กระบี่ที่หอกระบี่หลอมออกมาไม่เคยเป็นกระบี่ที่ดี ก็แค่กระบี่ยาวที่ไม่ถือว่าเป็นสมบัติอาคมด้วยซ้ำ เซียนกระบี่อยากได้หรือไม่ก็ตามใจ เพราะขอแค่เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มาเยือนนครก็จะได้รับไปเล่มหนึ่ง เช่นเดียวกันคืออยากรับก็รับ ไม่อยากรับก็ช่าง ลูกหลานตระกูลใหญ่และตระกูลชนชั้นสูงทั้งหลาย อาศัยการสืบทอดจากตระกูลก็ดี หรือทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากใต้หล้าไพศาลก็ช่าง ขอแค่สามารถได้กระบี่เล่มหนึ่งมาอยู่ในมือ นั่นก็ถือว่าเป็นความสามารถแล้ว
ในความเป็นจริงแล้วเซียนกระบี่หลายคนกลับกลายเป็นว่าชอบพกกระบี่ที่หอกระบี่หลอมไปใช้สังหารปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนมากกว่า
ส่วนเสื้อผ้าที่หอภูษาถักทอขึ้น ระดับขั้นก็ไม่สูงเหมือนกัน
มองไปแล้วเหมือนของเด็กเล่น
แต่ก็เห็นได้ชัดว่าสองสถานที่นี้คือสถานที่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มิอาจขาดได้มากที่สุด
บนแผ่นดินของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยมีเซียนกระบี่ที่ร่วงลงมาจากฟ้า ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เดินจากขอบเขตหนึ่งขึ้นสู่อีกขอบเขตหนึ่งเสมอ ต่างกันก็แค่ว่าช้าหรือเร็ว ทว่าขอบเขตกลับดำรงอยู่เสมอ
ประโยชน์ในการใช้งานของหอโอสถก็ยิ่งเรียบง่ายกว่ามาก นั่นคือนำของเชลยศึกทั้งหลายและศพของเผ่าปีศาจที่ตายอยู่บนหัวกำแพงและสนามรบทางทิศใต้มาเลาะเนื้อดึงเส้นเอ็น นำทุกอย่างมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่เพียงเท่านี้ หอโอสถยังเป็นถิ่นที่คนดีและคนเลวของสามลัทธิเก้าสาขาปะปนกันมากที่สุด ผู้ฝึกตนพรรคหลอมโอสถและพรรคมหายันต์ที่อยู่ที่นั่นมีจำนวนมากที่สุด บางคนเป็นฝ่ายมาลงนามทำสัญญาด้วยตัวเอง บ้างก็ร้อยปี บ้างก็หลายร้อยปี ได้เงินมาพอแล้วค่อยจากไป บางคนก็เป็นคนต่างถิ่นที่ถูกลักพาตัวมา หรือไม่ก็เป็นยอดฝีมือนอกโลก สุนัขไร้บ้านของใต้หล้าไพศาลที่ตระกูลหรือสำนักล่มจมจึงต้องมาหลบภัยอยู่ที่นี่
และกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็อาศัยหอโอสถแห่งนี้มาทำการค้าน้อยใหญ่กับเรือข้ามทวีปมากมายของใต้หล้าไพศาลที่จอดอยู่นอกท่าเรือของภูเขาห้อยหัว
อีกทั้งหอโอสถยังมีความสัมพันธ์อันแนบชิดกับคุกที่เฒ่าหูหนวกเป็นผู้ดูแล เพราะถึงอย่างไรเศษชิ้นส่วนที่ดึงเอามาจากเลือดสด กระดูกและโอสถปีศาจของเผ่าปีศาจก็ถือเป็นสมบัติล้ำค่าบนภูเขาทั้งสิ้น
สถานที่ต้องห้ามสามแห่งที่มีกฎเกณฑ์เข้มงวด และการระวังภัยก็ยิ่งน่าตะลึงเหล่านี้ ไม่ว่าใครเข้าไปล้วนง่าย แต่คิดจะออกมากลับยากยิ่ง แม้แต่เซียนกระบี่ก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น
ท่ามกลางเส้นอักษรขนาดใหญ่ยักษ์ของตัวอักษรใหญ่ที่แกะสลักลงไปบนหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้ จะมีผู้ฝึกกระบี่ประเภทหนึ่งที่ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ ไม่ว่าตบะจะสูงหรือต่ำ ก็ล้วนอยู่ห่างไกลจากความถูกความผิดในนครเสมอ บางครั้งที่ไปหัวกำแพงเมืองและทางทิศเหนือก็มักจะไปกลับอย่างเงียบเชียบ
พวกเขารับผิดชอบไป ‘เก็บเงิน’ ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
คล้ายคลึงกับทหารลาดตระเวนชายแดนของราชวงศ์มนุษย์ในใต้หล้าไพศาล
ดังนั้นต่อให้ขอบเขตจะต่ำแค่ไหนก็ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร ทุกครั้งที่เดินทางไปยังทิศใต้มักจะมีเซียนกระบี่นำขบวนไปเสมอ
ในอดีตเฉินซานชิวลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงอันดับหนึ่งกับเสี่ยวชวีชวีเพื่อนรักที่กระเสือกกระสนมาจากกลุ่มชาวบ้านยากจน ผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มสองคนที่ชาติกำเนิดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดในช่วงเวลานั้นก็คือสามารถไปเก็บเงินที่ทางทิศใต้
และผู้ฝึกกระบี่ที่เก็บเงินได้บ่อยครั้งที่สุด ไปได้ไกลที่สุดก็มักจะชอบเรียกตัวเองว่ามือกระบี่ ชอบบอกว่าการที่ตัวเองพเนจรไปเรื่อยแบบนี้หาใช่เพื่อดึงดูดสายตาของเหล่าสตรีไม่ เพียงแค่เขาชอบท่องยุทธภพก็เท่านั้น
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่อยู่ทางทิศใต้ก็คือยุทธภพใหญ่แห่งหนึ่ง เขาสามารถพบเจอกับเรื่องน่าสนใจได้มากมาย
เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่พูดถ้อยคำฮึกเหิมชวนให้จิตใจของเด็กรุ่นหลังทั้งหลายสั่นไหวเหล่านี้จบ วันนั้นคนผู้นั้นก็จะวิ่งตุปัดตุเป๋ไปดื่มเหล้าในนคร ที่ไหนมีสายตาสตรีมากก็จะไปที่นั่น
หลังจากกลับมาด้วยกลิ่นเหล้าคละคลุ้งเต็มตัว ก็จะยิ้มตาหยีพูดกับตะพาบน้อยบางคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้าว่า พวกเจ้าใครๆๆ เกือบจะได้เรียกข้าว่าพ่อหรือไม่ก็ท่านบรรพบุรุษแล้ว ก็โชคดีที่ข้าวางตัวดี ทั่วร่างมีแต่ปราณของความเที่ยงธรรมซื่อสัตย์ สาวงามจึงยากจะเข้าใกล้ได้!
หากมีเด็กคนไหนเถียงกลับ เขาที่ไม่เคยเสียเปรียบใครก็จะพูดว่าใครๆๆ ในบ้านของพวกเจ้า ลำพังพูดถึงแค่ใบหน้า นั่นก็ไม่เกี่ยวข้องกับความงามแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่เป็นไร ในสายตาของข้า สตรีทั้งหลายที่แอบชอบข้าเพราะแววตาดี รูปโฉมของพวกนางจะเหนือกว่าเดิมไปอีกระดับ ไม่ใช่สาวงามก็คือสาวงาม แล้วนับประสาอะไรกับที่เอวบางเป็นกิ่งหลิว ขายาวดั่งไผ่สองลำประกบติดกัน เทือกเขาสลับสล้างตระการตาของใครๆๆ ทั้งหลายนั้น ขอแค่มีใจไปสังเกต ทัศนียภาพนับพันนับหมื่นจะมีที่ใดบ้างที่แย่? ไม่เข้าใจ? มาๆๆ ข้าจะช่วยเปิดโลกให้เจ้าเอง นี่ก็คือวิชาอภินิหารอันเป็นเอกลักษณ์ของใต้หล้าไพศาล ไม่แพร่งพรายสู่ภายนอกง่ายๆ …
เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่หลังจากเอ่ยสัพยอกไปแล้ว ระหว่างทางที่ผู้ฝึกกระบี่แต่ละชุดมุ่งหน้าไปเก็บเงินทางทิศใต้ ส่วนใหญ่มักจะขาดคนฟังไปหนึ่งหรือสองสามคน หรือไม่ก็หายกันไปทั้งกอง ยามที่คนมีชีวิตกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ก็ไม่ได้เห็นใบหน้าเหล่านั้นอีกแล้ว คนที่เคยฟังไม่เข้าใจ หรือตอนนั้นแสร้งทำเป็นว่าไม่เข้าใจ ก็ไม่มีโอกาสพูดว่าตัวเองเข้าใจอีกแล้ว
เวลานั้นคนผู้นั้นจะเงียบขรึม ดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพัง
มีครั้งหนึ่งหลังจากพวกผู้ฝึกกระบี่ทยอยกันกลับมา คนผู้นั้นนั่งรออยู่มุมหนึ่ง แต่สุดท้ายกลุ่มคนที่เขาคุ้นเคยก็ไม่ได้กลับมา สิ่งที่ได้เห็นมีเพียงปีศาจใหญ่ตนหนึ่งถือทวนยาวไว้ในมือ มันยกทวนขึ้นสูงราวกับถือถังหูลู่
ปีศาจใหญ่ตนนั้นหยุดเดินอยู่ตรงจุดที่ห่างจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปไกลมาก มันบอกชื่อแซ่ ยิ้มกล่าวประโยคหนึ่ง จากนั้นก็ขว้างทวนนั้นปักลงไปตรงจุดหนึ่งของกำแพงเมืองฝั่งทิศใต้
คนผู้นั้นรับทวนยาวไว้ได้ เขายื่นส่งมันให้คนด้านหลังเบาๆ จากนั้นก็ทะยานไปไกลพันลี้หมื่นลี้ หนึ่งคนพกกระบี่มุ่งหน้าไปยังใจกลางใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ออกกระบี่ใส่ภูเขาทัวเยว่ ออกกระบี่ใส่แม่น้ำเย่ลั่ว จุดใดที่มีปีศาจใหญ่ เขาล้วนออกกระบี่ใส่ทุกที่
……
ใบหน้ามะระขมขื่นที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดของเซียนกระบี่ขู่เซี่ย ในที่สุดก็พอจะมีรอยยิ้มได้บ้างแล้ว
หลินจวินปี้คว้าจับปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ที่เซียนกระบี่บรรพกาลทิ้งไว้ได้สองกลุ่ม ระดับขั้นสูงมาก มีครบทั้งโชคชะตา วาสานาและวิธีการ อะไรที่ควรเป็นของเขา ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องเป็นของเขา เพียงแต่ว่าเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน กลับไม่ใช่ได้แค่หนึ่งเสี้ยว แต่ได้ถึงสองเสี้ยว นี่ยังคงอยู่เหนือการคาดการณ์ของเซียนกระบี่ขู่เซี่ยอยู่ดี
วาสนาที่ลี้ลับอัศจรรย์อย่างถึงที่สุดประเภทนี้ อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ใช่ว่ามีขอบเขตสูง เป็นเซียนกระบี่แล้วจะสามารถบังคับช่วงชิงมาได้ เพราะหากไม่ระวังก็จะชักนำให้ปณิธานกระบี่จำนวนมากกระโจนเข้าใส่อย่างอำมหิต ในประวัติศาสตร์ใช่ว่าจะไม่มีเซียนกระบี่ต่างถิ่นโลภมากตกอยู่ในวงล้อมสังหารของปณิธานกระบี่อย่างน่าสงสาร ระดับความอันตรายนั้นไม่เป็นรองการที่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิตที่ไม่รู้จักกลัวตายคนหนึ่งไปถึงหัวกำแพงเมืองแล้วเปิดประตูจวนอ้ากว้างอย่างทระนงตนเลย
เหยียนลวี่และจินเจินเมิ่งต่างก็มีผลเก็บเกี่ยวเช่นกัน เหยียนลวี่นั่นอาศัยดวงมากกว่าถึงสามารถรั้งปณิธานกระบี่เยียบเย็นกลุ่มนั้นเอาไว้ได้ เนื่องจากสอดคล้องกับชะตาชีวิตและชิดเชื้อกับมหามรรคาของเขา
ส่วนจินเจินเมิ่งมองดูเหมือนว่าอาศัยขอบเขตผู้ฝึกกระบี่โอสถทองมารั้งปณิธานกระบี่ที่พยศดื้อดึงกลุ่มนั้นไว้ได้ แต่เซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่ขอแค่ไม่เป็นเรื่องเกี่ยวพันกับอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัว พูดถึงแค่เรื่องที่เกี่ยวกับกระบี่ สายตาของเขาก็ยังดีมาก เพราะถึงอย่างไรก็เป็นศิษย์หลานของโจวเสินจือ หากไม่มีความสามารถเสียเลย ป่านนี้ก็คงถูกโจวเสินจือด่าจนจิตแห่งกระบี่แตกสลายไปนานแล้ว ในสายตาของขู่เซี่ย เด็กรุ่นหลังที่เงียบขรึมพูดน้อยอย่างจินเจินเมิ่งนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่มีปณิธานสูงส่งยาวไกล การที่ปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ซึ่งมีไอสังหารเข้มข้นอย่างถึงที่สุดกลุ่มนั้นเลือกจินเจินเมิ่งที่มีนิสัยอ่อนโยน ต้องไม่ใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอน และความเป็นจริงก็ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เพราะจินเจินเมิ่งมีความซื่อสัตย์จริงใจ ถึงได้รับความโปรดปรานจากปณิธานกระบี่เสี้ยวนั้น ความขัดแย้งอันรุนแรงจากการที่ปณิธานกระบี่จากภายนอกชักนำปราณกระบี่ของฟ้าดินขนาดเล็กให้ไป ‘เยี่ยมเยือน’ กันซึ่งเกิดขึ้นในช่องโพรงลมปราณของจินเจินเมิ่งนั้น มองดูคล้ายรายล้อมไปด้วยอันตราย แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นการทดสอบอย่างตื้นเขินอย่างหนึ่ง มากพอที่จะกำจัดจุดด่างพร้อยมากมายในจิตวิญญาณของจินเจินเมิ่งได้ หากผ่านด่านนี้ไปไม่ได้ คิดดูแล้วต่อให้ขอบเขตของจินเจินเมิ่งต้องถดถอยเพราะเรื่องนี้ เขาก็คงได้แต่ยอมรับชะตากรรมเท่านั้น
นอกจากเซียนกระบี่ขู่เซี่ยแล้ว พวกลูกรักแห่งสวรรค์ของราชวงศ์เส้าหยวน ทุกวันนี้ล้วนยังไม่มีใครเป็นเซียนกระบี่
ทว่าต่อให้จะเป็นพวกเขา ในอนาคตหลายๆ คนก็ยังไม่ใช่เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนอยู่ดี เมื่อเทียบกับเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งในนครทางทิศเหนือแล้ว ต่อให้พวกเขาไม่ได้รับวาสนาเฉกเช่นพวกหลินจวินปี้สามคน ทว่าบนเส้นทางของการฝึกตน ก็ยังจะได้สั่งสมผลประโยชน์ไปทีละเล็กทีละน้อย เมื่อไปถึงราชวงศ์เส้าหยวนในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว เดินอยู่ด้านล่างภูเขาก็สามารถตัดสินเป็นตาย ตัดสินความมีเกียรติหรือความอัปยศของตระกูลผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย
นอกจากหลินจวินปี้แล้ว เหยียนลวี่ยังนับว่าดี แม้แต่จินเจินเมิ่งก็ยังได้โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้า นี่ทำให้ผู้ฝึกกระบี่อย่างเจี่ยงกวนเฉิงรู้สึกร้อนใจขึ้นมาแล้ว และคนไม่น้อยก็มีอารมณ์ไม่ต่างจากเจี่ยงกวนเฉิงสักเท่าไร
ต่อให้หลินจวินปี้ได้รับโชควาสนาที่ใหญ่กว่าผืนฟ้า แต่อันที่จริงในใจของพวกผู้ฝึกกระบี่ก็คงไม่อัดอั้นเท่าใดนัก แต่พอเหยียนลวี่ก็ได้ไปด้วย ในใจพวกเขาจึงไม่ใคร่จะสบายสักเท่าไร ตอนนี้แม้แต่คนที่มีแต่ขอบเขต ทว่าไร้สติปัญญาอย่างจินเจินเมิ่งก็ยังได้รับวาสนาไปครอง พวกเจี่ยงกวนเฉิงจึงยิ่งรับไม่ได้
จูเหมยยังคงไม่อนาทรร้อนใจอยู่ดังเดิม
พอมีเวลาว่างนางก็จะไปหาอวี้เจวี้ยนฟูที่นางเรียกอย่างสนิทสนมว่า ‘ไจ้ซี ไจ้ซี’ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่การคุยเล่นกันเท่านั้น อวี้เจวี้ยนฟูแทบไม่ได้พูดอะไร ล้วนเป็นเด็กสาวที่พูดอยู่คนเดียว
นานๆ ทีอวี้เจวี้ยนฟูจะพูดมากหน่อย เพราะเถียงเรื่องศิลาหรือเทียบ มีดหรือพู่กันกับจูเหมย จูเหมยจงใจก่อกวนตอแยนางไม่เลิก เถียงกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็หัวเราะคิกกล่าวยอมแพ้ ที่แท้ก็แค่เพื่อให้อวี้เจวี้ยนฟูพูดมากขึ้น และนี่นางก็ถือว่าตัวเองชนะแล้ว
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยอารมณ์ไม่เลว เขากลับไปถึงจวนซุนก็เป็นฝ่ายไปหาซุนจวี้เฉวียนเพื่อดื่มเหล้าอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก แต่กลับพบว่าเซียนกระบี่ซุนไม่มีจอกเหล้าตระกูลเซียนใบนั้นแล้ว เพียงแค่ถือกาเหล้าดื่มตรงๆ เท่านั้น
ดูเหมือนซุนจวี้เฉวียนจะไม่ยินดีเล่าให้ฟัง เซียนกระบี่ขู่เซี่ยจึงเอ่ยความในใจสองสามประโยคกับเขา
“ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ หลังจากเดินขึ้นเขามาฝึกตน ชั่วชีวิตนี้ก็รู้แต่การฝึกกระบี่ หลายๆ เรื่องข้าล้วนไม่สนใจ เพราะไม่ยินดีจะสน แล้วก็เพราะควบคุมไม่ได้ด้วย”
ซุนจวี้เฉวียนชำเลืองตามองเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่จริงใจผู้นี้แล้วพยักหน้ารับ “ข้าไม่มีความเห็นอะไรต่อเจ้า ต่อให้มี ก็ไม่ใช่ความเห็นที่เลวร้ายอะไร”
ซุนจวี้เฉวียนนั่งอยู่ในระเบียง นั่งชันเข่าข้างหนึ่ง ยื่นมือมาตบเข่าตัวเอง “ผู้ฝึกตน แยกตัวออกจากกลุ่มคน ไปใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังห่างไกลโลกมนุษย์ ฝึกฝนอบรมตนให้ดี ยังจะต้องการอะไรอีก แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “แต่ไม่ว่าสำนักพรรคใหญ่ใดๆ ก็ตาม เพื่อบรรยากาศที่น่าเกรงขามก็ล้วนต้องมีคนเนืองแน่น หากคึกคักมากเกินไป ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เรียบง่ายอย่างการฝึกตนคนเดียวอีกแล้ว นี่ก็คือสาเหตุหลักที่ทำไมข้าถึงไม่อยากเปิดสำนักตั้งพรรค รู้แต่จะฝึกกระบี่ ไม่รู้จักถ่ายทอดวิชา กลัวว่าจะสอนลูกศิษย์ให้ออกมาเป็นคนที่เวทกระบี่ยิ่งสูงยิ่งเดินขึ้นสู่ที่สูง จิตใจคนกลับยิ่งเหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ เดิมทีข้าก็ไม่รู้จักอธิบายหลักการเหตุผลอะไรอยู่แล้ว ถึงเวลานั้นจะไม่ยิ่งยุ่งยากใจหรอกหรือ อย่างอาจารย์ลุงของข้าน่ะดีมาก เวทกระบี่สูงมากพอ ศิษย์ลูกศิษย์หลานทุกคน ไม่ว่านิสัยเป็นอย่างไรก็ล้วนต้องตั้งใจใคร่ครวญถึงความคิดของอาจารย์ลุงข้าแต่โดยดี ไม่จำเป็นต้องให้อาจารย์ลุงถ่ายทอดหลักการเหตุผลอะไรให้เลย”
ซุนจวี้เฉวียนส่ายหน้า เอนหลังพิงผนัง แกว่งส่ายกาเหล้าเบาๆ “ขู่เซี่ยเอ๋ยขู่เซี่ย ขนาดอาจารย์ลุงของตนแข็งแกร่งตรงที่ใดก็ยังไม่รู้ ข้าแนะนำเจ้าว่าชีวิตนี้อย่าได้ก่อสำนักตั้งพรรคเลย เจ้าไม่มีความสามารถนั้นจริงๆ”
อารมณ์ดีๆ ของเซียนกระบี่ขู่เซี่ยถูกคำพูดของซุนจวี้เฉวียนดับเสียสิ้น ใบหน้าจึงเริ่มกลับมาขมขื่นอีกครั้ง
ซุนจวี้เฉวียนมองไปยังทิศไกล เอ่ยเสียงเบาว่า “หากคนบนภูเขาของใต้หล้าไพศาลเป็นเหมือนเจ้าได้ก็ดีน่ะสิ พูดไม่มาก แต่กลับลงมือทำแทน”
ขู่เซี่ยยื่นมือข้างหนึ่งออกมา “ขอเหล้าสักกาสิ ข้าเองก็จะดื่มสักหน่อย”
ซุนจวี้เฉวียนบิดหมุนข้อมือ โยนเหล้าออกมาหนึ่งกา
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยยิ่งหน้าบูด
เพราะเป็นเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กาหนึ่ง
กำแพงเมืองปราณกระบี่คือสถานที่ที่ชอบล้อเล่นกันที่สุด
เพราะแม้แต่ชีวิตตัวเองยังเอามาล้อเล่นได้ แล้วยังจะมีอะไรที่ไม่กล้าอีก?
เพียงแต่ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังคงเป็นกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่มีกฎเกณฑ์บนหน้ากระดาษอันวุ่นวาย ขณะเดียวกันก็มีกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งน่าเหลือเชื่อ และไม่ว่าจะเอาไปไว้ที่ได้ก็ไม่น่าจะเรียกว่ากฎเกณฑ์ได้
ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางเกลียดขี้หน้าเซียนกระบี่คนใด ไม่ว่าจะดื่มเหล้าหรือไม่ดื่มเหล้า ก็ล้วนกล้าด่าหยาบคาย ขอแค่เซียนกระบี่ไม่สนใจ คนอื่นไม่ว่าใครก็ไม่สนทั้งนั้น
แต่ขอแค่ตัวเซียนกระบี่สนใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรับไว้ให้ได้
คนต่างถิ่นที่มากำแพงเมืองปราณกระบี่เพื่อฝึกกระบี่หรือไม่ก็เพื่อชมทัศนียภาพ ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานของใคร ไม่ว่าอยู่ในใต้หล้าไพศาลแล้วจะถือว่าได้กำเนิดในครรภ์ที่ดีแค่ไหน มาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ผู้ฝึกกระบี่ก็ไม่มีทางมองเจ้าสูงขึ้น แล้วก็จะไม่ดูแคลนเจ้าแม้แต่น้อย ทุกอย่างล้วนพูดคุยกันด้วยกระบี่ สามารถมีหน้ามีตาอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ ก็ถือว่ามีความสามารถ แต่หากต้องมาเสียหน้าอยู่ที่นี่ ในใจไม่สบอารมณ์ ไปถึงใต้หล้าไพศาลที่เป็นบ้านตัวเองก็พูดได้ตามสบาย ก็แค่อย่าได้มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกตลอดชีวิตเป็นพอ พวกญาติสนิทมิตรสหาย ทางที่ดีที่สุดก็อย่ามาเข้าใกล้ภูเขาห้อยหัวด้วย