บุรุษหน้าตาหล่อเหลาที่รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวคิดว่าความทะเยอทะยานของตนนั้นน้อยที่สุดแล้ว ก็แค่ต้องการรวบรวมหนังหน้าสาวงามทั้งหมดในใต้หล้าไพศาล เพราะต่อให้ผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่บนภูเขาไม่มีหนังบนใบหน้า ก็ใช่ว่าจะไม่มีชีวิตรอดเสียหน่อย หากแค่เสียผิวหนังบนใบหน้าไปแล้วไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาลงมือเอง เพราะย่อมมีวิธีการตายนับพันนับหมื่นรอพวกนางอยู่
ปีศาจใหญ่สิบสี่ตนก็คือผู้ที่อยู่บนยอดเขาสูงสุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างในทุกวันนี้
ส่วนใหญ่ถูกปลุกให้ตื่นจากการจำศีลที่ยาวนานจนแทบจะไม่มีขอบเขตสิ้นสุด
ส่วนหนึ่งที่ต่อให้จะฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว ทว่าท่ามกลางประวัติศาสตร์อันยาวนานกลับเลือกจะอยู่ในรังเดิมของตัวเองมาตลอดเวลา เลือกจะมองดูดายสงครามที่ต่อสู้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่เคยสอดมือเข้าแทรกการโจมตีเมืองที่ประมาณร้อยปีจะมีสักหนึ่งครั้ง
ตำแหน่งที่นั่งในตำหนักอิงหลิงใช่ว่าไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง และจำนวนก็ไม่ได้คงที่ บางคนตายไป บัลลังก์ก็จะแตกสลายแล้วร่วงหล่นลงสู่ก้นบ่อด้วยตัวเอง ส่วนพวกเด็กรุ่นหลังที่ผงาดขึ้นมาก็จะมีพื้นที่ให้นั่งในตำหนักอิงหลิง ไม่มีการแบ่งแยกความอาวุโสสูงหรือต่ำ ขอแค่เป็นผู้ที่มีพลังการต่อสู้สูง บัลลังก์ที่นั่งก็จะสูงตาม พวกที่อ่อนแอกว่าก็ควรต้องแหงนหน้ามองพวกเขา ประวัติศาสตร์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็คือประวัติศาสตร์ที่ผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งเหยียบย่ำลงบนโครงกระดูกของมดตัวน้อยแล้วค่อยๆ เดินขึ้นสู่ที่สูง จากนั้นจึงสร้างกิจการยิ่งใหญ่ไม่เสื่อมสลายขึ้นมา แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีราชวงศ์โลกมนุษย์ที่ก่อตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดิน มีกฎเกณฑ์พิธีการน้อยใหญ่ไม่ต่างจากใต้หล้าไพศาล เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วกลับมีจุดจบที่ไม่ดีนัก ไม่อาจดำรงอยู่ได้นาน มิอาจทนรับการเหยียบย่ำจากปีศาจใหญ่ที่เปลี่ยนจากคนกลางกลายมาเป็นศัตรู ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา ราชวงศ์เหล่านี้จึงเป็นเหมือนดอกราตรีที่เบ่งบานเพียงชั่วข้ามคืน
ในทางส่วนตัวแล้ว สิ่งที่พวกเขาแสวงหาก็คือความแข็งแกร่งอย่างไร้เทียมทาน การได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปตลอดกาลเท่านั้น
นอกจากนี้ล้วนเป็นเพียงมายาเลื่อนลอย
ความขัดแย้งภายใน การล่มสลายของเผ่าปีศาจนับล้านเผ่า การหายไปของพวกมดตัวน้อยจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นขั้นบันไดแน่นหนาที่ประคองให้ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งก้าวเดินขึ้นสู่ที่สูงทีละขั้น
จากนั้นกลุ่มบุคคลที่มีจำนวนน้อยนิดเพียงหยิบมือนี้ก็จะคานอำนาจกันเอง หลีกเลี่ยงไม่ให้เดินเข้าหาการล่มสลาย นี่ก็คือกฎเกณฑ์เพียงหนึ่งเดียวของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ การดำรงอยู่ของตำหนักอิงหลิง การเพิ่มการลดของบัลลังก์ทั้งใหม่และเก่าทุกบัลลังก์ในบ่อโบราณแห่งนี้ ล้วนเป็นผลมาจากกฎเกณฑ์ข้อนี้ทั้งสิ้น
ปีศาจใหญ่สิบสี่ตนพลันพลิ้วกายลงพื้น
ผู้เฒ่าสวมชุดสีเทาคนหนึ่งที่ในมือจับจูงเด็กน้อยคนหนึ่งเดินออกมาจากพื้นที่แถบใจกลางช้าๆ
ส่วนในมือของเด็กน้อยก็จิกผมของศีรษะหนึ่งเอาไว้ บุรุษตายตาไม่หลับ ก่อนจะตายก็ยังเบิกตาค้าง เพียงแต่ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ มีเพียงความเคียดแค้นที่มิอาจสงบเท่านั้น
ด้านหลังผู้เฒ่าชุดเทาและเด็กน้อยตามมาด้วยปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งที่ก้มหน้าค้อมเอว ก็คือปีศาจใหญ่ที่รับผิดชอบควบคุมสงครามโจมตีกำแพงเมืองครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับที่ถูกจั่วโย่วเซียนกระบี่ใหม่ของหัวกำแพงเมืองไล่ฆ่า ปีศาจใหญ่ตั้งชื่อให้ตนเองว่าฉงกวง คือบุคคลที่อยู่มายาวนานซึ่งได้รับความเคารพนับถือจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
แน่นอนว่าปีศาจใหญ่ฉงกวงย่อมไม่กล้าเปิดเผยร่างจริงมาเดินอาดๆ อยู่ด้านหลังผู้เฒ่าชุดเทา
หลังจากที่ผู้เฒ่าชุดเทาหยุดเดิน ฉงกวงก็ทำตามคำสั่งที่ได้รับจากอีกฝ่ายด้วยการก้าวยาวๆ เดินไปข้างหน้า ขยับเข้าใกล้กำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพัง แล้วเอ่ยเสียงดังกังวานว่า “สงครามใหญ่ครั้งถัดไป เซียนกระบี่ที่ไม่ออกกระบี่อย่างเต็มกำลัง วันที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกบุกทะลวง ไม่ต้องตาย! จากนั้นจะมาท่องเที่ยวในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หรือไปชมทัศนียภาพของใต้หล้าไพศาลก็ตามแต่ใจ ส่วนผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างคนอื่นๆ ที่ตัวอยู่บนหัวกำแพง แต่กลับไม่ยินดีออกกระบี่ เมื่อออกมาจากหัวกำแพงแล้วล้วนถือเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างข้า!”
บนหัวกำแพงเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง
ต่งซานเกิงหัวเราะเสียงหยัน “สัตว์เดรัจฉานห้าขอบเขตบนทางทิศใต้ ใครที่ขึ้นหัวกำแพงมาก่อนก็ตายก่อน”
ฉงกวงหันหน้ามามอง เพราะถึงอย่างไรต่อให้คิดจะเอ่ยคำอาฆาต ก็ยังไม่ใช่เขาที่มีสิทธิ์สอดปาก
ผู้เฒ่าชุดเทาตบศีรษะของเด็กคนนั้นเบาๆ “ไป พวกเจ้าล้วนเคยเป็นคนรู้จักกัน ตอนนี้ก็จงใช้ตัวตนของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาทัวเยว่ไปคารวะเฉินชิงตูเสีย”
เด็กคนนั้นถือศีรษะที่เบิกตากว้างเลือดสดแห้งกรังเดินออกไปช้าๆ ยิ่งเดินก็ยิ่งเร็ว พลังอำนาจดุจสายฟ้า สุดท้ายเมื่อหยุดยืนนิ่งก็ขว้างศีรษะนั้นออกไปอย่างแรง ศีรษะกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น
เจ้าของศีรษะนั้นก็คือเซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่แฝงตัวอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างมานานถึงหกร้อยปี ไม่เพียงแต่เวทกระบี่สูง ยังเชี่ยวชาญศาสตร์การยุแยงให้ศัตรูขัดแย้งกันเอง การกระทบกระทั่งและการต่อสู้ระหว่างปีศาจใหญ่หลายๆ ครั้งก็ล้วนเป็นแผนการของคนผู้นี้
เด็กน้อยหันหน้ามาพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ “อาจารย์ ตอนนี้ข้าขอบเขตต่ำเกินไป แถมคนบนหัวกำแพงเมืองก็มีมากเกินไป ข้าโยนไปได้ไม่ถึงบนหัวกำแพงขอรับ”
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มกล่าว “แค่แสดงเจตจำนงได้ก็พอแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่สายตาของเหล่าผู้ฝึกกระบี่ล้วนดีเยี่ยมกันทั้งนั้น”
เด็กคนนั้นยิ้มกว้าง ย้ายสายตามองไปยังคนหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายชายฉกรรจ์เคราดก ในสายตาแฝงไว้ด้วยแววท้าทายเล็กน้อย
คนหนุ่มไม่เอ่ยคำใด เพียงแต่กระบี่มากมายที่อยู่ในชั้นวางกระบี่ด้านหลังกลับพากันขยับออกจากฝักมาชุ่นกว่า
ผู้เฒ่าชุดเทาแหงนหน้ามองไปยังหัวกำแพงเมือง ในสายตามีเพียงเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสอย่างเฉินชิงตู
เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลัง ก้มหน้าลงมองผืนแผ่นดิน สบตากับอีกฝ่าย ผายมือออกมา ศีรษะของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งที่ถูกขังอยู่ในคุกทางทิศใต้ของหัวกำแพงเมืองก็หลุดออกจากร่างแล้วบินมาอย่างง่ายดาย จากนั้นเฉินชิงตูก็ถือเอาไว้ในมือ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ศีรษะนี้เก็บไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะมานานหลายปี คือผู้สืบทอดของภูเขาทัวเยว่เช่นเดียวกัน”
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มบางๆ “เฉินชิงตู ไม่เจอกันหมื่นปี ร้ายกาจขนาดนี้แล้วหรือ?”
หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง สุดท้ายผู้เฒ่าก็ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นก็จะให้เจ้าตายอีกครั้งดีไหม?”
เซียนกระบี่ต่างถิ่นหลายคนที่อยู่บนหัวกำแพงต่างก็ฉงนสนเท่ห์
เฉินชิงตูเอ่ยว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นความแค้นซึ่งเก็บซ่อนไว้ใต้ดินมานานเป็นหมื่นปี เปิดปากที คำพูดคำจาถึงได้ใหญ่โตเพียงนี้”
ผู้เฒ่าชุดเทาส่ายหน้า “ได้ยินมาว่ากระบี่เล่มใหม่ชื่อปราณยาว ใช้ไม่ได้เท่าไร ไม่ถูกสิ ใช้ไม่ได้เลยต่างหาก”
เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลังอยู่ตลอดเวลา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าต้องเป็นสตรีถึงจะมีปัญญารู้ว่า ข้าใช้ได้หรือไม่ได้กันแน่”
เสียงผิวปากหวือดังระงมอยู่บนหัวกำแพง
ดูท่าไม่เพียงแต่ผู้ฝึกกระบี่ในนครที่ชอบเรื่องพวกนี้
อันที่จริงเซียนกระบี่ก็ไม่ต่างกันสักเท่าไร
เด็กคนนั้นกลับไปหยุดอยู่ข้างกายผู้เฒ่าชุดเทา จับชายแขนเสื้ออาจารย์แกว่งเบาๆ “คำพูดนี้ฟังแล้วต้องยอมจริงๆ”
ผู้เฒ่าชุดเทาไม่ขุ่นเคืองแม้แต่น้อย ก้มหน้าลงมองลูกศิษย์คนสุดท้ายที่เปลืองกำลังกายใจตามหา แต่จิตวิญญาณก็ยังได้มาไม่ครบถ้วนผู้นี้แล้วหัวเราะเอ่ยว่า “คนพวกนี้น่ะ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย จะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ ก็มีฝีปากนี่แหละที่ร้ายกาจที่สุด วันหน้ายามอยู่ในใต้หล้าไพศาล หากเจ้าอยากจะเรียนวิชาชั้นต่ำประเภทนี้ก็ตามใจ”
ปีศาจใหญ่ที่นั่งอยู่บนราวรั้วจวนตระกูลเซียนพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมาว่า “เจ้าเฉินชิงตูทั้งน่าเคารพ น่ารังเกียจแล้วก็น่าสงสาร แต่ว่าน่าสงสารมากที่สุด ขังปีศาจใหญ่พวกนี้ไว้ไม่ยอมสังหาร เอามาใช้เป็นหินลับมีดของเซียนกระบี่ รวมถึงเอามาเป็นผลผลิตของหอโอสถ น่าจะถูกบัณฑิตไม่น้อยของใต้หล้าไพศาลด่าเอากระมัง? ลากคนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่มารอความตายอยู่ตรงนี้ ก็น่าจะถูกคนกันเองจำนวนไม่น้อยเคียดแค้นกระมัง? เจ้าว่าเจ้าน่าสงสารหรือไม่ ขนาดตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ยังจะถูกคนพูดทิ่มแทงใจอยู่ลับหลัง เฉินชิงตูเอ๋ยเฉินชิงตู หากเปลี่ยนข้าไปเป็นเจ้า ป่านนี้คงตายๆ ไปเสียให้สิ้นเรื่องนานแล้ว”
เฉินชิงตูไม่คิดจะมองปีศาจใหญ่ขอบเขตสูงสุดตนนั้นเลยด้วยซ้ำ
จั่วโย่วมองไปยังหอหยกเรือนอัญมณีที่มีไอเซียนล้อมวนแล้วเอ่ยถาม “เจ้าคู่ควรจะพูดกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสด้วยหรือ?”
ปีศาจใหญ่ตนนั้นหัวเราะ “พูดกับเฉินชิงตู บางทีอาจจะขาดคุณสมบัติอยู่บ้าง แต่พูดกับเจ้า ก็น่าจะพอมากแล้ว”
เด็กคนนั้นเดินออกมาเพียงลำพังอีกครั้ง สุดท้ายเดินมาหยุดอยู่ข้างศีรษะนั้น ยกเท้ากระทืบลงบนศีรษะของเซียนกระบี่ใหญ่ แล้วเงยหน้ายิ้มกล่าว “ตอนนี้ข้าอายุสิบสองปี กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเจ้ามีผู้มากพรสวรรค์เยอะนักไม่ใช่หรือ? เอาคนที่อายุพอๆ กับข้ามาสู้กับข้าสักตั้งสิ! ข้าจะไม่รังแกพวกเจ้าก็แล้วกัน หากเป็นผู้ฝึกกระบี่อายุต่ำกว่าสามสิบปีลงไป ก็ได้เหมือนกัน จำไว้ว่าพกสมบัติอาคมอาวุธเซียนอาวุธกึ่งเซียนอะไรมาให้เยอะหน่อย ไม่อย่างนั้นคงไม่พอให้ดู!”
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าฉีถิงจี้ขมวดคิ้ว “เจ้าลูกกระต่ายผู้นี้หวังจะให้หนิงเหยาปรากฏตัว พอแลกชีวิตกันแล้วก็คิดจะให้เจ้าออกไปจากหัวกำแพงเมือง ไอ้แก่นั่นจะได้เป็นผู้ยึดครองความได้เปรียบด้านชัยภูมิ”
เฉินชิงตูพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “คงคิดแบบนี้จริง แต่ก็ไม่เป็นไร หากคำท้าแค่นี้ยังรับไว้ไม่อยู่ แล้วยังจะเฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างไร”
เฉินชิงตูกวักมือหนึ่งครั้ง
ด้านหลังก็ปรากฏกลุ่มคนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่ง จำนวนสิบกว่าคน ผังหยวนจี้ เฉินซานชิว ต่งฮว่าฝูล้วนเป็นหนึ่งในนั้น
แน่นอนว่ามีหนิงเหยาที่ออกจากด่านมาเรียบร้อย รวมไปถึงเฉินผิงอันที่เดิมทียืนอยู่ในศาลาบนหน้าผาสังหารมังกร
เฉินชิงตูยื่นมือข้างที่ถือศีรษะนั้นออกมา แล้วหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “ใครก็ได้เอาของขวัญไปคืนแทนข้าที”
หนิงเหยาก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แต่กลับถูกมือหนึ่งกดไหล่เอาไว้
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าไปเอง”
เฉินชิงตูยิ้มตาหยี “ไม่กลัวว่าโอกาสหนึ่งเดียวจะถูกใช้ไปตั้งแต่ตอนนี้หรือ? แล้วศึกใหญ่ครั้งถัดไปจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ถ้าอย่างนั้นถึงเวลาก็ค่อยว่ากัน”
เฉินชิงตูขว้างศีรษะของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานออกไปง่ายๆ “เอาให้เต็มที่ สู้ให้ดีๆ สักครั้ง”
ชุดเขียวกระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง จากนั้นก็เหยียบลงบนความว่างเปล่า วิ่งตะบึงเลียบตัวกำแพงลงไปด้านล่าง ครั้นจึงหยุดยืนนิ่ง ประหนึ่งสองเท้าหยั่งรากลงบนพื้น หัวเข่างอเล็กน้อย เสียงปังดังหนึ่งครั้งก็เหมือนลูกธนูที่พุ่งฉิวไปยังผืนแผ่นดินทางทิศใต้ รับศีรษะที่หล่นลงมานั้นไว้ได้พอดี มือหนึ่งหิ้วศีรษะ อีกมือหนึ่งไพล่หลัง สุดท้ายพลิ้วกายลงบนพื้น
บนแผ่นดินกว้างใหญ่ เด็กคนนั้นดีดปลายเท้างัดเตะศีรษะของเซียนกระบี่ใหญ่ที่เปื้อนฝุ่นขึ้นมาไว้ในมือ แล้วเดินหน้าไปช้าๆ
ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันร้อยกว่าก้าว
เฉินชิงตูหลุดหัวเราะพรืด “ตัดสินแพ้ชนะอยู่ที่เจ้าและข้า ใครปรี่เข้ามาโดนกระบี่ก่อน ตกลงไหม?”
ผู้เฒ่าชุดเทาพยักหน้า “ทำไมจะไม่ตกลงเล่า”
บนพื้นดิน สองฝ่ายคุมเชิงกัน เด็กคนนั้นยื่นมือออกมาพร้อมหัวเราะร่า
เฉินผิงอันขว้างศีรษะของปีศาจใหญ่ออกไปโดยตรง เด็กชายก็ยกแขนขึ้นพร้อมกัน ทั้งยังจงใจขว้างหัวของเซียนกระบี่ให้ได้สูงกว่า
เด็กชายไม่ได้ยื่นมือไปรับศีรษะของปีศาจใหญ่ร่วมสำนักภูเขาทัวเยว่ แต่ใช้เท้าเหยียบกดไว้บนพื้น ตบรอยเลือดบนร่างตัวเอง ครั้นจึงโน้มกายมาด้านหน้า สองแขนกอดอก “มองดูแล้วเจ้าตัวบางเบาราวกับจะปลิวลม คงไม่พอให้ต่อสู้หรอกนะ”
ทว่าคนหนุ่มชุดเขียวกลับยื่นมือไปรับศีรษะนั้นไว้ จับประคองไว้เบื้องหน้าตัวเอง ใช้มือข้างหนึ่งปาดลงไปบนใบหน้าของเซียนกระบี่ใหญ่ไม่ทราบชื่อเบาๆ ให้ดวงตาของเขาหลับลง
แต่การกระทำนี้กลับเป็นการเผยช่องโหว่ที่ใหญ่เทียมฟ้า
เด็กคนนั้นปล่อยหมัดหนึ่งเข้าใส่ คนชุดเขียวก็ถอยกรูดออกไปหลายสิบจั้ง บนพื้นถูกกรีดเป็นร่องที่ไม่ถือว่าลึกเท่าใด เพียงแต่ร่างของเขายังคงยืนตระหง่านไม่ล้มลง
เด็กชายมายืนอยู่บนตำแหน่งที่คนหนุ่มยืนเมื่อครู่นี้ เขาพยักหน้า พูดอย่างดีใจว่า “นับว่าพอใช้ได้ สามารถเล่นเป็นเพื่อนข้าได้ครู่หนึ่ง”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง ศีรษะของเซียนกระบี่ในมือหายวับไปกลางอากาศ เยว่ชิงเซียนกระบี่ใหญ่หนีบศีรษะนั้นไว้ใต้รักแร้ ยกสองมือกุมหมัดคารวะคนหนุ่ม
เด็กชายยิ้มกล่าว “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว มีผู้อาวุโสมากมายขนาดนี้มองดูอยู่ ฆ่าเจ้าให้เร็วหน่อยน่าจะดีกว่า เปลี่ยนเป็นเจ้าที่ต้องลงมือบ้างแล้ว มีโอกาสแค่ครั้งเดียว เพราะหลังจากนั้นข้าจะลงมือเต็มที่บ้างแล้ว เจ้าจะตายเร็วมากๆ เมื่อเทียบกับบิดามารดาเศษสวะคู่นั้นของหนิงเหยาที่เป็นคู่ต่อสู้เดิมของข้าแล้ว จะต้องตายเร็วกว่าเสียอีก”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองเด็กคนนั้น จากนั้นก้มหน้าลง ม้วนชายแขนเสื้อขึ้น มุมปากกระดก สุดท้ายรอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งฉีกกว้าง ทว่าสายตากลับมืดทะมึน วัตถุบางอย่างที่พยายามสยบไว้ในใจอย่างยากลำบาก ถึงเวลาเชิดหัวชูคอออกจากบ่อ
ดังนั้นสุดท้ายเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น
นั่นก็คือใบหน้าของคนหนุ่มที่แสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม