เฉินผิงอันลืมตาขึ้นก็มีกระบี่บินสี่เล่มปรากฏตัวอย่างพร้อมเพรียงแทบจะในเสี้ยววินาที ชูอีกำลังขอคุณความชอบ สืออู่ยังคงว่าง่ายอยู่ดังเดิม ส่วนซงเจินและไฮเหลย ถึงอย่างไรก็เป็นแค่กระบี่จำลอง แม้ว่าจะผ่านการหลอมใหญ่มาแล้วก็ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะมีสติปัญญาได้อย่างชูอีสืออู่
ในห้องเล็กๆ อบอวลไปด้วยกลิ่นยาที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุด
สีท้องฟ้านอกหน้าต่างใกล้เป็นสีเหลืองส้มของยามสนธยา
หลับตาลงสัมผัสถึงภาพบรรยากาศอันพร่าเลือนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ห่างออกไป พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง เฉินผิงอันก็เก็บกระบี่บิน จิตวิญญาณจมจ่อมอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์ ตรวจสอบโรคที่อาจจะทิ้งไว้หลังศึกใหญ่ หลักๆ คือสำรวจไปตามช่องโพรงลมปราณที่สำคัญทั้งสี่แห่ง
สงครามของผู้ฝึกตน การจับคู่ต่อสู้กัน หากช่องโพรงลมปราณแห่งชีวิตกลายเป็นซากปรักหักพังที่คล้ายกับซากสนามรบ ก็แสดงว่ารากฐานของมหามรรคาได้รับความเสียหาย
เพียงแต่ว่าจิตเมล็ดงาเพิ่งจะปรากฏกายก็มีมังกรเพลิงเลื้อยมาด้วยท่าทางดุดัน บนหัวของมังกรคือคนจิ๋วสีทองที่ยืนอยู่ ยังคงสวมชุดลัทธิขงจื๊ออยู่เหมือนเดิม นอกจากพกกระบี่แล้วยังมีตำราสีทองเล่มนั้น เพียงแต่ว่าตัวมันกลายเป็นคนหัวโล้นน้อยๆ คนหนึ่ง
คนจิ๋วสีทองยืนอยู่บนหัวของมังกรเพลิง ถลึงตาจ้องมองเฉินผิงอันอย่างดุดัน ตั้งท่าพร้อมโจมตีทุกเมื่อ
เฉินผิงอันแสร้งวางมาดข่มขู่ให้กลัว “อย่าด่านะ หากข้าอำมหิตขึ้นมา แม้แต่ตัวเองก็ยังด่าได้”
เจ้าหัวโล้นน้อยจะยังสนเรื่องพวกนี้อีกหรือ? เปิดปากได้ก็ด่ากราดทันที
เฉินผิงอันจะด่าตอบโต้กับคนจิ๋วสีทองจริงๆ จังๆ ก็คงไม่ได้ จึงได้แต่แสร้งทำตัวหูหนวกเป็นใบ้ เพราะถึงอย่างไรหากไม่ได้มันช่วยลาดตระเวนฟ้าดินแห่งเล็ก ควบคุมลมปราณที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธเฮือกนั้นไม่ให้ไปรบกวนการโคจรของปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณ ไม่อย่างนั้นเมื่อผ่านศึกใหญ่ครั้งนี้ไป จิตใจของเฉินผิงอันจะเข้าสู่สภาวะหลับใหลเหมือนตายไปครึ่งตัว ปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธกับปราณวิญญาณของผู้ฝึกตน สองฝ่ายตีกันจนไอร้อนลอยระอุขึ้นฟ้ามาตั้งนานแล้ว ถึงเวลานั้นจะเป็นดั่งน้ำค้างแข็งที่ตกลงบนหิมะ ภัยร้ายซ่อนแฝงไร้ที่สิ้นสุด
ในจวนน้ำ ปราณวิญญาณแห้งขอดไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ลายน้ำบนภาพวาดฝาผนังหม่นหมองไร้สีสัน บ่อน้ำเล็กๆ ก็แห้งขอด แต่รากฐานของตราประทับอักษรน้ำ ภาพวาดฝาผนังและบ่อน้ำขนาดเล็กกลับไม่ได้รับความเสียหาย แต่ก็แน่นอนว่าไม่ได้ไร้ความเสียหายซะเลย ก็แค่มีโอกาสที่จะซ่อมแซมให้กลับมาดีได้อีกครั้ง ยกตัวอย่างเช่นสีสันบนภาพวาดฝาผนังหลุดร่อนเล็กน้อย ภาพเทวรูปองค์เทพวารีที่เดิมทีก็ยังไม่มั่นคงยิ่งส่ายไหวเตรียมแตกสลาย เทพวารีหลายองค์ที่ราวกับถูกแต้มนัยน์ตา แสงสีทองที่เดิมทีแจ่มจ้าบริสุทธิ์ก็หม่นหมองลงไปเล็กน้อย
ตลอดทั้งจวนน้ำเห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึม พวกเด็กจิ๋วชุดเขียวไม่มีงานอะไรให้ทำ ต่อให้เป็นสตรีที่ฝีมือเก่งกาจแค่ไหน แต่หากไร้วัตถุดิบก็ยากจะปรุงอาหารดีๆ ออกมาได้ พวกมันเงยหน้ามองดวงจิตเมล็ดงาของเฉินผิงอัน แม้ปากจะไม่พร่ำบ่น ทว่าแต่ละคนหัวคิ้วขมวดมุ่นไม่คลาย สายตาฉายแววตำหนิ เฉินผิงอันจึงได้แต่รับรองกับพวกมันว่าจะพยายามช่วยหาข้าวของเครื่องใช้มาเสริมในบ้าน นำความมีชีวิตชีวากลับคืนมาให้ที่นี่ พวกคนจิ๋วชุดเขียวไหล่ลู่คอตก ไม่ค่อยเชื่อเท่าใดนัก
ตรงประตูใหญ่ของจวนน้ำ คนจิ๋วชุดทองนั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวมังกรเพลิง ถลึงตาใส่พวกคนจิ๋วชุดเขียวทั้งหลาย
เจ้าพวกตัวน้อยที่ไร้ชีวิตชีวารีบลุกขึ้นยืนน้อมส่งเฉินผิงอันจากไปทันที
ออกมาจากจวนน้ำ คนจิ๋วชุดทองก็เริ่มขี่มังกรเพลิงไล่ตามไปด่าเฉินผิงอันอีกครั้ง
ตรงศาลภูเขาและจวนน้ำสองแห่งก็มีสภาพพอๆ กับจวนน้ำที่ต้องได้รับการซ่อมแซม ต้องอาศัยเงินเทพเซียนและวัตถุวิเศษห้าธาตุมาช่วยเติมหลุมให้เต็ม
ความเสียหายของช่องโพรงสำคัญสามแห่งและวัตถุแห่งชะตาชีวิตเป็นเหตุให้เฉินผิงอันขอบเขตถดถอยไปทีเดียวสามขั้น ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสอง
ข่าวดีก็คือ ปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่ผ่านการปรับปรุงจากอาเหลียงผ่านทะลุปรุโปร่งครบทุกด่านแล้ว
ชูอี สืออู่ครอบครองช่องโพรงลมปราณสำคัญสองแห่ง ยังคงใช้แท่นสังหารมังกรขัดเกลาคมกระบี่ต่อไป
ช่องโพรงที่แรกเริ่มสุดมีปราณกระบี่ ‘เล็กจ้อย’ สามเส้นขดตัวอยู่ เหลือเพียงแค่แห่งสุดท้าย จึงเหมือนเรือนที่ว่างเปล่า รอคอยให้คนเข้ามาอยู่
รอแค่ให้เฉินผิงอันฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่สมชื่อมากกว่าชูอีสืออู่ออกมา และเขาเองได้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง
การที่มิอาจฝ่าด่านสุดท้ายของปราณกระบี่สิบแปดหยุดได้เสียที ประเด็นสำคัญนั้นอยู่ที่ช่องโพรงที่ปราณกระบี่กลุ่มนั้นเคยอยู่ได้สร้าง ‘ด่านยิ่งใหญ่’ ที่ขัดขวางกองทัพม้าเหล็กของปราณกระบี่ขึ้นมาอย่างที่มองไม่เห็น
เฉินผิงอันพลันหัวเราะ เจ้าคนจิ๋วสีทองหัวโล้นนั่น มองดูท่าทางแล้วน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย
คิดไม่ถึงว่าความคิดนี้เพิ่งจะเกิดขึ้น ตรงหน้าอกก็เหมือนถูกหมัดกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าเข้าอย่างจัง เฉินผิงอันพ่นลมหายใจขุ่นมัวและเลือดข้นเหนียวหนืดออกมาคำหนึ่ง
เจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนี้เลยหรือ ไปเรียนรู้มาจากใครกัน? คงจะเรียนมาจากลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนกระมัง
เฉินผิงอันสวมรองเท้าลงจากเตียงมาเดินได้อย่างไม่มีปัญหา
ป๋ายหมัวมัวที่เฝ้าอยู่ในระเบียงด้านนอกตลอดเวลายิ้มกล่าวว่า “ท่านเขยฟื้นแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันเปิดประตู ถามว่า “ป๋ายหมัวมัว ข้าหลับไปนานแค่ไหน?”
ป๋ายหมัวมัวเอ่ย “ไม่นาน แค่สามวันสามคืนเท่านั้น”
เฉินผิงอันถอนหายใจโล่งอก “การศึกบนหัวกำแพงเมืองเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
ป๋ายหมัวมัวยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่ “จะว่าไปแล้วก็แปลก ก่อนหน้านี้จัดขบวนทัพเอิกเกริกขนาดนั้น รอจนโจมตีเมืองเข้าจริงๆ กลับยังเป็นการต่อยตีกันเล็กๆ น้อยๆ อยู่เหมือนเดิม ใช้วิธีการโจมตีเมืองที่ไม่ต่างจากสองครั้งก่อนหน้านี้ มีแต่พาตัวมาตายเท่านั้น”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที หมุนตัวเดินไปยกม้านั่งยาวออกมาวางในระเบียง นั่งลงพูดคุยกับป๋ายหมัวมัว
คำพูดของป๋ายหมัวมัว แน่นอนว่าเพื่อให้เขาสบายใจเท่านั้น
แม้มองภายนอกแล้ว เรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไรป๋ายหมัวมัวก็ไม่มีทางพูดจาส่งเดชกับเรื่องใหญ่เช่นนี้ เพียงแต่ว่าความจริงเบื้องหลัง ความรู้สึกหายใจไม่ออก เมฆดำที่กดทับลงบนนคร ลมฟ้าลมฝนที่กำลังจะมาเยือน ไม่มีทางที่ป๋ายหมัวมัวจะสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
การศึกหลายครั้งก่อนหน้านี้ที่เป็นดั่งฟ้าร้องดังสนั่นแต่ฝนที่ตกจริงกลับบางเบา ล้วนเป็นแค่การเตรียมการไว้ล่วงหน้าเท่านั้น
การปรากฎตัวของปีศาจใหญ่ทั้งสิบสี่ตนต้องไม่ใช่แค่มาชมกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นเพื่อนผู้เฒ่าชุดเทาเท่านั้น
ป๋ายหมัวมัวมองเฉินผิงอันที่มีสีหน้าเครียดขรึมแล้วเอ่ยสัพยอกว่า “ท่านเขยไม่รีบไปที่หัวกำแพงเมืองหรือ?”
เฉินผิงอันตอบ “รีบร้อนไม่ได้ก็อย่ารีบเลยจะดีกว่า รอให้ข้ารักษาอาการบาดเจ็บจนดีขึ้นบ้างแล้วค่อยหาวิธีปิดหูปิดตาคนอื่น จะได้ไปช่วยงานที่หัวกำแพงเมืองได้ ไม่อย่างนั้นข้าอยู่ข้างกายหนิงเหยา ต่อให้จะไม่ช่วยให้เสียเรื่อง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็ยังจะแย่กว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้มาก อย่างมากสุดสองวัน ขอให้พลังการต่อสู้ของข้าฟื้นคืนมาเกินครึ่งเสียก่อน ข้าก็สามารถเดินขึ้นบนหัวกำแพงเมืองได้แล้ว”
ป๋ายหมัวมัวพยักหน้ารับ “ก็จริงนะ ตอนนี้ท่านเขยคือสามอันดับแรกที่ต้องฆ่า หากไม่ระวังจะต้องดึงดูดความสนใจจากปีศาจใหญ่ตนสองตนแน่นอน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แค่แปบเดียวลำดับรายชื่อก็พุ่งพรวดขึ้นสูงขนาดนี้เลยหรือ? ใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้ความสำคัญกับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสองคนหนึ่งขนาดนี้เชียว? เข้าใจแล้ว เจตนาช่างชั่วร้ายจริงๆ เห็นได้ชัดว่าต้องการจะทำให้ผังหยวนจี้ ฉีโซ่วและเกาเหย่โหวโมโหตาย”
ป๋ายหมัวมัวหัวเราะอย่างชอบใจ จากนั้นก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “หลักการเหตุผลมากมาย ข้าล้วนเข้าใจดี ยกตัวอย่างเช่นช่วยป้อนหมัดให้ท่านเขยก็ควรจะลงมือให้หนักหน่อย ถึงจะมีประโยชน์ แต่ถึงอย่างไรก็ทำตัวโหดร้ายอำมหิตอย่างเจ้าน่าหลันชาติสุนัขผู้นั้นไม่ได้ ท่านเขยเองก็ท่องยุทธภพมาจนเคยชิน มีประสบการณ์การต่อสู้โชกโชน อันที่จริงไม่ควรให้ข้าต้องมากลัดกลุ้มด้วยซ้ำ”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “สถานการณ์หมากบนกระดานเกิดขึ้นใหม่เรื่อยๆ ต่อให้ยุทธภพจะอันตรายแค่ไหน การเข่นฆ่าบนภูเขาจะโหดร้ายเท่าไร ก็ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะทัดเทียมกับการโจมตีเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ได้ ที่ใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกตนเซียนดินคนหนึ่งตายไป ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้าเสมอ อย่าว่าแต่ป๋ายหมัวมัวที่เป็นกังวลเลย ตัวข้าเองยิ่งกลัวมากกว่า แต่ก็เพราะว่ากลัว เวลาอยู่ว่างๆ ถึงได้คอยคิดเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยให้มากขึ้น”
เฉินผิงอันยื่นมือสองข้างออกมาวาดเป็นกระดานหมากหนึ่งอัน จากนั้นก็วาดช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ลงในกระดานหมาก ก่อนเอ่ยเบาๆ ว่า “หากบอกว่ากระดานหมากที่ใหญ่ขนาดนี้ สองฝ่ายที่คุมเชิงกันคือใต้หล้าเปลี่ยวร้างกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ถ้าอย่างนั้นผู้เฒ่าชุดเทาก็คือฝ่ายหนึ่งที่วางหมาก ฝีมือในการเล่นหมากล้อมสูง เม็ดหมากเยอะ ส่วนเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็คือนักเล่นฝั่งของพวกเรา ขอบเขตของข้าต่ำ การเข้าสู่สนามรบต่อจากนี้ สิ่งที่ต้องทำก็คือพยายามอำพรางตน แสดงความอ่อนแอ สร้างกระดานหมากเล็กๆ ที่ข้าสามารถควบคุมได้ขึ้นมาบนกระดานหมากขนาดใหญ่นี้อย่างเงียบ เบื้องล่างฟ้าดินที่กว้างใหญ่มีฟ้าดินขนาดเล็กที่ข้าเป็นผู้ควบคุม โอกาสชนะก็จะมีมาก เรื่องไม่คาดฝันจะมีน้อย ดังนั้นหากตอนนั้นไม่เป็นเพราะฉุกละหุกเกินไปจนไม่มีเวลาให้ข้าครุ่นคิดไตร่ตรองให้มาก ข้าก็ไม่คิดจะออกจากเมืองไปเข่นฆ่าศัตรูเร็วเกินไปนัก ตั้งแต่สงครามเริ่มต้นถึงสิ้นสุดลง ข้านึกอยากจะให้เจ้าพวกสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่มีโอกาสได้รู้ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่มีคนผู้หนึ่งที่ชื่อเฉินผิงอันเลยด้วยซ้ำ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาแกว่งส่าย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยังดีที่นาทีที่ออกจากนครก็เคยชินกับการคิดให้มากขึ้นแล้ว”
อันที่จริงการเดิมพันของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกับผู้เฒ่าชุดดำนั้นมีความลี้ลับใหญ่ซ่อนอยู่
หรือถึงขั้นพูดได้ว่าก็เพราะการเดิมพันครั้งนั้นของเฉินชิงตูที่ทำให้เฉินผิงอันตัดสินใจว่าจะใช้กลยุทธใดรับมือกับศัตรูในท้ายที่สุดได้ในเสี้ยววินาที
หลักการนั้นเรียบง่ายมาก เฉินผิงอันมีความสามารถมากน้อยแค่ไหน เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมองปราดเดียวก็รู้หมดทุกอย่าง ถึงขั้นที่ว่าอาจจะมองเห็นความจริงได้แจ่มชัดยิ่งกว่าศิษย์พี่ใหญ่อย่างจั่วโย่วด้วยซ้ำ
และเฉินชิงตูเองก็มองตื้นลึกหนาบางคร่าวๆ ของเด็กหนุ่มหลีเจินออกเช่นกัน
ดังนั้นวินาทีนั้นเฉินผิงอันก็เข้าใจกระจ่าง ไม่ต้องแลกชีวิตกับศัตรูอย่างอำมหิต
แล้วก็ไม่ควรคิดจะเอาชีวิตรอด แต่ต้องหวังถึงชัยชนะ
ส่วนหลีเจินผู้นั้น เขาประเมินตำแหน่งของตัวเองในใจของผู้เฒ่าชุดเทาไว้สูงเกินไป
ลูกศิษย์ที่ผู้เฒ่าชุดเทาต้องการอย่างแท้จริงควรจะเป็น ‘กวนจ้าว’ คนใหม่เอี่ยมที่เปลี่ยนแปลงจิตแห่งเต๋า ขณะเดียวกันก็สืบทอดปณิธานกระบี่ทั้งหมดเอาไว้ ถึงจะถูก
ในฐานะบุคคลที่เป็นดั่งการแสดงออกของมหามรรคาในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ความสำคัญที่เขามอบให้หลีเจินลูกศิษย์ผู้สืบทอดนั้น อย่างมากสุดก็แค่เท่าเทียมกับหนิงเหยาแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น
ในฐานะเม็ดหมากเม็ดหนึ่งที่ถูกวางลงบนกระดานหมาก แต่ไม่รู้ว่าตัวเองคือหมากที่ถูกทอดทิ้ง ไม่พยายามทดลองเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เป็นดั่งทางตัน นั่นจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
ควรจะเรียนรู้ไว้เป็นบทเรียน
ก่อนหน้านี้ก็เป็นไหวเฉียนที่ตายอยู่ในอุตรกุรุทวีป ภายหลังก็คือหลีเจินที่ตายอยู่เบื้องใต้กำแพงเมืองปราณกระบี่
คนหนึ่งคือลูกรักแห่งสวรรค์จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อีกคนหนึ่งคือชะตาชีวิตของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
เฉินผิงอันยกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้น “แอบดื่มเหล้าไม่กี่อึกเท่านั้น ไม่ดื่มเยอะแน่นอน หมัวมัวอย่าเอาไปฟ้องล่ะ”
สีหน้าของป๋ายหมัวมัวอบอุ่นมีเมตตา เอ่ยเนิบช้าว่า “ขอแค่ท่านเขยไม่ดื่มจนเมามาย ต่อให้ดื่มมากหน่อยก็ไม่เป็นไร ท่านเขยทำอะไร ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ล้วนทำให้คนวางใจได้เสมอ”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าไปไม่กี่อึกก็สำลักไม่หยุด เพียงไม่นานก็เก็บน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงไป
ความเคลื่อนไหวน้อยนิดแค่นี้ของท่านเขยยังไม่ถึงขั้นทำให้หญิงชราเป็นกังวลใจ เพราะถึงอย่างไรสงครามใหญ่ครั้งนี้ ส่วนที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดของท่านเขยก็คือเรือนกายของผู้ฝึกยุทธ
คาดว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอแค่อวี้เจวี้ยนฟูถามหมัดกับท่านเขยของตนครั้งหนึ่งก็จะต้องมีความรู้สึกเหมือนห่านชนกำแพงครั้งหนึ่งกระมัง
ป๋ายหมัวมัวถามเสียงเบา “ทัณฑ์สวรรค์และทัณฑ์ปฐพีอันตรายแค่ไหน เหตุใดท่านเขยต้องเสี่ยงอันตรายมากขนาดนั้นด้วย”
เพียงแค่ได้ยินคำบอกเล่าจากน่าหลันเย่สิงหลังจบเรื่อง จนถึงตอนนี้ป๋ายหมัวมัวก็ยังหวาดผวาอยู่ไม่คลาย
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “ก่อนหน้านี้เดินทางไปท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีป สำหรับทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆ โชควาสนาของบ่อสายฟ้า ล้วนไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับข้า อันที่จริงรากฐานมหามรรคาของการโคจรทั้งสองอย่างนั้นมีกฎเกณฑ์ที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นเมื่อข้ารับมือกับมันจึงไม่ถึงกับลนลานมากเกินไปนัก ดังนั้นในหลายๆ ครั้งจึงต้องพึ่งดวง อันที่จริงการต่อสู้ครั้งนั้นหลีเจินเองก็คิดเยอะเหมือนกัน เพียงแต่เขาโชคไม่ดีเท่าไร จะว่าไปแล้วหากเปลี่ยนข้ามาเป็นหลีเจิน เมื่อต้องเข่นฆ่ากับคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ควรจะเอาเรื่องของ ‘ดวง’ และการ ‘คว้าชัยชนะ’ คิดรวมเข้าไปด้วย จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะหลีเจินยัง…เด็กเกินไป หากหลีเจินผ่านศึกโจมตีเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปแล้ว อายุมากกว่านี้อีกหน่อย เขาก็จะกลายเป็นคู่ต่อสู้คนหนึ่งที่น่ากลัวมาก”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หัวเราะอยู่กับตัวเอง
ออกหมัดออกกระบี่อย่างเต็มกำลังเพื่อสังหารหลีเจิน
ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่สาแก่ใจ
หลีเจินคนต่อไปที่จะถูกภูเขาทัวเยว่ประกอบเลือดเนื้อขึ้นมาใหม่ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่หลีเจินแล้ว พูดถึงแค่จิตวิญญาณที่เป็น ‘ของข้าที่แท้จริง’ ไม่พูดถึงตบะขอบเขต เมื่อเทียบกับไหวเฉียนที่จุดตะเกียงแห่งชะตาชีวิตต่อวิญญาณแล้วก็ยังเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
หลีเจิน หลีเจิน ตั้งชื่อได้ไม่ดีเลยจริงๆ (หลีเจินแปลว่าอยู่ห่างจากความเป็นจริง ไม่ใช่ความจริง)