แต่เฉินผิงอันกลับเปลี่ยนหัวข้อคุยไปแล้ว “นอกจากเพื่อนคนนั้นของเจ้า คราวนี้คนของสกุลเฉินผู้รอบรู้ยังมีใครมาอีกบ้าง?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “เจ้าจะมาสนใจเรื่องพวกนี้ไปทำไม?”
เฉินผิงอันเองก็สะบัดชายแขนเสื้อ พูดหยอกล้อว่า “ข้าคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายเหวินเซิ่ง เจ้าสำนักสกุลเฉินอิ่งอินคือผู้สืบทอดของสายหย่าเซิ่ง เจ้าไปขอศึกษาต่ออยู่กับสกุลเฉินผู้รอบรู้ ตามระบบสายบุ๋นของใต้หล้าไพศาลแล้ว เจ้าลองว่ามาสิว่าลำดับศักดิ์นี้จะนับกันอย่างไร?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “บังเอิญนัก ครั้งนี้เจ้าประมุขสกุลเฉินก็มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เหมือนกัน ข้าเองก็รู้จักเขา มักจะขอความรู้จากท่านผู้เฒ่าอยู่เป็นประจำ ส่วนเรื่องที่ว่าสรุปแล้วลำดับศักดิ์ของพวกเราสองคนจะนับอย่างไรกันแน่ ก็รอให้ข้าถามผู้อาวุโสท่านนี้ก่อนค่อยว่ากัน”
เฉินผิงอันหุบยิ้ม แสร้งทำสีหน้ากระอักกระอ่วน ตอนที่ก้มหน้าดื่มเหล้ากลับรวมเสียงให้เป็นเส้นพูดกับหลิวเสี้ยนหยางเบาๆ ว่า “ไม่ต้องรีบร้อนกลับแจกันสมบัติทวีป จะอยู่ต่อในทักษินาตยทวีปก็ได้ แค่ไม่ต้องไปแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะใบถงทวีปกับฝูเหยาทวีปที่ห้ามไปเด็ดขาด บัญชีเก่าระหว่างภูเขาตะวันเที่ยงกับนครลมเย็นปล่อยทิ้งไว้ก่อนค่อยว่ากัน รอให้ตัวเองได้เป็นเซียนกระบี่เสียก่อน ไม่ใช่เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน แล้วจะฝ่าค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาตะวันเที่ยงได้อย่างไร? ข้าเคยคำนวณมาแล้ว หากไม่ใช้กลอุบายและวิธีการบ้างเลย ต่อให้เจ้าและข้ามีพลังการต่อสู้เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ก็ยังยากจะที่ได้เปรียบภูเขาตะวันเที่ยง ค่ายกลกระบี่ของพวกเขามิอาจดูแคลนได้ อีกทั้งตอนนี้ยังมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำเพิ่มมาอีกคน เขาปิดด่านนานเก้าปีแล้ว ดูจากสถานการณ์ต่างๆ ความเป็นไปได้ที่จะฝ่าด่านประสบความสำเร็จมีอยู่ไม่น้อย ไม่อย่างนั้นสองฝ่ายที่ลมและน้ำเปลี่ยนทิศ หลี่ถวนจิ่งอดีตเจ้าสวนลมฟ้าตายไป กว่าที่ภูเขาตะวันเที่ยงจะเงยหน้าอ้าปากได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยนิสัยของคนมากมายในศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยง ป่านนี้คงไปแก้แค้นสวนลมฟ้านานแล้ว ไม่มีทางอดทนรอให้หวงเหอปิดด่านและรอให้หลิวป้าเฉียวฝ่าทะลุขอบเขตเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน สวนลมฟ้าไม่ใช่ภูเขาตะวันเที่ยง ฝ่ายหลังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชสำนักต้าหลี ในเรื่องของความสัมพันธ์กับด้านล่างภูเขา หวงเหอกับหลิวป้าเฉียวสืบทอดนิสัยการวางตัวในสังคมจากหลี่ถวนจิ่งผู้เป็นอาจารย์ของพวกเขา นั่นคือลงจากภูเขาก็แค่ไปท่องอยู่ในยุทธภพเท่านั้น ไม่เคยเข้าร่วมกับราชสำนัก ดังนั้นหากพูดถึงแค่ความสัมพันธ์ควันธูปกับสกุลซ่งต้าหลี สวนลมฟ้าก็ด้อยกว่าภูเขาตะวันเที่ยงมากนัก แม้ว่าช่างหร่วนจะเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลี ไม่ว่าจะทางส่วนรวมหรือทางส่วนตัวต้าหลีก็ให้ความเคารพและอยากดึงเขามาเป็นพวก ดังนั้นภายหลังจึงแบ่งพื้นที่ขนาดใหญ่ในแถบขุนเขาเก่ายกให้สำนักกระบี่หลงเฉวียนไปด้วย แต่จิตใจของคนเป็นจักรพรรดิ ฮ่องเต้หนุ่มมีหรือจะยอมให้สำนักกระบี่หลงเฉวียนค่อยๆ กลายเป็นใหญ่ สุดท้ายฮุบครองกิจการทั้งหมดไปเพียงลำพัง? มีหรือจะยอมให้ช่างหรวนรวบรวมตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ของทวีปไปไว้ที่สำนักตัวเองคนเดียว อย่างมากสุดก็ใช้สำนักศึกษากวานหูเป็นเส้นแบ่ง สร้างสถานการณ์การคุมเชิงหนึ่งเหนือหนึ่งใต้ระหว่างสำนักกระบี่หลงเฉวียนกับภูเขาตะวันเที่ยงขึ้นมา ดังนั้นขอแค่มีโอกาสที่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนคนหนึ่งจะปรากฎตัวที่ภูเขาตะวันเที่ยง ต้าหลีก็ย่อมต้องให้ความช่วยเหลือภูเขาตะวันเที่ยงอย่างเต็มที่แน่นอน และต้าหลีก็มีคนมีความสามารถมากมาย เพื่อให้สะดวกต่อการสยบโชคชะตาของแคว้นจูอิ๋ง พวกเขาก็ย่อมต้องหน่วงเหนี่ยวสำนักกระบี่หลงเฉวียนต่อไป”
“สำนักอย่างภูเขาตะวันเที่ยงนี้ ต่อให้ผูกปมแค้นกับเจ้าและข้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ว่าการวางตัวเป็นคนก็ดี หรือวางตัวเป็นเทพเซียนบนภูเขาก็ช่าง ผู้ฝึกตนของภูเขาตะวันเที่ยงล้วนมีวิธีการรับมืออันยอดเยี่ยม อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง พูดถึงแค่สตรีน่าสงสารคนนั้น หากไม่พูดถึงเรื่องบุญคุณความแค้น ดูแค่จากผลลัพธ์ ถึงอย่างไรก็สามารถใช้ความรักกักขังหลี่ถวนจิ่งเอาไว้ได้ เป็นเหตุให้หลี่ถวนจิ่งมิอาจเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนได้ตลอดชีวิต ในช่วงเวลาระหว่างนี้ ศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงจะต้องพูดจารุนแรงกับสตรีคนนั้นไว้มากมายอย่างแน่นอน สามารถทำร้ายไปถึงจิตแห่งกระบี่และจิตแห่งมรรคาของหลี่ถวนจิ่งได้ ต้องไม่ได้ง่ายดายแค่เพราะสตรีผู้นั้นนิสัยร้ายกาจ ทรยศความรักลึกล้ำที่เขามีต่อนางเท่านั้น ด้วยสายตาและจิตใจอันกว้างขวางของหลี่ถวนจิ่งแล้ว เรื่องแค่นี้ย่อมไม่มีทางทำให้เขามอดดับไปได้ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าภูเขาตะวันเที่ยงทำให้หลี่ถวนจิ่งค้นพบความจริงอย่างหนึ่ง สตรีผู้นั้นรักหลี่ถวนจิ่ง นี่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน แต่ก็เพราะมีความรักลึกล้ำ สุดท้ายแล้วสตรีผู้นั้นกลับเลือกสำนักหรือไม่ก็ทำเรื่องที่หลี่ถวนจิ่งไม่อาจยอมรับ ยิ่งไม่อาจปล่อยวางได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้หลี่ถวนจิ่งจะฆ่านางตายไปแล้วก็ยังเคียดแค้นมายาวนานหลายร้อยปี ตระกูลแห่งหนึ่ง ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลเป็นอย่างไร สำนักแห่งหนึ่ง ขนบธรรมเนียมประจำสำนักเป็นอย่างไร ดูจากการเลือกและการละทิ้งที่พวกบุคคลใหญ่ๆ กระทำต่อเรื่องใหญ่ๆ แล้วก็มาดูนิสัยใจคอของเด็กรุ่นหลังที่พวกเขาอบรมสั่งสอนออกมา สุดท้ายค่อยดูนิสัยด้านการเลือกและสละผลประโยชน์ของคนลำดับล่าง ดูทั้งระดับบนกลางและล่าง ก็ยากที่จะผิดพลาดได้แล้ว ปีนั้นสตรีสกุลสวี่ของนครลมเย็นผู้นั้นเป็นทั้งพันธมิตรกับวานรย้ายภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยง แล้วก็วางแผนทำร้ายกันเองด้วย ตอนนี้เป็นอย่างไร ทั้งสองฝ่ายยังใช่พันธมิตรที่ความสัมพันธ์ยิ่งแน่นหนามั่นคงหรือไม่? จะว่าไปแล้วก็เพราะนิสัยเข้ากันได้ดี สันดานเหมือนกัน ผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์ตนเอง ส่วนมากแล้วภายนอกมักจะมีเพื่อนมากเสมอ ขอแค่เจ้าออกกระบี่แล้วไม่ทำร้ายไปถึงรากฐานและภายในของพวกเขา สหายภายนอกของภูเขาตะวันเที่ยงก็ยังคงเป็นสหายของภูเขาตะวันเที่ยง ถึงขั้นที่ว่าจะทำให้ผู้ฝึกตนจำนวนมากที่เดิมทีรู้สึกเฉยๆ ต่อภูเขาตะวันเที่ยงกลายมาเป็นเพื่อนของภูเขาตะวันเที่ยง หรืออาจถึงขั้นยินดีผดุงความเป็นธรรมแทนภูเขาตะวันเที่ยงด้วย”
“มาพูดถึงเด็กหญิงแซ่เถาในปีนั้นคนนั้นบ้าง นางกับบุตรชายเจ้าประมุขสกุลสวี่นครลมเย็นมีนิสัยเป็นอย่างไร หากเจ้ายินดีฟัง ข้าก็สามารถบอกเล่าเรื่องเล็กๆ สิบกว่าเรื่องให้เจ้าฟังได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย เพราะถูกขนบธรรมเนียมประจำตระกูลกล่อมเกลา พวกเขาจึงไม่ทำให้คนประหลาดใจแม้แต่น้อย ภูเขาตะวันเที่ยงในทุกวันนี้ไม่ใช่ภูเขาตะวันเที่ยงเหมือนตอนที่หลี่ถวนจิ่งมีชีวิตอยู่บนโลกอีกแล้ว แล้วก็ไม่ใช่ภูเขาตะวันเที่ยงที่เมื่อหลี่ถวนจิ่งลาจากโลกนี้ไปก็ไม่มีใครมาคอยข่มทับอีกแล้ว ตอนนี้คือสถานการณ์ที่ใหญ่ยิ่งกว่าซึ่งหนึ่งทวีปก็คือหนึ่งแคว้น ข้าและเจ้าจำเป็นต้องพิจารณาว่าควรจะสะบั้นความสัมพันธ์ควันธูประหว่างสกุลซ่งต้าหลีและภูเขาตะวันเที่ยงอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะตัดภูเขาตะวันเที่ยงออกจากพันธมิตรมากมายของพวกเขาได้ ก่อนจะถามกระบี่ ควรจะไล่เรียงความพัวพันของผลประโยชน์ระหว่างสามขุนเขาใหญ่ภายในของภูเขาตะวันเที่ยงได้อย่างไร ทำอย่างไรจึงจะมองนิสัยใจคอของบรรพจารย์ทุกคนในศาลบรรพจารย์ได้อย่างถ่องแท้ แล้วนำมาวิเคราะห์ถึงวิธีการอันเป็นดั่งสมบัติก้นกรุที่ภูเขาตะวันเที่ยงจะเอาออกมาใช้ยามที่เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ คิดเรื่องทั้งหมดนี้ให้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่อยออกระบี่ แบบนั้นการออกระบี่ที่เหมือนกันก็จะสามารถทำให้ศัตรูรู้สึกเจ็บปวดได้เป็นร้อยเท่า หลังออกกระบี่แล้วก็ไม่เพียงแต่ทำร้ายเรือนกายของอีกฝ่าย ยังต้องทำร้ายไปถึงจิตใจของอีกฝ่ายด้วย สองอย่างนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ผู้ฝึกตนรักษาบาดแผลก็แค่ปิดด่านเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้ภูเขาตะวันเที่ยงรู้สึกเคียดแค้นเหมือนมีศัตรูร่วมกัน กลับกลายเป็นหันมาช่วยให้พวกเขารวบรวมจิตใจคน แต่หากออกกระบี่ได้อย่างแม่นยำ นอกจากจะทำร้ายคนคนหนึ่งหรือคนหลายคนได้แล้ว ยังสามารถลามไปถึงจิตใจของคนได้เป็นวงกว้าง เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้เจ้าและข้าจะออกกระบี่อย่างสาแก่ใจ เก็บกระบี่กลับมาอย่างสะใจเต็มคราบแล้ว คนของภูเขาตะวันเที่ยงก็จะยังคงต้องกลัดกลุ้มไปอีกสิบปีร้อยปี และย่อมมีคนสิบคนร้อยคนช่วยออกกระบี่ต่อแทนเจ้าและข้า แต่ละกระบี่ทำลายไปถึงใจคน”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะ มองเฉินผิงอันที่เปลี่ยนจากคนใบ้ครึ่งตัวมาเป็นผีขี้บ่นโดยไม่ทันรู้ตัว แล้วหลิวเสี้ยนหยางก็พลันเอ่ยถ้อยคำที่ชวนประหลาดใจว่า “ขอแค่ตัวเจ้าเองยินดีจะมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่เหมือนเจ้าตอนที่ข้าเพิ่งรู้จักแรกๆ ที่ไม่เคยคิดว่าการตายเป็นเรื่องใหญ่อะไร ถ้าอย่างนั้นการที่เจ้าเดินออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็คือเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้ว เพราะอันที่จริงเจ้าเหมาะที่จะใช้ชีวิตในโลกอันวุ่นวายใบนี้ยิ่งกว่าใคร แบบนี้ข้าก็วางใจจริงๆ แล้ว”
เฉินผิงอันรู้สึกร้อนใจไม่น้อย จึงเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “สรุปว่าเจ้าฟังเข้าหูบ้างหรือไม่?!”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ฟังเข้าหูแล้ว ข้าไม่ใช่คนหูหนวกเสียหน่อย”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าระงับความอัดอั้นไปหนึ่งคำ
หลิวเสี้ยนหยางถามสัพยอกว่า “หลายปีมานี้เจ้าคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาเลยหรือ?”
เฉินผิงอันพูดเสียงขุ่น “ฝึกหมัดฝึกตนล้วนไม่เคยอยู่ว่าง เพราะฉะนั้นขอแค่มีเวลาว่างก็จะคิดถึงเรื่องนี้”
หลิวเสี้ยนหยางชี้นิ้วไปที่ชามเหล้า “พูดมากขนาดนี้ คอแห้งแล้วกระมัง”
เฉินผิงอันเพียงแค่เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ โดยไม่ทันรู้ตัว เขาก็ไม่มีความคิดที่จะดื่มเหล้าแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ย “เจ้าเข้าใจจริงๆ หรือไม่ว่าเหตุใดภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็นถึงได้เป็นเช่นนี้?”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “หมายความว่าอย่างไร?”
หลิวเสี้ยนหยางย้อนถาม “ทำไมถึงทำร้ายคนอื่นเพื่อตัวเอง? ทำในสิ่งที่ไม่ส่งผลดีต่อผู้อื่น? หรือการที่สร้างประโยชน์ต่อผู้อื่นชั่วขณะก็เป็นเพียงแค่การเสแสร้งอย่างชาญฉลาด เพราะนั่นจะเป็นการสร้างผลประโยชน์ที่ยาวนานให้แก่ตัวเอง?”
หลิวเสี้ยนหยางถามอีกว่า “แล้วเหตุใดถึงได้มีคนที่ยินดีทำประโยชน์แก่คนอื่น ทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น?”
หลิวเสี้ยนหยางถามเองตอบเองว่า “เพราะนี่คือคนสองประเภทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฝ่ายหนึ่งผลักไสวิถีทางโลก อีกฝ่ายหนึ่งใกล้ชิดกับวิถีทางโลก ฝ่ายแรกแสวงหาชื่อเสียงลาภยศ แสวงหาผลประโยชน์ที่เป็นของแท้แน่นอน เป็นของที่จับต้องได้จริง ต่อให้วัตถุหลายอย่างที่แสวงหาคือวัตถุที่สูงส่งจนมิอาจได้มาครอบครองในสายตาของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่แท้จริงแล้วกลับยังคงอยู่ในจุดต่ำ นี่ก็คือจิตใจของคนก่อนกำเนิดประเภทหนึ่ง แล้วก็เพราะว่าอยู่ต่ำ จึงเป็นเหตุให้จริงแท้และมั่นคง แต่ฝ่ายหลังกลับยินดีทำเพื่อตัวเอง ทว่าขณะเดียวกันก็ยินยอมทำเพื่อคนอื่น เพราะว่าเป็นการศึกษาค้นคว้าอย่างหนึ่ง แต่กลับอยู่บนจุดสูง สำหรับวิถีทางโลกแล้วจึงเป็นการใกล้ชิดกับจิตใจที่ได้รับการอบรมสั่งสอนหลังกำเนิด เอาการสละวัตถุที่จับต้องได้จริงและผลประโยชน์ เอาความเสียหายในระดับของที่จับต้องได้มาแลกเปลี่ยนกับความสบายในใจของตัวเอง แน่นอนว่ายังมีความรู้สึกเป็นเจ้าของซึ่งอยู่ในระดับที่ลึกลงไปยิ่งกว่า แล้วก็เพราะสูงและจับต้องไม่ได้ ดังนั้นจึงง่ายที่สุดที่จะทำให้ตัวเองผิดหวัง ของจริงกับของที่จับต้องไม่ได้ต่อสู้กันเอง ก็มักจะเป็นฝ่ายแรกที่หัวแตกเลือดไหลนองมากกว่า สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังเป็นเพราะฝ่ายแรกยืนหยัดที่จะคิดว่าวิถีทางโลกไม่ค่อยดี หากไม่ทำเช่นนี้ก็ไม่อาจมีชีวิตที่ดีได้แล้ว ส่วนฝ่ายหลังนั้นเชื่อว่าวิถีทางโลกจะต้องดีได้มากกว่าเดิม ดังนั้นคำตอบก็ง่ายมาก ผู้ฝึกลมปราณของภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็นมองดูเหมือนเป็นผู้ฝึกตน แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่พวกเขาแสวงหา ไม่ใช่มหามรรคา แต่เป็นแค่ผลประโยชน์เท่านั้น เป็นของจับต้องได้จริงที่อยู่ในระดับสูงกว่าของพวกจักรพรรดิ ขุนนาง แม่ทัพ พ่อค้าหาบเร่ คนตัดฟืน ขอบเขตแต่ละขั้นของผู้ฝึกลมปราณ วัตถุวิเศษแห่งฟ้าดินแต่ละชิ้น สามารถนำมาแปรเปลี่ยนเป็นโอกาสด้านเงินเทพเซียนได้กี่มากน้อย แต่ละคนที่อยู่ข้างกายล้วนมีตำแหน่งราคาอยู่ในใจทุกคน”
สุดท้ายหลิวเสี้ยนหยางเอ่ยว่า “ข้ากล้าแน่ใจเลยว่า หลังจากที่เจ้าออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู จะต้องรู้สึกกังขาในตัวของบัณฑิตและของผู้ฝึกตนที่อยู่ภายนอกไม่น้อย แล้วก็สงสัยในตัวเองด้วย สุดท้ายจึงทำให้รู้สึกผลักไสต่อสองคำกล่าวว่าบัณฑิตและผู้ฝึกตนในระดับหนึ่งเลยทีเดียว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง”
คำพูดประโยคนี้ของหลิวเสี้ยนหยางทำให้เฉินผิงอันได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย
ไม่เสียแรงที่เป็นบัณฑิตซึ่งศึกษาเล่าเรียนอยู่กับสกุลเฉินผู้รอบรู้มานานหลายปี
หลิวเสี้ยนหยางจิบเหล้าหนึ่งคำก็วางถ้วยลง แล้วก็อดไม่ไหวบ่นว่า “ไม่ได้ๆ เสแสร้งต่อไปไม่ไหวแล้ว!”
เฉินผิงอันมึนงงไม่เข้าใจ
หลิวเสี้ยนหยางพูดด้วยเสียงในใจต่อไปว่า “คำพูดเหล่านี้มีคนบอกให้ข้านำมาถ่ายทอดต่อให้เจ้า ตัวข้าเองจะคิดเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร คนผู้นั้นบอกว่าหากเจ้าได้ยินแล้ว จิตใจจะผ่อนคลายมากขึ้น แล้วก็จะยิ่งมีความหวังต่อวิถีทางโลกมากขึ้น จะยิ่งเข้าใจคนสองประเภทนี้มากขึ้น ส่วนคนผู้นั้นคือใคร อาจารย์ผู้เฒ่าเฉินไม่ได้บอก แล้วก็ไม่ได้ให้ข้าบอกเจ้าเรื่องนี้ด้วย แต่ให้ข้าเอามาเล่าให้เจ้าฟังเป็นดั่งประสบการณ์ที่ตัวเองได้รับมาหลังจากอ่านตำรา ข้าคิดว่าคนที่คิดถึงเจ้าเช่นนี้ อีกทั้งยังให้อาจารย์ผู้เฒ่าเฉินเป็นคนนำความมาบอก ก็น่าจะมีแต่ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งแล้วกระมัง อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้ก็เป็นคนมหัศจรรย์นัก มีครั้งหนึ่งไปท่องเที่ยวที่สกุลเฉินผู้รอบรู้แล้วแอบไปพบข้า จงใจบอกว่าตนเองคือคนต่างถิ่นที่มาที่นี่เพราะชื่นชมศาลบรรพจารย์สกุลเฉินมานาน จากนั้นก็ดึงข้าไว้พูดคุยอยู่ตรงก้อนหินริมน้ำนานชั่วยามกว่า แม้จะบอกว่าพูดคุยกัน แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเขาที่พร่ำพูดอยู่คนเดียว นอกจากคำพูดเกรงใจขี้หมูราขี้หมาแห้งพวกนั้นแล้ว ที่เหลือก็คือด่าอาจารย์ผู้เฒ่าเฉินไปเกินครึ่งชั่วยามว่าความรู้ของเขาไม่สูงพออย่างไร ความรู้สายของหย่าเซิ่งไม่ดีพออย่างไร พูดจนน้ำลายแตกฟอง พูดอย่างเมามันนัก ยังโน้มน้าวข้าว่าไม่สู้เปลี่ยนสำนักใหม่ ไปขอศึกษาต่อกับสายของหลี่เซิ่งดีกว่า เกือบจะถูกข้าสาวหมัดใส่เสียแล้ว”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิวเสี้ยนหยางก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งกดมันลงเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ครั้งนั้นข้ากับอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งพูดคุยกันอย่างถูกคอนักล่ะ พอเห็นข้ายกมือขึ้น อาจารย์ผู้เฒ่าก็หัวเราะร่ากดมือข้าลง เอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘อย่าทำแบบนี้สิ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน ทุกคนต่างก็เป็นบัณฑิต ไว้หน้ากันหน่อย’”
เฉินผิงอันคลึงขมับ
เรื่องแบบนี้อาจารย์ของตนทำได้จริงๆ เสียด้วย
คาดว่าปีนั้นตอนที่ผู้ฝึกกระบี่แห่งอุตรกุรุทวีปข้ามทวีปหมายจะไปถามกระบี่ที่ธวัลทวีป อาจารย์ก็คงใช้เหตุผลเอาชนะใจคนเช่นนี้เหมือนกัน
โชคดีที่คนในสายของเหวินเซิ่งอย่างศิษย์พี่ใหญ่จั่วโย่ว อาจารย์ฉี หรือต่อให้เป็นราชครูชุยฉานผู้นั้นก็ล้วนไม่ได้เป็นเช่นนี้