เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยคำพูดเกรงใจอีก
สุดท้ายจ้งชิวเอ่ยว่า “ต่อให้เป็นหลักการเหตุผลที่ดีแค่ไหน ก็มีช่วงเวลาที่ไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าตัวหลักการเหตุผลนั้นมีปัญหา แต่เป็นเพราะมนุษย์มีความยากลำบากและเรื่องไม่คาดฝันมากเกินไป ทั้งๆ ที่ข้าวหนึ่งอย่างเลี้ยงคนได้ร้อยแบบ ถึงท้ายที่สุดจะมีสักกี่คนที่ชอบข้าวชามนั้น แล้วมีสักกี่คนที่เคยนึกถึงว่ารสชาติที่แท้จริงของข้าวชามนั้นว่าเป็นอย่างไร”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะลองไตร่ตรองดูให้มาก”
จ้งชิวทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป เขาอยากจะเอ่ยถ้อยคำปลอบใจ เพียงแต่มองคนหนุ่มชุดเขียวผู้นี้แล้วก็รู้สึกว่าดูเหมือนจะไม่มีความจำเป็น จึงไม่พูดอะไรแล้ว
เผยเฉียนเรียกอาจารย์พ่อเบาๆ หนึ่งคำ แต่กลับพูดต่อไม่ออกอีก
กวอจู๋จิ่วที่สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กเริ่มนับนิ้ว น่าจะกำลังคำนวณอยู่ในใจ ดูว่าเมื่อไหร่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ถึงจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง
หางตาของเผยเฉียนเหลือบไปเห็นการกระทำของกวอจู๋จิ่ว จึงไม่มีเวลามามัวเสียใจแล้ว แม่นางน้อยคนนี้น่ารำคาญจริงๆ
เฉาฉิงหล่างกุมหมัดบอกลา
เฉินผิงอันโบกมือเบาๆ จากนั้นก็สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ
หลังจากส่งพวกเขาไปแล้ว เฉินผิงอันก็พากวอจู๋จิ่วไปส่งที่หน้าประตูใหญ่ของนคร จากนั้นตนเองก็ขับเรือยันต์ไปที่หัวกำแพงเมือง
บนหัวกำแพงเมือง จั่วโย่วถาม “ไปกันหมดแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
จั่วโย่วขมวดคิ้ว “มีอะไรก็พูดมาตามตรง”
เฉินผิงอันเริ่มคิดถึงช่วงเวลาที่มีเผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างอยู่ข้างกายขึ้นมาบ้างแล้ว ยามนั้นศิษย์พี่ใหญ่ดูจะเกรงใจตนอยู่ไม่น้อยนะ
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “หากข้าหวังให้ศิษย์พี่ใหญ่รับปากอาจารย์ว่าจะออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงก็ไม่ควรปฏิเสธเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ควรจะรับปากเขาว่าจะจุดตะเกียงแห่งชะตาชีวิตไว้ที่ศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่ว เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่ต้องอยู่ที่นี่เพราะข้า แล้วยังต้องมีความกังวลเพิ่มขึ้นมาด้วย”
จั่วโย่วเอ่ย “พูดจาแค่ครึ่งๆ กลางๆ? ใครสอนเจ้า อาจารย์ของพวกเราหรือ?! เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเล่าทุกอย่างให้ข้าฟังหมดแล้ว ข้าออกกระบี่เร็วหรือช้า เจ้าที่ไม่แม้แต่จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ ต่อให้คิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออกหรอก แล้วใครมอบความกล้าให้เจ้ามาคิดเรื่องวุ่นวายพวกนี้? เจ้าเอ่ยประโยคนั้นกับอวี้เจวี้ยนฟูว่าอย่างไร หรือว่าหลักการเหตุผลมีไว้แค่เอ่ยให้คนอื่นฟังเท่านั้น? หลักการเหตุผลในใจที่ได้มาอย่างลำบากยากแสน จะเหมือนในร้านเหล้าและบนตราประทับบนหน้าพัดพับที่ตัวเองไม่เก็บไว้ก็ขายแลกเงินมาทั้งหมดงั้นหรือ? หลักการเหตุผลผายลมสุนัขเช่นนี้ ข้าว่าไม่ต้องเรียนรู้สักข้อจึงจะดี”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้ไปชั่วขณะ
ปกติแล้วศิษย์พี่ใหญ่จะไม่พูดอะไรกับตนมากนัก วันนี้กลับพูดเยอะขนาดนี้ ดูท่าจะโมโหตนมากจริงๆ
ไม่เป็นไร
เฉินผิงอันคิดแผนการรับมือมาไว้นานแล้ว “ต่อให้อาจารย์จะยุ่งแค่ไหน ตอนนี้มีพวกเผยเฉียนเฉาฉิงหล่างอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะไปเยี่ยมพวกเขาอยู่บ่อยๆ ศิษย์พี่ใหญ่สอนวิชากระบี่อย่างไร ข้าเชื่อว่าพวกศิษย์หลานของศิษย์พี่ใหญ่ก็จะต้องเล่าให้ให้อาจารย์ของพวกเราฟังทั้งหมด อาจารย์ฟังแล้วต้องดีใจมากแน่นอน”
คราวนี้เป็นจั่วโย่วบ้างที่พูดไม่ออก
เฉินผิงอันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามว่า “ทางฝั่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีคนมากมายที่ไม่ได้ลืมคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ใช่หรือไม่?”
จั่วโย่วพยักหน้า “แน่นอน แต่ก็ยังไม่มีประโยชน์สักเท่าใด”
เฉินผิงอันถามอีก “หัวกำแพงทั้งสองด้านมีอริยะสองท่านของลัทธิขงจื๊อและลัทธิพุทธเฝ้าพิทักษ์ บวกกับม่านฟ้าที่มีอริยะลัทธิเต๋าคอยดูแลอยู่ นี่ก็เพื่อพยายามที่จะประคับประคองกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ให้ถูกโชคชะตาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกัดกร่อนกลืนกินอย่างนั้นหรือ?”
จั่วโย่วเอ่ย “สำหรับอริยะของสามลัทธิแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผ่อนคลายสักเท่าใด อริยะลัทธิขงจื๊อที่มีชาติกำเนิดมาจากพุทธบริษัทท่านนั้น ในอดีตหลังจากที่อาจารย์โต้วาทีล้มเหลว เขาก็ได้ไปอยู่สายของหย่าเซิ่ง ความรู้ลึกล้ำ ดังนั้นเจ้าอย่าได้คิดว่าสายของหย่าเซิ่งไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว บัณฑิตอย่างพวกเรากลัวว่าผลประโยชน์ที่ตัวเองควรได้รับจะเกิดความเสียหายมากที่สุด จากนั้นก็จะร้อนรนกระวนกระวายใจ ตำหนิกล่าวโทษทุกคนทุกเรื่อง แล้วก็อย่าได้คิดว่าสายหลี่เซิ่งมีวิญญูชนหวังไจ่อยู่คนหนึ่งแล้วจะรู้สึกว่าลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสายหลี่เซิ่งบนโลกทุกคนจะเป็นนักปราชญ์วิญญูชนกันไปทั้งหมด”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่มีทางถูกใบไม้หนึ่งใบบังตาแล้วมองไม่เห็นขุนเขาเช่นนี้หรอก”
จงขุยวิญญูชนแห่งใบถงทวีปก็มีชาติกำเนิดมาจากสายหย่าเซิ่ง
จั่วโย่วถาม “ก่อนจะจากไป ชุยตงซานผู้นั้นพูดอะไรไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แค่เรื่องยิบย่อยเท่านั้น”
จั่วโย่วเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยช้าๆ ว่า “ปีนั้นนอกจากอาจารย์แล้วก็ไม่มีใครเคยเห็นชุยฉานตอนที่เป็นเด็กหนุ่ม ตอนที่พวกเราได้พบเจอเขา เขาก็เป็นคนหนุ่มที่มีอายุพอๆ กับเจ้าในตอนนี้แล้ว”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ข้ายังคงเชื่อมาโดยตลอดว่า วิถีทางโลกใบนี้จะต้องยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ”
จั่วโย่วยิ้มกล่าว “ควรเป็นเช่นนี้”
เฉินผิงอันหันหน้ามาเอ่ย “ศิษย์พี่ใหญ่ หากเวลาปกติท่านยิ้มบ่อยๆ หน่อย อันที่จริงท่านก็หล่อเหลากว่าเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะเสียอีก”
จั่วโย่วย้อนถาม “ไม่ยิ้มก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ข้าคิดว่าใช่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเว่ยจิ้นจะคิดเช่นไร”
จั่วโย่วอืมรับหนึ่งที “ไว้คราวหน้าข้าจะลองถามเขาดู”
เฉินผิงอันเอ่ยเสริมว่า “ยังต้องดูว่าการตอบคำถามข้อนี้ของเว่ยจิ้นจริงใจหรือไม่”
จั่วโย่วพยักหน้า “มีเหตุผล”
ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนทอดสายตามองไปยังทิศไกลด้วยกันอยู่อย่างนี้
คนสนิทคุ้นเคยต่างจากไปไกล
ก็เหมือนอย่างวันนี้ที่เฉินผิงอันเป็นเช่นนี้
แล้วก็เหมือนก่อนหน้านี้ไม่นานที่ฉีจิ่งหลงพาป๋ายโส่วและผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยส่วนหนึ่งของสำนักกระบี่ไท่ฮุยออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
คนบนโลกด้านล่างภูเขาล้วนเป็นเช่นนี้ เทพเซียนบนภูเขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
……
เวลาอีกหนึ่งปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่แอบเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ ถึงเวลาที่ฤดูใบไม้ผลิดอกใบไม้หญ้างอกงามอีกครั้ง
การปิดด่านของหนิงเหยาครั้งนี้คล้ายจะลืมวันเวลาไปแล้ว แต่อันที่จริงนี่ต่างหากจึงจะเหมือนผู้ฝึกตนที่พบเห็นได้ปกติทั่วไป
ฟ่านต้าเช่อยังคงไม่ฝ่าทะลุขอบเขต เพียงแต่ว่าพื้นฐานของขอบเขตประตูมังกรกลับดีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังสนิทคุ้นเคยกับจวนหนิงกับตระกูลเยี่ยนมากแล้ว
ตอนนี้เยี่ยนจั๋วที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาอย่างหมดหน้าตักจากผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูล วิชากระบี่จึงพัฒนาล้ำหน้าไปค่อนข้างมาก
เฉินซานชิวยังคงเป็นคุณชายเสเพลที่พอดื่มเหล้าไปแล้วก็ต้องใช้ผนังพยุงกาย
ต่งฮว่าฝูก็ยังคงเป็นคนที่ไม่ว่าเดินไปที่ไหน ซื้ออะไรก็ไม่เคยจ่ายเงินเองอยู่เหมือนเดิม
กิจการร้านเหล้าของเตี๋ยจ้างยังคงดีมาก แผ่นป้ายสงบสุขที่แขวนไว้บนผนังยิ่งนานก็ยิ่งมีมากขึ้น
ว่ากันว่าฉีโซ่วปิดด่านไปแล้ว หากออกจากด่านครั้งนี้ก็มีความหวังมากว่าจะเลื่อนเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดได้
ผังหยวนจี้มักจะไปซื้อเหล้าที่ร้านเหล้าของเตี๋ยจ้างเป็นประจำ เพราะที่ร้านมีเหล้าชนิดใหม่มานำเสนอ เป็นเหล้ารสร้อนแรง เหล้าเผามีด เพียงแต่ว่าราคาแพงสักหน่อย เหล้าหมักหนึ่งกาต้องจ่ายสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ดังนั้นเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่หนึ่งกาหนึ่งเหรียญเกล็ดหิมะจึงไม่เพียงแต่ปริมาณการขายไม่น้อยลง กลับกันยังขายได้เพิ่มมากขึ้น แต่ผังหยวนจี้ไม่ขาดเงิน อีกทั้งเกาขุยสหายเซียนกระบี่ของเขาก็ชอบรสชาติของเหล้านี้ ดังนั้นผังหยวนจี้จึงรู้สึกว่าแค่ตนคนเดียวก็ช่วยซื้อเหล้าเผามีดของที่ร้านไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว น่าเสียดายที่แม่นางเตี๋ยจ้างเถ้าแก่ใหญ่ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากเถ้าแก่รองโดยแท้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งขี้เหนียว ต่อให้ครั้งหนึ่งจะซื้อเหล้ามากแค่ไหนนางก็ไม่ยอมลดให้แม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว ยังกลับเป็นฝ่ายบ่นผังหยวนจี้ว่าซื้อทำไมมากมายขนาดนี้ แล้วเซียนกระบี่คนอื่นๆ จะทำอย่างไร นางยินดีขายเหล้าให้ แต่ก็ถือว่าเจ้าผังหยวนจี้ติดค้างน้ำใจนาง
ผังหยวนจี้กลัดกลุ้มยิ่งนัก ไม่ว่าดื่มเหล้าอะไรเขาก็ไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้เกาขุยติดเหล้ายิ่งกว่าอะไร แต่ดันไม่มีเงินจ่าย เพราะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เกาขุยหล่อเลี้ยงไว้ถึงด่านที่สำคัญ จึงเปลี่ยนจากเศรษฐีที่เอวห้อยเงินหมื่นพวงกลายมาเป็นคนยากจนที่ไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อ นี่เป็นเรื่องที่ปกติที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ บางครั้งที่มีเงิน ในกระเป๋าก็มีเงินเหลือเป็นกอบเป็นกำจริงๆ แต่พอไม่มีเงิน เงินสักแดงก็ไม่เหลือติดกาย แล้วยังต้องเก็บนู่นผสมนี่หรือไม่ก็หยิบยืมมาจากคนอื่น
แต่ตอนนี้เรื่องที่ผังหยวนจี้สนใจที่สุดก็คือเต้าหู้เหม็นนั้นจะวางขายเมื่อใด
คนที่มาช่วยงานระยะยาวในร้าน ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่ใช่เด็กหนุ่มสองคนจากตรอกหลิงซีและตรอกซัวลี่อีกแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็นสามคน เด็กหนุ่มคนหนึ่งเด็กสาวคนหนึ่ง และยังมีเด็กน้อยตัวดำอีกหนึ่งคน ล้วนเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงของเถ้าแก่ใหญ่เตี๋ยจ้าง ทว่าคนที่มือไม้คล่องแคล่วที่สุดกลับเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด เวลาอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำพวกนักดื่มนักพนันต่างก็ชอบหยอกล้อเจ้าเด็กน้อยผู้นี้ เพราะอย่าเห็นแค่ว่าเด็กชายอายุน้อย แท้จริงแล้วอารมณ์ร้ายยิ่งนัก ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นเซียนกระบี่หรือไม่ กล้าติดเงิน ฝันไปเถอะ กล้าหยิบผักดองและบะหมี่หยางชุนไปมากเกิน ก็จะต้องถูกเขาถลึงตาใส่ แม้จะช่วยยกผักดองไปให้ที่โต๊ะหรือที่ริมทาง แต่อย่าหวังว่าจะได้เห็นสีหน้าดีๆ ของเด็กน้อย
ตั้งแต่หน้าหนาวของปีก่อนจนถึงฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ เถ้าแก่รองเก็บตัวเงียบไปค่อยออกมา เขาแทบจะไม่ได้ปรากฏตัว เพียงแต่กวอจู๋จิ่วขยันแวะไปเยี่ยมเยือนจึงยังพอจะได้พบหน้าอาจารย์ของตนบ้าง พอเจอหน้าก็จะถามว่าเหตุใดศิษย์พี่หญิงใหญ่ถึงยังไม่กลับมา ทุกวันนี้หีบไม้ไผ่ใบเล็กที่นางสะพายอยู่เริ่มเกิดความผูกพันกับนางแล้ว คราวหน้าที่พบเจอศิษย์พี่หญิงใหญ่ หีบหนังสือต้องเปิดปากพูดว่ามันได้ใหม่แล้วลืมเก่าไม่อยากกลับบ้านแล้วแน่นอน
ทางฝั่งของจวนหนิง น่าหลันเย่สิงกระวนกระวายเล็กน้อย เป็นฝ่ายไปถามยายเฒ่าป๋ายเลี่ยนซวงด้วยตัวเองว่าวิธีฝึกกระบี่เช่นนี้ของท่านเขย รีบร้อนหวังผลสำเร็จเกินไปหน่อยหรือไม่ จะไม่มีปัญหาจริงๆ หรือ? ขนาดเขาน่าหลันเย่สิงยังแทบไม่กล้าออกกระบี่แล้ว
ป๋ายหมัวมัวเองก็ร้อนใจเหมือนกัน เพียงแต่คุณหนูปิดด่าน แล้วนางจะไปพูดกับใครได้? ดังนั้นจึงให้น่าหลันเย่สิงไปหาศิษย์พี่ใหญ่ของท่านเขยที่อยู่บนหัวกำแพง
น่าหลันเย่สิงเองก็คิดว่ามีเหตุผล จึงไปที่นั่น ผลคือศิษย์พี่ใหญ่ของท่านเขยอำมหิตยิ่งกว่า บอกว่าหากผู้อาวุโสน่าหลันรู้สึกว่าศิษย์น้องเล็กไปฝึกกระบี่กับท่าน เป็นการถ่วงเวลาการกลับคืนสู่ขอบเขตเซียนเหรินของท่าน ก็ให้ศิษย์น้องเล็กมาฝึกกระบี่ที่หัวกำแพงเมืองแล้วกัน
น่าหลันเย่สิงออกมาจากหัวกำแพงด้วยใบหน้าดำทะมึน ป๋ายหมัวมัวเฝ้ารออยู่ที่หน้าประตู พอได้ยินประโยคชวนให้คนโมโหนี้ของจั่วโย่วก็เกือบอดไม่ไหวแล่นไปหัวกำแพงเมือง น่าหลันเย่สิงต้องเกลี้ยกล่อมอยู่นานถึงจะยอมล้มเลิกความคิด
เกลี้ยกล่อมกันไปแล้ว ในใจน่าหลันเย่สิงก็แอบแย้มยิ้มเบิกบาน ถูกจั่วโย่วเรียกว่า ‘ผู้อาวุโสน่าหลัน’ ถูกใจนัก ไปดื่มเหล้าดีกว่า พรุ่งนี้ท่านเขยมาซ้อมกระบี่กับตนก็อย่าโทษหากท่านปู่น่าหลันจะโหดร้ายไร้ปราณี ดื่มเหล้าไปมาก ลงมือจึงไม่รู้จักหนักเบา กะกำลังของกระบี่บินไม่ถูก
หลังจากฝนฤดูใบไม้ผลิที่บ้างก็ตกหนักบ้างก็ตกเบาผ่านไปหลายครั้ง ไอร้อนก็เริ่มลอยกรุ่นขึ้นมาระหว่างฟ้าดิน
วันนี้เฉินผิงอันนั่งอยู่ในศาลาเพียงลำพัง เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ เอนหลังพิงเสาศาลา นั่งงีบหลับรับลมเย็นๆ
บนหัวกำแพงเมือง จั่วโย่วลืมตาแล้วลุกขึ้นยืน เอามือกดด้ามกระบี่ หรี่ตามองไปยังทิศไกล
ทางทิศใต้ของหัวกำแพงเมือง ทะเลทรายกว้างไกลหมื่นลี้พัดตัวหอบโถมเข้ามามืดฟ้ามัวดิน
เม็ดกรวดเม็ดทรายคลุ้งตลบ ถึงขนาดสูงกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ ประหนึ่งคลื่นกระทบฝั่งที่โถมเข้าหากำแพงเมือง
ภิกษุที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งและอริยะสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่นั่งอยู่บนหัวกำแพงสองฝั่งซ้ายขวาของจั่วโย่วต่างก็ยื่นฝ่ามือออกมาในเวลาเดียวกัน กดหมอกขาวเหล่านั้นเบาๆ
อริยะลัทธิเต๋าท่านหนึ่งที่ถือไม้ปัดฝุ่นหางกวาง (คือไม้ปัดฝุ่นชนิดหนึ่งที่ทำจากหางกวาง ด้ามแบนอยู่ตรงกลาง ด้านข้างสองฝั่งเป็นขนกวางที่แผ่ออก ความกว้างประมาณหนึ่งฝ่ามือ) สีขาวหิมะนั่งขัดสมาธิอยู่บนจุดที่สูงอย่างถึงที่สุด เมื่อนักพรตเฒ่าทอดสายตามองไป สิ่งที่สายตามองเห็นก็คือทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้าแหวกออกด้วยตัวเองทีละชั้น
มีแม่นางน้อยมัดผมแกละลักษณะเหมือนเด็กหญิงคนหนึ่ง เดิมทีนางกำลังอ้าปากหาว ฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพง นั่งเหม่อมองกาเหล้าที่เปิดผนึกดินแล้ว เวลานี้ดีใจจึงกลิ้งตัวหมุนไปหลายตลบ แล้วจึงกระโดดผลุงขึ้นยืน สายตาเป็นประกายระยิบระยับ ตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ว่า “ต่ำกว่าขอบเขตหยกดิบลงไป ออกไปจากหัวกำแพงเมืองให้หมด! ทางฝั่งทิศเหนือใครที่ขอบเขตมากพอก็มารวมตัวให้ครบจำนวนคน!”
เฉาชิงตูเดินออกจากกระท่อมช้าๆ สองมือไพล่หลัง มาหยุดอยู่ข้างกายจั่วโย่วแล้วกระโดดขึ้นบนหัวกำแพงเบาๆ ยิ้มถามว่า “เก็บปราณกระบี่เอาไว้กินแทนข้าวหรือ?”
จั่วโย่วเงียบงันไม่เอ่ยคำใด กระบี่ที่พกไว้ไม่ได้ชักออกจากฝัก เพียงแต่ไม่เก็บปราณกระบี่ไว้อย่างยากลำบากอีกแล้ว แต่พุ่งรุดไปเบื้องหน้า
นอกกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทรายเหลืองเหมือนชนกระแทกผนัง พริบตาเดียวก็สลายกลายเป็นเศษฝุ่น ยากที่จะขยับเข้าใกล้หัวกำแพงเมืองได้อีกแม้แต่เสี้ยวเดียว
ไม่เพียงเท่านี้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มองไม่เห็นนั้นยังขยับไปทางทิศใต้ต่อ ทรายเหลืองที่กลิ้งหลุนๆ จึงถอยกรูดออกห่างไปหลายสิบลี้
สุดท้ายฟ้าดินกลับคืนสู่ความสดใส การมองเห็นเปิดกว้าง ไร้สิ่งใดบดบังสายตา
ทางฝั่งของนครทางเหนือมีแสงกระบี่พร่างพราวหลายเส้นผุดขึ้นมา ก่อนจะพากันเก็บกระบี่ไปหยุดอยู่บนหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้
สุดท้ายบนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่
มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ
เฉินชิงตู จั่วโย่ว
ต่งซานเกิง ใต้เท้าอิ่นกวาน เฉินซี ฉีถิงจี้ น่าหลันเสาเหว่ย เฒ่าหูหนวก ลู่จือ
เยว่ชิง หนิงเหลียนอวิ๋น อู๋เฉิงเพ่ย โจวเฉิง หมี่ฮู้ หมี่อวี้ ซุนจวี้เฉวียน เกาขุย เถาเหวิน หลี่ทุ่ยมี่ผู้ฝึกกระบี่เซียนเหรินผู้ถวายงานตระกูลเยี่ยน…
หานไหวจื่อแห่งอุตรกุรุทวีป เว่ยจิ้นแห่งแจกันสมบัติทวีป หยวนชิงสู่แห่งทักษินาตยทวีป ลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ขู่เซี่ยแห่งราชวงศ์เส้าหยวน
เฉินชิงตูมองไปยังทิศไกล พูดกลั้วหัวเราะเอ่ยว่า “ตอนนี้มีเจ้าแก่หนังเหนียวผู้นั้นช่วยหนุนหลัง ความกล้าหาญก็เปี่ยมล้นอยู่ไม่น้อย มีคนหน้าใหม่ๆ มาหลายคนทีเดียว อืม มากันไม่น้อยด้วย พวกที่มีที่นั่งในรูหนูก็น่าจะมากันครบแล้ว”