนกำแพงจากไป ตอนที่ฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพงเตรียมจะข้ามไปอีกฝั่งก็ยังบ่นพึมพำไม่หยุดว่า “บังอาจ บังอาจเกินไปแล้ว เซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ดีแต่รังแกคนอื่น พูดจาโหดร้ายทำร้ายจิตใจคนฟัง…”
……
ช่วงนี้หลินจวินปี้ไม่ได้ไปฝึกกระบี่ที่หัวกำแพง เพียงแค่เล่นหมากล้อมอยู่กับตัวเอง
เหล่าลูกรักของสวรรค์แห่งราชวงศ์เส้าหยวนซึ่งรวมถึงเหยียนลวี่เป็นหนึ่งในนั้น ทุกครั้งที่กลับมาพักผ่อนที่จวนซุน ต่างก็ไม่กล้ามารบกวนการซ่อมแซมจิตใจของหลินจวินปี้
มีเพียงเหยียนลวี่ที่เคยไปหาหลินจวินปี้ที่มีสีหน้าเซื่องซึมมาหนึ่งครั้ง เพียงแต่พอพบหน้าเหยียนลวี่ หลินจวินปี้กลับเหมือนจะมีความกระตือรือร้นจริงใจเพิ่มขึ้นมากกว่าในอดีต เขาหยุดเล่นหมากล้อม แล้วยังคุยเล่นอยู่กับเหยียนลวี่เป็นนาน
เหยียนลวี่ตัดสินใจแล้วว่า ตนสามารถเป็นเพื่อนกับหลินจวินปี้ได้จริงๆ ไม่ใช่แค่คบหาตามคำสั่งอย่างลับๆ จากทางตระกูลเท่านั้น ดังนั้นตลอดทางมานี้เหยียนลวี่จึงมีความยอกแสลงใจอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่ว่าเขาเก็บซ่อนอารมณ์ได้อย่างลึกล้ำเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรในสายตาของเหยียนลวี่ เมื่อก่อนนี้หลินจวินปี้ก็คืออุปสรรคอย่างหนึ่งที่เขาไม่อาจข้ามผ่านไปได้ ต้องรอให้ขอบเขตของตนสูงก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอให้วันใดวันหนึ่งได้รับผิดชอบกิจธุระส่วนหนึ่งของตระกูลเหยียนได้อย่างแท้จริง หลินจวินปี้ที่เป็นดั่งดวงตะวันกลางนภาของราชวงศ์เส้าหยวนก็จะกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขัดขวางการปีนป่ายสู่ที่สูงของตน เพียงแต่ตอนนี้เหยียนลวี่เปลี่ยนมุมมองในการใคร่ครวญถึงปัญหาแล้ว ไม่สู้ยอมรับชะตากรรมสักหน่อย ช่วยประคับประคองหลินจวินปี้อย่างจริงใจ เชื่อว่าด้วยสายตาของหลินจวินปี้ ต้องรู้แน่ว่าตนคือคนที่คู่ควรให้รับหน้าที่เป็นแขนซ้ายแขนขวาของเขา
เหยียนลวี่หวังว่าจะได้เป็นพันธมิตรกับหลินจวินปี้ เพราะการดำรงอยู่ของหลินจวินปี้ทำให้เหยียนลวี่สูญเสียผลประโยชน์แอบแฝงบางอย่างไป ถ้าอย่างนั้นก็ทวงมันกลับคืนมาจากตัวเขา ไม่แน่ว่าอาจจะได้กำไรมากกว่าเดิม
เมื่อตนไม่มีปมในใจแล้ว เหยียนลวี่ก็เปิดเผยจริงใจกว่าเดิมมาก คำพูดที่เอ่ยกับหลินจวินปี้จึงไม่มีความกริ่งเกรงอีก
หลินจวินปี้ที่หากไม่พูดถึงว่าจิตแห่งเต๋าได้รับความเสียหายมากน้อยแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ ‘สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ’ อีกแล้ว กลับกลายเป็นว่าทำให้เหยียนลวี่สบายใจได้มากขึ้น
หลินจวินปี้มองนิสัยของเหยียนลวี่ออกอย่างทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจของเหยียนลวี่เท่าใดนัก ร่วมมือกับเหยียนลวี่จึงไม่มีปัญหาใดๆ
ในอนาคตของราชวงศ์เส้าหยวน เหยียนลวี่จะไม่ใช่คนที่ไร้บทบาทสำคัญ
วันนี้ศิษย์พี่เปียนจิ้งโผล่หน้ามาอย่างที่หาได้ยาก เขามาเล่นหมากล้อมกับหลินจวินปี้หนึ่งตา
เปียนจิ้งยิ้มกล่าว “ยังสะอิดสะเอียนกับพวกคนอย่างเหยียนลวี่ไม่พอหรือ?”
หลินจวินปี้ส่ายหน้า “ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ ใจคนมีส่วนให้นำมาใช้ประโยชน์”
เปียนจิ้งก็ส่ายหน้าด้วยเช่นกัน เขาคีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมาถือค้างไว้ มองสถานการณ์บนกระดานหมาก “ข้ากลับรู้สึกอยากอาเจียน คำพูดมากมาย หากคิดว่าตัวเองมีเหตุผลจริงๆ อันที่จริงก็ไม่ได้เลวร้าย เพียงแต่ว่าจุดยืนไม่เหมือนกัน ความรู้ตื้นลึกต่างกัน ถึงได้เอ่ยถ้อยคำที่ไม่เหมือนกัน ถึงอย่างไรเหตุผลก็ยังถือว่าเป็นเหตุผล ส่วนมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผล กลับกลายเป็นเรื่องรอง ยกตัวอย่างเช่นเจี่ยงกวนเฉิง หรือคนที่ไม่คิดจะพูดอะไรเลยอย่างจินเจินเมิ่งก็ไม่เลวเหมือนกัน ส่วนคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ล้วนพูดจาส่งเดชไปเรื่อย แบบนี้ไม่ค่อยดีกระมัง? ตอนนี้ชื่อเสียงของพวกเราในกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นอย่างไร ในใจคนพวกนี้จะไม่รู้เลยหรือ? คนที่ถูกทำลายชื่อเสียงคือพวกเขาหรือ? ใครจะจำได้ว่าพวกเขาเป็นใคร สุดท้ายก็ยังไม่ใช่เจ้าหลินจวินปี้หรอกหรือที่เดินทางมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วเต็มไปด้วยอุปสรรคขัดขวาง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนไม่ราบรื่น? ทำให้แผนใหญ่ของอาจารย์ราชครูพัง เรื่องแล้วเรื่องเล่า”
“ทางฝั่งของอาจารย์ กลับไปถึงบ้านเกิดเมื่อไหร่ ข้าจะไปขอรับโทษด้วยตัวเอง”
หลินจวินปี้รอคอยให้เปียนจิ้งวางหมากลงพลางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กอดกันเพื่อหาความอบอุ่นคือสันดานของมนุษย์ ท่ามกลางกลุ่มคน ผู้ที่คุณธรรมสูงส่ง มักต้องเดียวดายอยู่เสมอ”
เป้าหมายที่ราชวงศ์เส้าหยวนปิดบังไว้ หนึ่งในนั้นก็มีเรื่องของอวี้เจวี้ยนฟู
อันที่จริงหลินจวินปี้ไม่เข้าใจเรื่องนี้ ยิ่งรู้สึกว่าไม่เหมาะสม เพราะถึงอย่างไรว่าที่สามีของอวี้เจวี้ยนฟูก็คือไหวเฉียนผู้นั้น ต่อให้ตนจะหยิ่งทระนงแค่ไหนก็ยังรู้ดีว่า ตอนนี้ยังไม่อาจทัดเทียมกับไหวเฉียนผู้นั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นตบะ ชาติกำเนิด สติปัญญา การได้รับความโปรดปรานจากผู้อาวุโส หรือโชควาสนาตระกูลเซียน ล้วนไม่อาจสู้ได้ แต่อาจารย์ไม่ได้อธิบายเหตุผลให้ฟังมากนัก หลินจวินปี้จึงได้แต่เดินก้าวหนึ่งดูไปก้าวหนึ่ง อาจารย์แค่พูดประโยคสำคัญสองประโยค ‘อวี้เจวี้ยนฟูที่โจวเสินจือรักและเอ็นดู เมื่อหวนกลับคืนสู่สถานะของคนตระกูลอวี้ ก็เท่ากับว่านางได้กลายมาเป็นกองกำลังแคว้นของราชวงศ์เส้าหยวนครึ่งหนึ่งแล้ว’
‘ขนาดสิงโตหินหน้าประตูจวนใหญ่ยังไม่สะอาด ตำหนักจินหลวนในสายตาชาวบ้านจะมีอิฐสักก้อนที่สะอาดได้หรือ?’
ส่วนเรื่องของการฝึกตน ราชครูไม่ได้เป็นห่วงหลินจวินปี้ เขาแค่โยนคำถามชุดหนึ่งมาทดสอบลูกศิษย์ที่เป็นผู้ภาคภูมิใจคนนี้ ‘มองกษัตริย์จักรพรรดิเป็นอริยะปราชญ์ผู้คุณธรรม เรื่องนี้จะเป็นอย่างไร การชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียของผู้ครองแคว้นควรคิดคำนวณอย่างไร แม่ทัพอัครเสนาบดีควรมองความผาสุกของอาณาประชาราษฎร์อย่างไรถึงจะถือว่าไร้ความละอาย’
เปียนจิ้งเอ่ย “ดูจากท่าทางแล้ว ปัญหาของเจ้าคงไม่ใหญ่นัก?”
หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “หากขนาดศิษย์พี่ยังมองออกว่าเป็นปัญหาใหญ่ หลินจวินปี้จะยังมีทางเยียวยาอีกหรือ?”
เปียนจิ้งวางหมากลงแล้วเอ่ยว่า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงได้แพ้มาตลอดทาง?”
หลินจวินปี้พยักหน้ารับ “รู้”
เปียนจิ้งเองก็ผงกศีรษะ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่พูดอะไรให้มากความแล้ว”
เพียงแต่หลินจวินปี้กล้าแน่ใจเลยว่าคำตอบในใจของศิษย์พี่เปียนจิ้งกับความเข้าใจของตน ต้องไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน
เปียนจิ้งกับหลินจวินปี้เล่นหมากล้อมด้วยกันต่อไป
ต่างคนต่างคิดกันไปคนละอย่าง
……
บนลานประลองยุทธของจวนหนิง ศิษย์พี่หญิงใหญ่กับศิษย์น้องหญิงเล็กกำลังประลองบุ๋นกัน
การประลองบุ๋นนั้นมีอารยธรรมและความสุภาพอย่างมาก
นั่นก็คือเผยเฉียนร่ายวิชากระบี่มารคลั่งของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวไป ส่วนผู้ฝึกกระบี่กวอจู๋จิ่วก็ฝึกวิชาหมัด ต่างคนต่างร่ายวิชาของตัวเอง ไม่ตีกัน
เฉินผิงอันออกมาจากเรือน คิดว่าจะรอให้ชุยตงซานกลับมา
กระทั่งเฉินผิงอันขยับเข้ามาใกล้ลานประลองยุทธ แม่นางน้อยทั้งสองก็หยุดหมัดและกระบี่ทันที
เผยเฉียนเอ่ยชื่นชมว่า “ศิษย์น้องหญิงเล็ก ในหมัดของเจ้าแฝงไว้ด้วยเวทกระบี่ ช่างเป็นวิชากระบี่ที่สง่างามนัก ไม่เสียแรงที่มานะขันแข็ง ฝึกเวทกระบี่อย่างยากลำบากมาหลายปีขนาดนี้”
กวอจู๋จิ่วก็เอ่ยชมเชยว่า “เวทกระบี่ของศิษย์พี่หญิงใหญ่แฝงวิชาหมัด วิชาหมัดไร้เทียมทาน ไม่เสียแรงที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ติดตามอยู่ข้างกายอาจารย์มานานที่สุด!”
เผยเฉียนพยักหน้า “ศิษย์น้องหญิงเล็กร้ายกาจนัก หากอิงตามความเร็วเช่นนี้ฝึกหมัดไม่หยุด หนึ่งหมัดต้องสามารถต่อยให้ก้อนอิฐแตกได้หลายก้อนอย่างแน่นอน”
กวอจู๋จิ่วเอ่ยคล้อยตาม “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ช่างยอดเยี่ยม ฝึกกระบี่เช่นนี้ไปอีกไม่กี่ปี ยามเดินท่องขุนเขาสายน้ำแล้วฆ่าฟันไปตลอดทาง ต้นหญ้าต้องสิ้นราบพนาสูรอย่างแน่นอน”
คนที่มาจากสำนักเดียวกันก็มักจะสนิทสนมปรองดองกันจริงๆ เสียด้วย
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่เห็นและไม่ได้ยิน เดินผ่านลานประลองยุทธไปที่ประตูใหญ่ของจวนหนิง
รอกระทั่งเฉินผิงอันเดินผ่านไปแล้ว
เผยเฉียนก็ชูไม้เท้าเดินป่าในมือขึ้นสูง
ส่วนกวอจู๋จิ่วก็แกว่งพวงสมบัติบนข้อมือของตน
เผยเฉียนหัวเราะร่า “ข้ายังมีหีบไม้ไผ่ใบเล็กอีกนะ”
จากนั้นเผยเฉียนก็แสร้งทำเป็นหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ข้าไม่ได้พูดเหลวไหลนะ เจ้าเองก็เคยเห็นมาแล้วนี่”
กวอจู๋จิ่วหัวเราะคิก “ข้าไม่มีหีบไม้ไผ่ใบเล็กหรอก!”
นางเองก็เลียนแบบเผยเฉียนด้วยการหยุดชะงักไปครู่ ก่อนจะเอ่ยเสริมว่า “เจ้ามีอย่างที่ข้า ‘ไม่มี’ ไหม? ไม่มีล่ะสิ ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยากมีหรือไม่ล่ะ?”
เผยเฉียนรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง
รู้สึกว่าแม่นางน้อยคนนี้ออกจะโง่เขลาไปสักหน่อย
ส่วนกวอจู๋จิ่วนั้นรู้สึกว่าแม่นางน้อยคนนี้ดูเซ่อซ่าดี
เฉินผิงอันที่เดินห่างไปไกลแล้วแอบหันกลับมามอง แล้วเขาก็หัวเราะ หากเป็นไปได้ล่ะก็ วันหน้าภูเขาลั่วพั่วน่าจะครึกครื้นอย่างมาก
ดังนั้นพอไปรอชุยตงซานอยู่ที่หน้าประตูจนชุยตงซานกลับมา เฉินผิงอันจึงยื่นมือมากุมข้อมือของเขาไว้แล้วลากเด็กหนุ่มชุดขาวเข้าประตูใหญ่ไป เดินพลางพูดไปด้วยว่า “วันหน้าไปเยือนป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัวเป็นเพื่อนอาจารย์ ไม่พูดรึ? ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็จะถือว่าเจ้าตอบตกลงแล้ว พูดคำไหนคำนั้นนะ หุบปาก เอาตามนี้ล่ะ ดีมาก”