หลีเจินไม่กำมือเป็นหมัดหลวมๆ อีกต่อไป มือข้างหนึ่งกำเป็นหมัดเบาๆ เลือดเนื้อของแขนทั้งแขนเริ่มแยกจากกัน กระดูกขาวแตกละเอียด
คิดไม่ถึงว่าจะอเนจอนาถถึงขั้นต้องใช้ยันต์อาวุธเซียนในมือชิ้นนี้
แขนทั้งข้างของหลีเจินหายวับไป สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย แต่จุดที่เดิมทีกำเป็นหมัดกลับมียันต์บรรพกาลที่เก่าแก่แผ่นหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ
เห็นเพียงว่าคนหนุ่มที่แขนข้างหนึ่งห้อยร่องแร่ง มือซ้ายสะบัดชายแขนเสื้อก็มีชุดคลุมยาวสีทองชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา เขาวิ่งตะบึงไปด้านหน้าต่ออีกครั้ง แต่เวลาเดียวกันนั้นชุดคลุมยาวก็สวมลงบนร่างโดยอัตโนมัติ
นาทีถัดมา บนพื้นดินก็ปรากฏเทือกเขายาวที่มียอดเขาสามยอดสลับสล้างเรียงต่อกัน
มองไม่เห็นคนหนุ่มที่เปลี่ยนจากชุดสีเขียวมาสวมชุดคลุมยาวสีทองผู้นั้นอีกแล้ว
เส้นยาวสีทองเส้นหนึ่งพุ่งผ่านกลางอากาศของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไป
ข้ามผ่านเทือกเขาใหญ่ทั้งสามลูกนั้น
หนึ่งกระบี่ฟันผ่าฟ้าดินขนาดเล็กที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแสงจันทร์และกระแสน้ำแห่งกาลเวลาร่วมกันสร้างขึ้นมา ร่วงตกลงบนศีรษะของหลีเจินโดยตรง
หลีเจินโยนเม็ดกระบี่ที่อยู่ในมือออกไป พริบตาเดียวมันก็หลอมรวมเข้าที่กลางหว่างคิ้วของของกวนจ้าวเซียนกระบี่ที่อยู่ข้างกาย
เรือนกายล่องลอยของเซียนกระบี่กวนจ้าวมีแสงกระบี่สาดส่องออกมาในชั่ววินาที เรือนกายที่สูงหลายสิบจั้งถือกระบี่ยาวสกัดขวางกระบี่สีทองเล่มนั้นเอาไว้
เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดของหลีเจิน ในใจมีแต่ความเคียดแค้น
จะตายคนเดียวก็ไม่ได้ ยังต้องลากตนลงน้ำไปด้วย!
เดิมทีมีเพียงแค่หนิงเหยาเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะทำให้ตนต้องจ่ายค่าตอบแทนยิ่งใหญ่ขนาดนี้!
เพื่อควบคุมยันต์อาวุธเซียนชิ้นนั้น ก็ต้องหักหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณของเขาหลีเจินออกไป! และเม็ดกระบี่นั้นก็ต้องหลอมรวมเข้ากับจิตแห่งกระบี่ของกวนจ้าว
ความตั้งใจเดิมของหลีเจินก็คือต้องการสละกวนจ้าวที่มีมูลค่าเทียบเท่ากับอาวุธเซียนสองชิ้น บวกกับยันต์สามขุนเขาเพื่อเอามาแลกชีวิตกับหนิงเหยาผู้นั้น!
ไม่อย่างนั้นหลังจากนี้ขอแค่จิตแห่งกระบี่ของตนสัมผัสกับ ‘กวนจ้าว’ แม้เพียงเล็กน้อย ก็หมายความว่าชีวิตนี้จะไม่อาจควบคุมกวนจ้าวหุ่นเชิดที่ในมือถืออาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง และเดิมทีตัวเขาเองก็เป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งได้อย่างแท้จริงอีกแล้ว นั่นจะกลายเป็นซี่โครงไก่สำหรับเขา ยิ่งทำลายจิตแห่งเต๋าของเขาหลีเจินในชาตินี้ กวนจ้าวที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเฉินชิงตู แม้จะตายก็ไม่ยอมทำเหมือนหลงจวินนักโทษที่เก่าแก่ที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่อะไรนั่น เดิมก็ควรตายไปอย่างหมดจด ตายไปอย่างรวดเร็วฉับไวไปนานแล้ว
หลีเจินพลันมองจุดสูงหลังจากที่ฟ้าดินและดินเชื่อมโยงกันแล้ว เบิกตากว้างมองจ้องเป๋งตรงไป
คือปิ่นหยกขาวชิ้นหนึ่งที่ค่อยๆ ร่วงลงมา
ไม่เหลือจิตหยินชุดขาวนั้นอยู่แล้วจริงๆ
กลางอากาศเหนือศีรษะ เจี้ยนเซียนอาวุธเซียนที่ตอนพุ่งมาเป็นแสงสีทองที่รวมตัวกันแน่นหนาปะทะเข้ากับกระบี่ยาวในมือของกวนจ้าว
นอกจากจุดที่หลีเจินยืนอยู่แล้ว พื้นดินรอบด้านพลันยุบยวบลงไปหลายสิบจั้ง
ระหว่างปิ่นหยกสีขาวกับหลีเจิน มีกระบี่บินอย่างซงเจิน ไฮเหลยที่ตั้งแต่ต้นจนจบแสร้งทำท่าอ่อนแอลอยอยู่พอดี
กลายเป็นเส้นตรงเส้นหนึ่งอย่างพอดิบพอดี
ระหว่างที่ปิ่นหยกขาวร่วงลงมาก็ปรากฏร่างของเฉินผิงอันคนหนึ่ง
วินาทีนั้นเฉินผิงอันเหยียบลงบนกระบี่บินซงเจิน วินาทีถัดมาก็เหยียบลงบนไฮเหลย
ก่อนจะได้เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตทะยานลม ก็ควรต้องมีวิชาขี่กระบี่หลบหนีเอาชีวิตรอด
ดังนั้นชุยตงซาน ฉีจิ่งหลงและน่าหลันเย่สิงต่างก็ร่วมกันศึกษาจนได้วิชาลับนี้ออกมา
ก่อนหน้านี้กระบี่บินสองเล่มอย่างซงเจิน ไฮเหลยถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นวัตถุที่คล้ายคลึงกับ ‘ยันต์’ นี่จึงเป็นเหตุให้สามารถใช้ซงเจิน ไฮเหลยมาเป็นเหมือนจุดเชื่อมต่ออย่างหนึ่งกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา ช่วยให้เฉินผิงอันสามารถถอยหนีจากสนามรบไปได้ร้อยลี้กว่า หรืออาจถึงขั้นหลายร้อยลี้
แต่ถึงท้ายที่สุดแล้ว สำหรับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างเฉินผิงอัน วิธีการหนีเอาชีวิตรอดก็ยังควรจะเอามาใช้เป็นวิธีเข่นฆ่าเอาชีวิตกับผู้อื่นถึงจะถูก!
อันที่จริงร่างจริงของเฉินผิงอันก็หลอมรวมเป็นหนึ่งอยู่กับจิตหยินตลอดเวลา เพียงแค่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกว่าจิตหยินของตนออกจากร่างเดินทางไกล ถอนตัวออกไปจากบ่อสายฟ้าเท่านั้น
‘จิตหยิน’ ที่จงใจอยู่ในทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆ ทัณฑ์ดินบ่อสายฟ้าถูกเซียนกระบี่เมล็ดงาสิบแปดท่านทำร้ายบาดเจ็บสาหัส เพียงแต่วินาทีสุดท้าย ร่างจริงกับจิตหยินได้เข้าไปซ่อนอยู่ในปิ่นหยกที่ปักอยู่บนมวยผมของจิตหยินด้วยกัน
ไม่อย่างนั้นหากรีบแอบเข้าไปหลบด้านใน บางทีในชั่วเวลาเพียงเสี้ยววินาที ปิ่นหยกขาวที่ไร้เจ้าของไปชั่วขณะชิ้นนั้นก็อาจตกอยู่ในมือของศัตรูก็เป็นได้
ส่วนชูอี สืออู่ ซงเจิน ไฮเหลย กระบี่บินรวมแล้วสี่เล่มต่างก็ไม่อาจเก็บร่างเฉินผิงอันผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เป็นจิตหยางกายนอกกาย และชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่มีระดับอาวุธเซียนชิ้นนั้นได้
ขอแค่ทั้งสองอย่างนี้ไม่ตาย แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่ความคิดไม่กี่อย่างโลดแล่น ไม่พูดถึงเรื่องขอบเขตและเวทกระบี่ หากพูดถึงความคิดความกังวลที่มีมาก ต่อให้เจ้าเป็นเซียนกระบี่บนหัวกำแพงก็ยังสู้ข้าเฉินผิงอันไม่ได้
ทุกอย่างที่ทำลงไปก็เพื่อออกกระบี่ในยามนี้
หลีเจินเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าซับซ้อน ต่อให้ใช้ทุกวิถีทางที่มี แต่แล้วจะอย่างไรเล่า เพราะดูเหมือนว่าผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด หมื่นหนึ่งที่เรื่องไม่คาดฝันทับซ้อนรวมกันจะมาเยือนแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันยื่นมือออกไปคว้า แล้วท่องหนึ่งคำ
หนึ่งกระบี่ฟันฉับลงไป ผ่าร่างของหลีเจินเป็นสองท่อนโดยตรง
หลีเจินเพียงแค่เบี่ยงศีรษะเล็กน้อย
ดังนั้นในที่สุดจึงพอจะรักษาหัวที่สมบูรณ์แบบเอาไว้ได้
กระบี่ยาวในมือเป็นเพียงแค่ปณิธานกระบี่จำลองที่รวมตัวขึ้น คิดว่าทุกครั้งที่เฉินผิงอันถูกจั่วโย่วสอนกระบี่อยู่บนหัวกำแพง เขาใช้เวลาไปอย่างเสียเปล่าจริงๆ งั้นหรือ
ไม่ใช่เจี้ยนเซียนที่ยังคงคุมเชิงอยู่กับกวนจ้าว
ยามบัณฑิตพิศมองโลกมนุษย์ หมื่นสรรพสิ่งล้วนสามารถดึงนำมาให้ตัวเองใช้ได้
หลังจากที่เฉินผิงอันพลิ้วกายลงบนพื้น กระบี่ยาวปณิธานกระบี่ก็แหลกสลาย เท้าของเขาเหยียบอยู่บนศีรษะนั้น ปล่อยหนึ่งหมัดออกไปกักให้จิตวิญญาณทั้งหมดที่พยายามจะเผ่นหนีไปทั่วทิศให้อยู่ในหมัด
จิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของหลีเจินซึ่งเดิมทีก็ไม่สมบูรณ์อยู่แล้วจึงถูกผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่เขายังคงไม่รู้ชื่อกุมไว้ในมืออยู่อย่างนั้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะยกมือขึ้นเบาๆ ใช้พายุหมัดที่พอจะมีเสียงสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิสะเทือนครืนครั่นให้ได้ยินแว่วๆ กักขังจิตวิญญาณของหลีเจินไว้อย่างแน่นหนา
เฉินผิงอันกระทืบศีรษะนั้นจนแหลกเละ ห้านิ้วงอเป็นตะขอ แทรกซอนเข้าไปในจิตวิญญาณของอีกฝ่าย เอ่ยถามว่า “เจ้าเศษสวะน้อย เหตุใดถึงไม่พูดจ้ออีกแล้วเล่า?”
จิตวิญญาณของหลีเจินไม่ได้ดิ้นรนใดๆ กระตุกมุมปาก เตรียมจะพูด แต่กลับถูกเฉินผิงอันใช้พายุหมัดระเบิดจนแหลกกระจุยกระจาย “ข้าขอร้องให้เจ้าพูดเพิ่มหรือ? เจ้าทำได้หรือ?”
ระหว่างฟ้าดินมีเพียงปราณกระบี่พายุลมกรด พัดให้เส้นผมตรงจอนและชุดคลุมยาวของคนหนุ่มปลิวสะบัด
ปีศาจใหญ่สิบสี่ตนที่อยู่บนเส้นแนวหน้าห่างไปไกล มีจำนวนไม่น้อยที่ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรืออยากลงมือ
ผู้เฒ่าชุดเทากลับยกมือขึ้น ห้ามปรามไม่ให้บุคคลในอันดับสูงสุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเหล่านี้ลงมือกับคนหนุ่มคนนั้น เขาเดินก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ยิ้มเอ่ยว่า “ไอ้หนู สภาพจิตใจไม่เลวเลย”
ไม่เพียงเท่านี้ ผู้เฒ่าชุดเทายังโบกมือสลายร่างของกวนจ้าวที่กลืนกินเม็ดกระบี่อาวุธเซียนเข้าไปด้วย
แม้กระทั่งขุนเขาใหญ่จากยันต์สามขุนเขาก็หายไป
เฉินผิงอันก็กุมเจี้ยนเซียนที่พุ่งมาหาเขาไว้ในมือ ปลายกระบี่ชี้ตรงไปที่ผู้เฒ่าชุดเทา การกระทำเช่นนี้เป็นการท้าทายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ปากกลับเอ่ยว่า “ห้ามเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กเชียวนะ ข้าคนนี้ขี้ขลาดที่สุดเลยล่ะ”
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หยุดเมื่อพอสมควรเถิด กลับกำแพงเมืองปราณกระบี่ของเจ้าไปซะ”
เฉินผิงอันถือเจี้ยนเซียน หมุนตัวเดินจากไป
ระหว่างทางที่เดินไปนั้นเขาก็เก็บทุกอย่างมาจนเกลี้ยง ต่อให้อยู่ในสภาพผุผังแค่ไหนก็เอา แม้แต่หัวของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานก็ยังไม่เว้น เก็บรวบเข้าวัตถุจื่อชื่อพร้อมกันรวดเดียวหมด
จิตหยินชุดขาวพุ่งออกมาจากปิ่นหยกขาว จิตหยางกายนอกกายที่เรือนกายเกินครึ่งมีแต่กระดูกขาวโผล่ออกมา พากันมารวมตัวกับเฉินผิงอัน สามรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง
เฉินผิงอันที่อยู่บนสนามรบพลันหยุดยืนนิ่ง ยื่นมือออกมา กำเป็นหมัดแล้วชูขึ้นสูง จากนั้นก็ดึงมือกลับมาช้าๆ ยิ้มมองหนิงเหยา เอาหมัดทุบหัวใจตัวเองเบาๆ ผลคือเลือดทะลักออกมาจากจุดที่ทุบลงไป เรือนกายเซถอย จากนั้นก็ถูกเจี้ยนเซียนที่อยู่ในมือซึ่งมีจิตเชื่อมโยงถึงกัน ‘ลาก’ พาบินขึ้นไปบนหัวกำแพงเมือง
ระหว่างนี้ปีศาจใหญ่หน้าตาหล่อเหลาอดใจไม่ไหวจริงๆ หมายจะตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อีกครั้ง ใช้ปราณกระบี่สังหารคนหนุ่มที่ขัดหูขัดตาที่สุดคนนั้นให้ตายๆ ไปเสีย
เพียงแต่พอตบลงไปหนึ่งครั้ง น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่กลับไม่มีความเคลื่อนไหว จึงเหลือบไปมองผู้เฒ่าชุดเทา ปีศาจใหญ่ท่านนี้จึงหดมือกลับมาอย่างขลาดๆ
ผู้เฒ่าชุดเทาเดินออกไปหนึ่งก้าว ยืนอยู่บนพื้นดินระหว่างปีศาจใหญ่สิบสี่ตนและเซียนกระบี่ทั้งหมดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาผายมือออกมา “เฉินชิงตู ตามคำสัญญา เชิญออกกระบี่ได้”
เฉินชิงตูยิ้มถาม “วางมาดใหญ่โตขนาดนี้ มาปรึกษากันก่อน สองทีเป็นอย่างไร?”
ผู้เฒ่าชุดเทาดึงมือกลับ คลี่ยิ้ม คร้านจะต่อปากต่อคำ
เฉินชิงตูหันหน้ามามองเฉินผิงอันแล้วกวักมือเรียก “จะปล่อยให้เจ้ายุ่งอย่างเสียเปล่าไม่ได้ ข้าจะสอนเจ้าออกกระบี่ด้วยตัวเองสักครั้ง”
เฉินชิงตูยื่นมือมากดไหล่เฉินผิงอัน
ไม่เพียงแต่บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น ยังมีจุดที่สายตาของปีศาจใหญ่ขั้นสูงสุดมองไปเห็น ไม่เหลือทะเลเมฆอีกแม้แต่นิดเดียว
ไม่เพียงเท่านี้ บนพื้นดินระหว่างปีศาจใหญ่กับหัวกำแพงเมือง แม้แต่ฝุ่นสักเม็ดก็ยังยอมอยู่แนบติดพื้นแต่โดยดี
บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ด้านหลังเฉินชิงตูกับเฉินผิงอันพลันมีผู้เฒ่าชุดขาวล่องลอยคนหนึ่งปรากฎตัว เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวกำแพง ยื่นฝ่ามือใหญ่ออกมากุมกระบี่ยาว แค่ทิ่มกระบี่ลงไปยังศีรษะของผู้เฒ่าชุดเทาง่ายๆ ไม่มีเวทกระบี่ใดๆ ให้เอ่ยถึง
เม็ดทรายสีเหลืองซัดตลบคละคลุ้งอีกครั้ง
ครู่หนึ่งต่อมา เมื่อฝุ่นผงนิ่งสงบลง ผู้เฒ่าชุดเทายังคงยืนอยู่บนสนามรบ แต่เรือนกายกลับลอยขึ้นกลางอากาศ มือทั้งสองไพล่หลังอยู่ตลอดเวลา เขารักษาสัญญาเป็นอย่างดี นั่นคือยอมรับกระบี่นั้นจากเฉินชิงตูตามข้อตกลง
ปีศาจใหญ่ขอบเขตสูงสุดสิบสี่ตน ส่วนใหญ่ล้วนจิตวิญญาณแกว่งไกวไม่มั่นคง
มีถึงครึ่งหนึ่งในนั้นที่หันไปมองด้านหลังอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ผู้เฒ่าชุดเทาหมุนตัวเดินจากไป
เขาก็คือการแสดงออกของมหามรรคาแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เจอกับหนึ่งกระบี่นี้ของเฉินชิงตู ก็หนีไม่พ้นให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างรับกระบี่นี้เฉินชิงตูของเอาไว้เท่านั้น ไม่ได้สำคัญอะไรเลย
นับแต่โบราณมาใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เป็นสถานที่ยากจนแร้นแค้น หนึ่งกระบี่ผ่านไป ภูเขาสายน้ำหมื่นลี้พังทลาย แล้วจะอย่างไร
เพียงแต่ผ่านไปหมื่นปี เวทกระบี่ของเฉินชิงตูก็สูงขึ้นแล้วจริงๆ
เพราะยังคงมีปณิธานกระบี่อีกเกือบครึ่งที่ไม่ได้ทำตามคำสั่งของผู้เฒ่าชุดเทา ยังคงร่วงใส่จุดที่อยู่ห่างไปหมื่นลี้ด้านหลังปีศาจใหญ่
เฉินชิงตูตบไหล่เฉินผิงอัน “เรียนรู้เป็นแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันยกสองมือเช็ดหน้าลวกๆ ล้วนเป็นเลือดสดที่ไหลออกมาหลังจากเรียนวิชากระบี่นี้เป็นแล้ว เขาไม่ได้ตอบคำถามของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส แต่ถามว่า “เด็กหนุ่มนั่นไม่ได้ตายใช่ไหม?”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “เดิมทีก็ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว จะเรียกว่าตายได้อย่างไร แต่หากพูดถึงแค่เด็กหนุ่มที่เกิดจากการนำจิตวิญญาณมาประกอบรวมกัน ไม่พูดถึงกวนจ้าว กลับถือว่าตายอย่างจริงแท้แน่นอนแล้ว เมื่อเด็กหนุ่มตายไป กวนจ้าวก็ตายเพิ่มมากขึ้น พูดประโยคที่ชวนหดหู่กับเจ้าอีกสักคำ จิตแห่งกระบี่ที่แท้จริงของกวนจ้าวไม่ค่อยเหมือนกับของหลงจวิน อันที่จริงยังไม่เคยทรยศจากวิถีกระบี่ ดังนั้นจิตวิญญาณส่วนหนึ่งที่สำคัญที่สุดของกวนจ้าวจึงยังหลบซ่อนอยู่ในภูเขาทัวเยว่ จงใจไม่นำออกมามอบให้เด็กหนุ่มคนนั้น ไม่อย่างนั้นหากจิตดั้งเดิมที่แท้จริงของกวนจ้าวเผยตัวบนโลก แล้วยังได้เม็ดกระบี่นั้นหลอมรวมเข้าไปในจิตแห่งกระบี่ เมื่อกวนจ้าวกลับคืนมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ สำหรับพวกสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว ก็เท่ากับการหาปัญหาใส่ตัวชัดๆ”
เฉินชิงตูชี้ไปยังชุดคลุมยาวขาดวิ่นที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มปีศาจใหญ่ “ส่วนท่านผู้นี้ หลงจวินในอดีต เป็นคนที่เคียดแค้นใต้หล้าไพศาลมากที่สุด ปีนั้นถูกข้าลากไปที่ภูเขาทัวเยว่ด้วยกัน ยามออกกระบี่กลับไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย ถือเป็นเซียนกระบี่ที่อยากตายเป็นคนแรกสุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่เลยกระมัง ตายไปครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรติดค้างกับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีก ควรจะได้ใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่นักโทษอาญาที่ถูกเนรเทศมาถามกระบี่กับใต้หล้าไพศาลแล้ว ข้าเข้าใจได้ แต่รับไม่ได้ ดังนั้นผู้ที่สามารถมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ต้องไม่มีผู้ฝึกกระบี่ ‘หลงจวิน’ เป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน”
เฉินชิงตูร้องเอ๊ะหนึ่งที ก่อนจะพูดอย่างประหลาดใจ “เจ้าไม่มีความรู้สึกละอายใจต่อผู้อาวุโสกวนจ้าวสักนิดเลยหรือ? นี่ไม่เหมือนเจ้าเฉินผิงอันเท่าไรเลยนะ”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างเฉยเมย “อย่าว่าแต่เด็กหนุ่มที่สติไม่ดีคนนั้นเลย ต่อให้ร่างจริงของผู้อาวุโสกวนจ้าวมาปรากฏตัวตรงหน้าข้า แล้วกล้าพูดประโยคแบบนั้นออกมา ข้าก็ฟันเขาให้ตายได้เหมือนกัน”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางทิศใต้
เมื่อผู้เฒ่าชุดเทาจากไป ปีศาจใหญ่สิบสี่ตนก็พากันถอยร่น ปีศาจใหญ่ตนอื่นๆ ก็ถอนกำลังออกไป
เฉินผิงอันหลับตาลง มารดามันเถอะ ถึงกับขอบเขตถดถอยเสียได้ แล้วยังถดถอยรวดเดียวไปหลายขอบเขต ยังดีที่อาศัยประสบการณ์ท่องอุตรกุรุทวีปก่อนหน้านี้มาพยายามฝืนแบกรับทัณฑ์ฟ้าดินทั้งสองเอาไว้ได้ จึงสามารถหาข้อชดเชยโดยเลื่อนขั้นให้ผู้ฝึกยุทธได้ ขอแค่สะพานแห่งความเป็นอมตะไม่ขาดสะบั้น วัตถุแห่งชะตาชีวิตที่สำคัญทั้งสี่ชิ้นยังคงอยู่ครบ ตอนนี้ตนเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้า ขอบเขตถดถอยชาติสุนัขแค่ไม่กี่ขอบเขตก็ไม่ถือว่าร้ายแรงนัก ขอแค่อาศัยกระบี่ที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสสอนให้ พยายามบ่มเพาะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตตามความหมายที่แท้จริงเล่มหนึ่งขึ้นมาให้ได้ ก็เรียกว่าโชคมาพร้อมเคราะห์…
หนิงเหยาแบกเฉินผิงอันขึ้นหลัง
ช่วงเสี้ยวนาทีสุดท้ายก่อนที่สติสัมปชัญญะของเฉินผิงอันจะวูบหายไปอย่างสิ้นเชิง เขาได้ยินเสียงแตรสัญญาณแว่วๆ
การโจมตีเมืองเริ่มขึ้นแล้ว