หลิวเสี้ยนหยางยื่นมือมากดศีรษะเฉินผิงอัน “เจ้าช่วยเจ้าขี้มูกยืดน้อยทำเรื่องชดเชยความผิดมากมายขนาดนั้น ดีมากแล้ว ดีจนดีไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็อ่านตำราอริยะปราชญ์มาแล้วหลายเล่ม จึงรู้ว่าใต้หล้านี้ขาดคนโง่ที่ชอบรวบปัญหามาสู่ตัวอย่างเจ้า”
หลิวเสี้ยนหยางยกมือขึ้นเบาๆ จากนั้นก็ฟาดผลัวะลงไป “แต่จนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังรู้สึกแย่อยู่แบบนี้ ไม่ดีมากๆ ไม่ดีไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว อย่างเช่นข้า หลิวเสี้ยนหยางเป็นหลิวเสี้ยนหยางก่อน แล้วถึงได้มาเป็นบัณฑิตแบบครึ่งๆ กลางๆ ดังนั้นข้าก็แค่ไม่อยากให้เจ้ากลายเป็นคนโง่คนนั้น ความเห็นแก่ตัวเช่นนี้ ขอแค่ไม่ทำร้ายคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร”
เฉินผิงอันเอ่ย “เหตุผลข้าล้วนเข้าใจดี”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มจืดเจื่อน “ก็แค่ทำไม่ได้ หรือไม่ก็รู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดีพอ ใช่ไหม? ก็เลยรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “อันที่จริงด่านของกู้ช่านนั้น ข้าผ่านด่านในใจมาได้นานแล้ว ก็แค่พอเห็นวิญญาณเร่ร่อนมากมายขนาดนั้นก็ยังอดนึกถึงพวกเราสามคนในปีนั้นขึ้นมาไม่ได้ เกือบจะอดนึกว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่ไหว มันทำให้ข้าคิดถึงตอนที่กู้ช่านโดนถีบ เด็กตัวแค่นั้น เจ็บปวดจนนอนกลิ้งอยู่กับพื้น เกือบจะต้องตายไปแล้ว นึกถึงปีนั้นหลิวเสี้ยนหยางที่เกือบจะถูกคนซ้อมตายอยู่ในตรอกหนีผิง แล้วก็คิดถึงตัวเองที่เกือบจะต้องหิวตาย ได้แต่อาศัยข้าวของเพื่อนบ้านมาประทังชีวิตจนลืมตาอ้าปากได้ ดังนั้นตอนที่อยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนจึงอยากทำอะไรให้มากหน่อย ข้าไม่ได้ทำร้ายใคร แล้วข้ายังสามารถปกป้องตัวเองได้ ในเมื่อในใจอยากทำ อีกทั้งยังทำพอจะทำได้ แล้วทำไมถึงจะไม่ทำเล่า?”
หลิวเสี้ยนหยางเองก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนกัน เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงไม่ออกมาจากบ้านเกิด ไม่มีข้าไม่ได้จริงๆ เสียด้วย”
เมื่อคนคนหนึ่งมีอุดมการณ์ ก็มักจะต้องออกจากบ้านเกิดเสมอ
กว่าจะทำความฝันให้เป็นจริงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ในความฝันกลับอดคิดถึงบ้านไม่ได้
แต่สำหรับบ้านเกิดนั้น ก็เหมือนอย่างที่หลิวเสี้ยนหยางพูด เขาไม่ได้รู้สึกผูกพันหรือคิดถึงอะไรมากนัก แล้วก็ไม่มีอะไรที่ทำให้ปล่อยวางไม่ลง
อย่างมากสุดก็แค่เป็นห่วงเฉินผิงอันกับเจ้าขี้มูกยืดน้อยเท่านั้น แต่ความคิดถึงที่มีต่อฝ่ายหลังกลับอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับความคิดถึงที่มีต่อเฉินผิงอันได้ติด
สำหรับหลิวเสี้ยนหยางแล้ว ตนมีชีวิตได้ไม่เลว อันที่จริงก็ถือว่าเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดให้ตาเฒ่าหลิวแล้ว ทุกปีเวลาที่ต้องไปดื่มสุราคารวะหน้าหลุมศพ ติดภาพเทพทวารบาลช่วงเทศกาลปีใหม่ หรือซ่อมแซมบ้านบรรพบุรุษอะไร นับตั้งแต่เด็กมาหลิวเสี้ยนหยางก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก เรียกได้ว่าเป็นคนไม่อินังขังขอบกับเรื่องใด ทุกครั้งที่ต้องไปกราบไหว้หลุมศพบรรพบุรุษช่วงเดือนแรกของปีหรือช่วงเทศกาลชิงหมิง เขามักจะชอบไปขอกระดาษเงินสำเร็จรูปมาจากเฉินผิงอัน พอเฉินผิงอันบ่นอยู่คำสองคำ หลิวเสี้ยนหยางก็จะเถียงกลับว่า ข้าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตาเฒ่าหลิว วันหน้าสามารถช่วยตาเฒ่าหลิวแตกกิ่งก้านสาขา ควันธูปสืบเนื่องไม่ขาดสาย พวกบรรพบุรุษที่อยู่ใต้ดินก็ควรจะหัวเราะเบิกบานได้แล้ว ยังกล้าจะคาดหวังให้ลูกหลานที่มีชีวิตโดดเดี่ยวเป็นเด็กกำพร้าเป็นอย่างไรได้อีกเล่า? หากยินดีจะคุ้มครองเขาหลิวเสี้ยนหยาง เห็นแก่ความดีของลูกหลานตาเฒ่าหลิวจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็รีบมาเข้าฝัน บอกหน่อยว่าในเมืองเล็กมีเงินซ่อนไว้กี่ไหใหญ่ หากรวยเมื่อไหร่ อย่าว่าแต่เผากระดาษเงินอ่างเล็กๆ เลย ต่อให้เป็นม้ากระดาษคนกระดาษอ่างใหญ่หลายใบก็จะหามาให้ครบหมด
ใจของหลิวเสี้ยนหยางนั้นใหญ่มาก ใหญ่จนถึงขั้นที่ว่าเรื่องที่ตนเกือบจะถูกคนซ้อมตายทั้งเป็นก็ยังเอามาล้อเล่นได้ ต่อให้เจ้าขี้มูกยืดน้อยเอาเรื่องนี้มาล้อ เขาก็ไม่ถือสาแม้แต่น้อย ทว่าใจของเจ้าขี้มูกยืดน้อยกลับเล็กยิ่งกว่ารูเข็ม การจดจำความแค้นของคนหลายคน สุดท้ายความแค้นพวกนั้นมักจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ เมื่อบัญชีนั้นผ่านพ้นก็พลิกเปิดผ่านไป แต่การจดจำแค้นของคนบางคนกลับจะเบิกตากว้างคอยจ้องมองสมุดบัญชีอยู่ตลอดเวลา ยามอยู่ว่างๆ ก็มักจะพลิกเปิดกลับไปกลับมา อีกทั้งยังรู้สึกสาแก่ใจจากจิตดั้งเดิมที่แท้จริง ไม่รู้สึกว่าอึดอัดแม้แต่น้อย กลับกันนั่นยังทำให้รู้สึกว่าได้รับการเติมเต็มอย่างเปี่ยมล้นอีกด้วย
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ย “ขอแค่ตัวเจ้าเองเข้มงวดต่อตัวเอง คนบนโลกก็มีแต่จะเข้มงวดกับเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเป็นช่วงหลัง พวกคนกินอิ่มว่างงานเลยหาเรื่องคนดีก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ยิ่งวิถีทางโลกดีเท่าไร ถ้อยคำซุบซิบนินทาก็มากขึ้นเท่านั้น เพราะเมื่อวิถีทางโลกดีแล้ว ถึงได้มีแรงไปพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง วิถีทางโลกก็มีแต่จะยิ่งยอมรับคนที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ประโยชน์ของตนมากขึ้น หากวิถีทางโลกไม่ดีจริงๆ ก็ย่อมหุบปากกันไปเอง กินให้อิ่มยังไม่ง่าย สงครามวุ่นวายมีทั่วทุกหนแห่ง ไหนเลยจะมีคนเอาเวลาไปสนใจความดีเลวของคนอื่น ขนาดตัวเองจะเป็นหรือตายก็ยังแทบเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว หลักการเหตุผลเล็กน้อยแค่นี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
หลิวเสี้ยนหยางจึงเอ่ยต่อว่า “หากเจ้ารู้สึกว่าเรื่องของการสำรวมตนแม้ในยามที่อยู่เพียงลำพังคือเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง รู้สึกว่าเฉินผิงอันควรเปลี่ยนไปเป็นคนที่ดียิ่งกว่าเดิม ข้าก็คงคร้านจะโน้มน้าวเจ้าให้เปลืองน้ำลาย ถึงอย่างไรขอแค่คนไม่ตายก็พอแล้ว ดังนั้นข้าจึงขอให้เจ้าทำแค่เรื่องเดียวเท่านั้น อย่าตาย”
เฉินผิงอันเอ่ย “เรื่องไม่คาดฝันมีมากเกินไป จะพยายามก็แล้วกัน”
หลิวเสี้ยนหยางขมวดคิ้ว “อาจารย์ฉีของโรงเรียนเลือกให้เจ้าคุ้มครองเด็กกลุ่มนั้นให้ไปศึกษาต่อ เหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าถึงได้เลือกเจ้าให้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย คนมากมายบนภูเขาลั่วพั่วถึงได้เลือกเจ้าให้เป็นเจ้าขุนเขา หนิงเหยาเลือกเจ้าให้เป็นคู่รักเทพเซียน เหตุผลพวกนี้ต่อให้ใหญ่ให้ดีแค่ไหน ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะมาตายอยู่ที่นี่ ตายอยู่ในสงครามใหญ่นี้ พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย พวกคนที่เลือกเจ้าเหล่านี้ต่างก็ไม่มีใครหวังให้เจ้าต้องมาตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? กำแพงเมืองปราณกระบี่มีเฉินผิงอันเพิ่มมาคนหนึ่งก็ต้องรักษาเอาไว้ได้? ขาดเฉินผิงอันไปคนหนึ่งก็พิทักษ์ไว้ไม่ได้แล้ว? ไม่มีเหตุผลผายลมสุนัขเช่นนี้ แล้วเจ้าเองก็อย่าดึงเอาเหตุผลที่บอกว่ามีหรือไม่มีเฉินผิงอัน ทำได้เท่าไรก็ทำเท่านั้นมาพูดกับข้า ข้าจะยังไม่เข้าใจเจ้าอีกหรือ? ขอแค่เป็นเรื่องที่เจ้าคิดจะทำ จะขาดเหตุผลได้หรือ? เมื่อก่อนเจ้าไม่เคยอ่านตำราก็มีเหตุผลเป็นชุดๆ แล้ว ตอนนี้เคยได้อ่านตำรามาบ้าง คงยิ่งต้องหลอกตัวเองหลอกคนอื่นอย่างแน่นอน ข้าจะถามเจ้าเรื่องเดียว อยากมีชีวิตออกไปจากที่นี่หรือไม่ ทุกเรื่องที่ทำลงไปก็เพื่อให้มีชีวิตออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ใช่หรือไม่”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่ต่อคำ
หลิวเสี้ยนหยางถามต่อ “นั่นก็แสดงว่าไม่ อาศัยการเสี่ยงดวง? เสี่ยงว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จะรักษาไว้ได้อยู่ หนิงเหยาไม่ตาย จั่วโย่วไม่ตาย เพื่อนใหม่ทุกคนที่รู้จักล้วนไม่มีใครตาย? เจ้าเฉินผิงอันรู้สึกว่าหลังออกจากบ้านเกิดมาชีวิตราบรื่นเกินไปใช่หรือไม่? ในที่สุดโชควาสนาเฮงซวยนั่นก็หมุนกลับ เปลี่ยนให้คนที่ปีนั้นโชคร้ายที่สุดกลายมาเป็นคนที่โชคดีที่สุดแล้ว? ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ยิ่งตอนนี้เจ้าดวงขึ้นมากเท่าไร แต่ผลกลายเป็นว่าพอตัวเจ้าตายไป เล่นสนุกจนเลยเถิด เจ้าก็ยังคงเป็นแมลงน่าสงสารที่ดวงซวยที่สุดคนนั้นอยู่ดี?”
เฉินผิงอันมีโทสะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ถ้าอย่างนั้นข้าควรทำอย่างไร?! หากเปลี่ยนเจ้ามาเป็นข้า เจ้าจะทำอย่างไร?!”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ง่ายมาก ก็คุยกับหนิงเหยาก่อน ต่อให้กำแพงเมืองปราณกระบี่จะรักษาไว้ไม่ได้ คนทั้งสองก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ระหว่างนี้ก็สามารถทำเรื่องที่ทำได้ให้เต็มที่ ออกหมัดออกกระบี่ล้วนไม่ออมแรง ดังนั้นจำเป็นต้องถามหนิงเหยาว่านางคิดอย่างไรกันแน่ คิดจะลากเจ้าเฉินผิงอันมาตายด้วยกันที่นี่ กลายเป็นยวนยางที่ตายคู่ หรือหวังให้ตายคนหนึ่งรอดคนหนึ่ง ตายน้อยไปคนหนึ่งก็เท่ากับว่าได้กำไรแล้ว หรือคนทั้งสองจะร่วมแรงร่วมใจกัน พยายามให้คนทั้งสองที่รอดไปได้ต่างก็ไม่ละอายใจตัวเอง ยินดีคิดว่าต่อให้วันนี้จะขาดทุน แต่ในอนาคตก็จะชดเชยมาให้ได้ ถามความคิดของหนิงเหยาให้ชัดเจน ยังไม่ต้องสนว่าคำตอบของนางคืออะไร แล้วก็ไปถามศิษย์พี่อย่างจั่วโย่วว่าคิดอย่างไรกันแน่ หวังให้ศิษย์น้องเล็กทำอย่างไร จะให้ควันธูปสายของเหวินเซิ่งสืบเนื่องต่อไปไม่ขาด หรือจะอาศัยสถานะลูกศิษย์ของสายเหวินเซิ่งไปตายอยู่ในสงครามอย่างองอาจ ศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างกันแค่ใครตายก่อนตายหลังเท่านั้น สุดท้ายค่อยไปถามเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเฉินชิงตูว่าหากเจ้าเฉินผิงอันคิดอยากจะมีชีวิตรอด เขาจะขัดขวางหรือไม่ หากไม่ขวาง ยังพอจะช่วยเหลือได้บ้างหรือไม่ ความเป็นความตายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ หน้าตายังจะนับเป็นอะไรได้อีก”
หลิวเสี้ยนหยางผลักถ้วยเหล้าของตัวเองไปให้เฉินผิงอัน เอ่ยว่า “ลืมไปแล้วหรือว่า ตอนอยู่บ้านเกิดในปีนั้น พวกเราสามคนใครกันที่มีสิทธิ์จะพูดเรื่องหน้าตามากที่สุด? ไปขอร้องคนอื่น คนอื่นจะมอบให้เจ้าหรือ? หากขอแล้วมีประโยชน์ พวกเราสามคนใครจะคิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่? เจ้าขี้มูกยืดน้อยขอร้องคนอื่นไม่ให้ด่าแม่ของเขา หากขอแล้วสำเร็จ เจ้าก็คิดดูเถิดว่าปีนั้นเจ้าขี้มูกยืดน้อยจะโขกหัวให้คนสักกี่คน? หากเจ้าคุกเข่าโขกหัวกับพื้นก็สามารถเรียนวิชาการเผาเครื่องปั้นมาได้ เจ้าจะโขกหัวขอร้องหรือไม่? หากข้าโขกหัวจนหัวปูดเท่ากับสองหัวต่อกันแล้วจะมีเงิน จะได้เป็นนายท่านใหญ่ เจ้าว่าข้าจะไม่โขกหัวจนพื้นเป็นหลุมใหญ่หรอกหรือ? ทำไม ตอนนี้ได้ดิบได้ดีแล้ว เจ้าแมลงน่าสงสารของตรอกหนีผิงตนนั้นกลายเป็นเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่ว กลายเป็นเถ้าแก่รองของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว กลับกลายเป็นว่าไม่ต้องการชีวิต แต่ต้องการหน้าตาแทนอย่างนั้นหรือ? สุราแบบนี้ข้าดื่มไม่ลงหรอก ข้าหลิวเสี้ยนหยางอ่านตำรามาไม่น้อย แต่ก็ยังหน้าไม่อายสักเท่าไร รู้สึกละอายใจตนเองนัก มิอาจปีนป่ายตีสนิทกับเฉินผิงอันได้แล้ว”
เฉินผิงอันสีหน้าเลื่อนลอย ยื่นมือออกไปผลักชามเหล้าให้กลับไปที่เดิม
ดูเหมือนว่าเรื่องที่ทำได้จะมีเพียงแค่นี้
หลิวเสี้ยนหยางยื่นมือมาหยิบชามขาวใบนั้นขึ้น แล้วโยนลงไปบนพื้นที่อยู่ด้านข้าง ชามขาวแตกกระจาย พูดเสียงหยันว่า “แตกเพื่อความสงบกับผายลมสุนัขน่ะสิ ถึงอย่างไรข้าก็จะไม่มาตายอยู่ที่นี่ วันหน้ากลับไปถึงบ้านเกิดก็วางใจเถิด ตอนที่ข้าไปเยือนหลุมศพท่านอาและท่านอาสะใภ้ ก็จะบอกว่าลูกชายของพวกท่านไม่เลวเลย ลูกสะใภ้ของพวกท่านก็ไม่เลวเหมือนกัน เพียงแต่ว่าตายกันไปหมดแล้ว เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าพวกเขาได้ยินแล้วจะรู้สึกดีหรือไม่?”
ร่างของเฉินผิงอันทรุดลงอย่างห่อเหี่ยว ทั้งจิตใจ ปณิธานหมัด จิงชี่เสินล้วนทรุดลงไปด้วย เพียงแค่พึมพำว่า “ไม่รู้สิ หลายปีมานี้ข้าไม่เคยฝันถึงท่านพ่อท่านแม่สักครั้ง ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
หลิวเสี้ยนหยางพลันหัวเราะ หันหน้ามาถามว่า “น้องสะใภ้ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ด้านหลังเฉินผิงอันมีสตรีคนหนึ่งที่ท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทางมายืนอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็ก นางเงียบไปนาน สุดท้ายก็เปิดปากเอ่ยว่า “ใครที่คิดจะให้เฉินผิงอันตาย ข้าจะให้เขาตายก่อน หากเป็นตัวเฉินผิงอันเองที่คิดจะตาย ข้าชอบเขา ก็จะซ้อมเขาให้ร่อแร่ใกล้ตายเอง”