สตรีผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือ สายตาเหลือบมองแผนที่แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “เซียนกระบี่ที่เจ้าเจอน่าจะเป็นซือถูจีเซวี่ย ขอบเขตหยกดิบ มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระของทวีปเกราะทอง กระบี่แห่งชะตาชีวิตมีนามว่า ‘กองทัพม้าเหล็ก’ กระบี่พกคือ ‘ด่านองอาจ’ พลังพิฆาตไม่ถือว่าโดดเด่นนัก แต่มีพร้อมทั้งโจมตีและป้องกัน ไม่ธรรมดาเลย สามารถรอดพ้นหายนะจากกระบี่เขามาได้ก็ถือว่ามีความสามารถแล้ว ทุนทาน ตกลงกันไว้แล้วว่า คุณความชอบในการรบสามารถค่อยๆ สะสมไปได้ แต่ห้ามตายเด็ดขาด สนามรบของเจ้า ผู้บัญชาการณ์คือมู่จี เจ้าที่เป็นหนึ่งในตัวเลือกของร้อยเซียนกระบี่จะทำให้มู่จีเดือดร้อนไปด้วย กว่าเขาจะมีโอกาสได้รับแซ่สกุลมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าอย่าทำให้เขาหมดโอกาสเสียล่ะ”
เด็กหนุ่มท่าทางขลาดเขินที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะติดกับโต๊ะตัวที่สตรีนั่งเงยหน้าขึ้นเอ่ยเสียงเบาว่า “ห้ามตาย ไม่อย่างนั้นต่อให้ได้รับแซ่สกุลแล้ว ข้าก็จะต้องละอายใจไปอีกนาน”
เด็กหนุ่มนามว่าทุนทานยิ้มกว้าง “ทราบแล้ว”
ร้อยเซียนกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็คือเมล็ดพันธ์บนมหามรรคาที่ภูเขาทัวเยว่เป็นผู้กำหนด ระดับความสำคัญเป็นรองแค่ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานเท่านั้น
ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่ไม่ว่าขอบเขตปัจจุบันจะสูงหรือต่ำ ชีวิตจะมีค่าอย่างมาก
ขอแค่ตายไปคนหนึ่ง ทั้งกระโจมเจี่ยจื่อและภูเขาทัวเยว่ต่างก็จะซักไซ้เอาความผิด และบทลงโทษก็รุนแรงอย่างยิ่ง
เวลานี้ในกระโจมเจี่ยเซินมีคนอยู่มากถึงห้าคน
ทุนทาน เป้ยเชี่ย อวี่ซื่อ สตรีที่เปิดโปงรากฐานของซือถูจีเซวี่ย รวมไปถึงเด็กหนุ่มในมุมที่ดูไม่ค่อยเข้ากับกลุ่มคนสักเท่าไร
มู่จีหันหน้าไปมองโต๊ะหนังสือตัวหนึ่ง พูดเสียงเบาเนิบช้าด้วยความเคยชินว่า “รากฐานเวทคาถาของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีกฝ่ายจะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ ตรวจสอบเจอแล้วหรือยัง? ความเสียหายจากสนามรบเล็กๆ นี้ได้เหนือกว่าการคาดการณ์ของพวกเราไปแล้วไม่น้อย จำเป็นต้องหาแผนการรับมือที่เหมาะสม ก่อนหน้านี้เซียนกระบี่ที่ส่งไปลอบฆ่าเฉินผิงอันล้มเหลวไปแล้ว แต่ขอแค่พวกเจ้าได้ข้อสรุป มั่นใจว่าจำเป็นต้องส่งตัวเซียนกระบี่อีกคนหนึ่งไป หากข้าเห็นแผนการแล้วรู้สึกว่าสามารถลงมือได้ ข้าก็จะใช้กระบี่บินส่งข่าวไปแจ้งให้เซียนกระบี่ลงมือลอบโจมตี หากยังไม่ได้ ข้าจะไปเยือนกระโจม ‘เจี่ยจื่อ’ ด้วยตัวเอง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกกดดันกับเรื่องนี้”
มีบุรุษคนหนึ่งส่ายหน้าเอ่ยว่า “ต้องให้มีคนตายมากอีกหน่อยถึงจะได้เบาะแสมาเพิ่มขึ้น”
มู่จีพยักหน้ารับ
สตรีคนนั้นเอ่ยว่า “เฉินฉุนอันแห่งทักษินาตยทวีปเดินทางมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยตัวเอง บัณฑิตคนนั้นต้องเป็นคนของสายหย่าเซิ่งอย่างแน่นอน ข้อนี้ไม่ต้องสงสัย อันที่จริงสนามรบที่คนผู้นี้เฝ้าพิทักษ์ พวกเราสามารถ ลดจำนวนกองกำลังให้น้อยลง เพราะว่าอีกไม่นานทางฝั่งของหัวกำแพงเมืองจะต้องมีกระบี่บินส่งข่าวออกมาอย่างลับๆ เมื่อทางฝั่งของกระโจมเจี่ยจื่อแน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดแล้วก็จะส่งข่าวมาให้พวกเราเอง หากในจดหมายเขียนบอกประวัติความเป็นมาของคนผู้นี้ กระโจมเจี่ยเซินของพวกเรายังเหลือจำนวนเซียนกระบี่อีกสองคน ก็เอาพวกเขามาใช้พร้อมกันทีเดียวเลย ถึงเวลานั้นจะสังหารบัณฑิตคนนั้นหรือฆ่าเฉินผิงอัน หรือจะถอยก้าวหนึ่งไปฆ่าฉีโซ่วแทน ก็อนุญาตให้เซียนกระบี่ทั้งสองลงมือตามโอกาสที่เห็นว่าเหมาะสมได้เลย”
มู่จีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ตกลง”
จากนั้นเด็กหนุ่มท่าทางเหนียมอายก็ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกองกระดาษยันต์สีเหลืองที่อยู่ข้างมือ พับเป็นนกกระดาษตัวเล็กแล้วขว้างออกไปที่หน้าประตูกระโจมใหญ่เบาๆ “ออกคำสั่งไปว่า บนแนวเส้นที่หกของเจี่ยเซิน ให้ชะลอการโจมตีลง นอกจากไม่อนุญาตให้ถอยทัพแล้ว อนุญาตให้รักษาชีวิตมาเป็นอันดับหนึ่งได้”
นกกระดาษจึงบินออกไปจากกระโจมใหญ่เจี่ยเซิน
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่มีชื่อประหลาดอย่างอวี่ซื่อเอ่ยสัพยอกว่า “ทุนทาน แม้ตอนนี้ขอบเขตของเจ้าจะไม่สูง แต่กลับมีวิธีการมากมาย วันหน้าหากมีโอกาส รอให้ผู้ฝึกกระบี่ออกมาจากหัวกำแพงเมืองแล้ว เจ้าก็ลองไปพบเฉินผิงอันผู้นั้นดูสักหน่อย เมื่อเทียบกับข้าและเป้ยเชี่ยที่เป็นคนโง่ดีแต่จะบุกทะเล่อทะล่าเข้าไปหาเข้าแล้ว เจ้าน่าจะได้เปรียบมากกว่า”
ทุนทานคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ลองดูก็ได้”
กระโจมเจี่ยเซินแห่งนี้คือหนึ่งในกระโจมใหญ่หกสิบแห่งของกองทัพใหญ่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ตั้งชื่อตามแผนภูมิสวรรค์ นอกจากคำสั่งจากกระโจมเจี่ยจื่อแล้ว กระโจมแม่ทัพทุกแห่งต่างก็รับหน้าที่โยกย้ายกองกำลังในพื้นที่การรบของตัวเอง
ในเมื่อสามารถตั้งชื่อโดยมีอักษรเจี่ยขึ้นต้นได้ นั่นก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของกระโจมใหญ่หลังนี้แล้ว ตามกฎของกองทัพ ต่อให้เป็นปีศาจใหญ่เซียนกระบี่ ขอแค่กล้าบุกเข้าไปในกระโจมอักษรเจี่ยโดยพลการก็ล้วนต้องถูกโทษประหารทั้งสิ้น
ในกระโจมเจี่ยเซิน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองไปอย่างมีระเบียบขั้นตอน มองโดยภาพรวมแล้ว บรรยากาศนับว่าผ่อนคลายอยู่ไม่น้อย
หญิงสาวที่บนโต๊ะแผ่กางแผนที่เงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงหนักว่า “เพื่อการเติบโตของพวกเรา เพื่ออนาคตที่เมื่อได้ยึดครองทวีปใหญ่ๆ ของใต้หล้าไพศาลมาได้แล้ว พวกเราจะสามารถเฝ้าพิทักษ์พื้นที่เหล่านั้นได้ หากพูดถึงแค่สนามรบของเจี่ยเซินในเวลานี้ก็มีกองกำลังทหารตายไปเปล่าๆ เกือบหมื่นนายแล้ว บัญชีคุณความชอบของพวกเราทุกคนล้วนสลักลงบนโครงกระดูกทั้งสิ้น อย่าได้คิดว่านี่เป็นเรื่องสนุก”
เด็กหนุ่มสีหน้าซีดขาวคนหนึ่งนั่งอยู่ในมุมปลีกวิเวกเพียงลำพัง เวลานี้เอ่ยเสียงหยันขึ้นว่า “กองกำลังทหาร? ไอ้พวกมดตัวน้อยไร้สมองก็ถือเป็นกองกำลังทหารได้ด้วยหรือ? มดตัวน้อยพวกนี้ตายไปนั่นแหละดี ช่วยพวกเราช่วงชิงฟ้าอำนวย แล้วก็ช่วยประหยัดเสบียงของกองทัพ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เดิมทีใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเราก็เลี้ยงเศษสวะตั้งมากมายขนาดนั้นไว้ไม่ไหวอยู่แล้ว มาตายอยู่ที่นี่ก็ถือว่าพวกมันตายอย่างมีค่า ในที่สุดก็ได้ทำประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ บ้าง”
เขาชำเลืองตามองเป้ยเชี่ยและทุนทานที่อยู่ห่างไปไม่ไกล “เฉินผิงอันผู้นั้นมอบให้ข้าจัดการเอง ใครกล้าแย่งกับข้า ก็อย่าโทษว่ากระบี่บินของข้าไร้ตา เผลอไปทำร้ายสหายเข้าให้ล่ะ”
เขาก็คือหลีเจินที่เปลี่ยนจากรูปลักษณ์ของเด็กน้อยมาเป็นเด็กหนุ่ม ยังคงมีเศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่ไม่สมประกอบของหลีเจินนักโทษอาญายุคโบราณอยู่ดังเดิม จากนั้นก็ใช้เวทลับของภูเขาทัวเยว่มาสร้างเรือนกายเนื้อหนังขึ้นใหม่ สุดท้ายประกอบกันขึ้นเป็นดวงวิญญาณที่สมบูรณ์
เป้ยเชี่ยไม่สะทกสะท้าน
ทุนทานยังคงยิ้มกว้างอย่างสดใสดังเดิม “ไม่มีปัญหา”
อวี่ซื่อยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “มิกล้าๆ ข้าหรือจะมีคุณสมบัติพอให้เป็นสหายของนายน้อยหลีเจินได้”
เด็กหนุ่มที่เย่อหยิ่งคนนั้นพลันคลี่ยิ้ม แต่ดวงตากลับจ้องอวี่ซื่อเขม็ง “แนะนำเจ้าว่าอย่าชอบพูดจาเหน็บแนมระคายหูคนฟังเลียนแบบคนของใต้หล้าไพศาลจะดีกว่า”
อวี่ซื่อยกมือทั้งสองข้างขึ้น พูดอย่างน่าสงสารว่า “ข้าหุบปาก ข้าจะหุบปาก”
มู่จีขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้น เพิ่มน้ำหนักเสียงใส่อารมณ์อย่างที่หาได้ยาก เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับเสียงที่หลีเจินและพวกอวี่ซื่อพูดคุยกันเมื่อครู่นี้ก็ยังถือว่าเป็นเสียงที่เบาอยู่ดี “หลีเจินพ่ายแพ้ แต่ก็แพ้อย่างฉิวเฉียดเท่านั้น อวี่ซื่อ นี่ไม่ใช่เหตุผลให้เจ้าเอามาสมน้ำหน้าผู้อื่น พวกเจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งก็ควรจะมีสภาพจิตใจของยอดฝีมืออันดับหนึ่ง”
อวี่ซื่อเก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืน พยักหน้ารับ
จากนั้นมู่จีก็หันหน้าไปพูดกับหลีเจิน “แพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว เป็นเจ้าหลีเจินที่ความสามารถไม่มากพอ และการที่ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ก็คือความสามารถของเจ้าที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของภูเขาทัวเยว่เช่นกัน ทว่าเรื่องพวกนี้ข้าล้วนไม่สนใจ ข้าแค่รับผิดชอบเรื่องผลแพ้ชนะและผลได้ผลเสียของสนามรบเจี่ยเซินเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นผลดีหรือผลเสียที่เล็กน้อยแค่ไหน ข้าก็ต้องดูแลจัดการทั้งหมด สงครามต่อจากนี้จะยิ่งรุนแรง และเจ้าหลีเจินก็ยังต้องเชื่อฟังคำสั่งจากทางกองทัพ หากมองข้ามกฎของกองทัพ ลงมือกระทำการโดยพลการ ก็เท่ากับว่าพาให้กระโจมเจี่ยเซินต้องเดือดร้อนไปด้วย ผลลัพธ์ที่ตามมาก็จงแบกรับเอาเอง แต่หากถึงเวลาที่เหมาะสม ขอแค่เจ้ายังยินดีจะเป็นปฏิปักษ์ต่อเฉินผิงอัน อยากจะตามหาตัวเขา ต่อสู้ตัดสินแพ้ชนะกับเขาต่ออีกครั้ง ต่อให้ต้องแลกชีวิตกันก็ตามใจเจ้า กระโจมเจี่ยเซินจะไม่ขัดขวางแม้แต่น้อย และตัวข้าเองก็ถึงขั้นยินดีเอาผลงานการต่อสู้ที่เป็นของข้ามู่จีแห่งกระโจมเจี่ยเซินมาช่วยสร้างโอกาสให้เจ้า ให้เจ้ากับเฉินผิงอันไปต่อสู้ตัดสินเป็นตายกันเอาเอง เพราะหากได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับหลีเจินที่กล้าตายอีกครั้งเช่นนี้ก็ถือเป็นเกียรติของข้ามู่จี”
มู่จีกวาดตามองไปรอบด้านแล้วเอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “เหตุใดหลีเจินถึงออกศึก เหตุใดถึงได้เปิดฉากต่อสู้ครั้งใหญ่กับเฉินผิงอันใต้หัวกำแพงเมือง พวกเจ้าจะไม่รู้เลยหรือ? พวกเจ้าคู่ควรหรือ? แล้วนี่จะกลายมาเป็นเหตุผลให้พวกเจ้าเอาเรื่องนี้มาหัวเราะเยาะหลีเจินได้อย่างไร? ก็เพราะว่าเขาแพ้ไปหนึ่งครั้ง ตายไปหนึ่งครั้งน่ะหรือ? ถ้าอย่างนั้นหมื่นปีที่ผ่านมานี้ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเราไม่เคยชนะศึกเลยสักครั้ง ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว! ถ้าอย่างนั้นผู้อาวุโสขอบเขตบินทะยานมากมายขนาดนั้น รวมไปถึงตลอดทั้งภูเขาทัวเยว่ มีใครไม่ใช่ตัวตลกบ้างเล่า?! หากมีความสามารถจริงๆ ไปถึงใต้หล้าไพศาลได้เมื่อไหร่ พวกเจ้าจะหัวเราะเยาะคนที่อยู่ที่นั่นอย่างไรก็ตามแต่ใจพวกเจ้าเถอะ!”
มู่จีสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง สีหน้าหม่นหมอง พูดพึมพำว่า “พูดเรื่องพวกนี้กับพวกเจ้าไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกดีเลยสักนิด”
ดูเหมือนว่าหลีเจินที่อยู่ในกระโจมเจี่ยเซินแห่งนี้จะยอมฟังคำพูดของมู่จีอยู่บ้าง เขาจึงไม่โต้เถียงกับพวกอวี่ซื่อต่อ แต่หลับตาทำสมาธิอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าชิ้นไปพร้อมกันด้วย
สตรีผู้นั้นเอ่ยสัพยอกว่า “มู่จี คำพูดเหล่านี้ช่างพูดได้สง่างามนัก”
เด็กหนุ่มยิ้มอย่างเขินอาย หน้าแดงเล็กน้อย
เป้ยเชี่ยที่แทบจะถือว่าเป็นคนใบ้คนหนึ่งเปิดปากอย่างที่หาได้ยาก “อีกเดี๋ยวกระบี่บินของกระโจมเจี่ยจื่อก็จะมาถึงแล้ว”
แล้วก็จริงอย่างที่เขาบอก กระบี่บินส่งข่าวเล่มหนึ่งบินมาถึงกระโจมเจี่ยเซิน
หลังจากที่มู่จีอ่านจดหมายลับจบ สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด “รู้แค่ว่าบัณฑิตคนนั้นชื่อหลิวเสี้ยนหยาง เป็นคนของแจกันสมบัติทวีป ไม่ใช่ลูกศิษย์ของสกุลเฉินผู้รอบรู้ ดังนั้นจึงยังไม่รู้รากฐานการฝึกตนของเขา”
สตรีคนนั้นถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ลงมือไปตามการคาดการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ใช้ชีวิตไปค้นหาความจริงเถอะ”
มู่จีพลันเอ่ยว่า “อวี่ซื่อ เจ้าไปที่สนามรบด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง จำไว้ว่าต้องแสดงให้ดี รับกระบี่หนึ่งมาได้ก็รีบถอยออกมาจากสนามรบทันที ไม่จำเป็นต้องมีความลังเลใดๆ อานุภาพในการออกกระบี่ของเฉินผิงอันผู้นั้นไม่ถือว่ารุนแรงนัก แต่กลับสำรวจตรวจตราสนามรบได้อย่างละเอียด ด้วยนิสัยของเขา ข้าแน่ใจเลยว่าทางหนีทีไล่ของเขาต้องไม่ได้มีแค่เซียนกระบี่หญิงคนนั้นคนเดียวแน่นอน ขอแค่เจ้าไม่ตายอยู่บนสนามรบ อีกไม่นานก็จะมีเซียนกระบี่อีกคนจับตามองเจ้าโดยเฉพาะ”
อวี่ซื่อลุกขึ้นยืนอย่างเด็ดเดี่ยว ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ แต่ปากกลับบ่นว่า “กรรมตามสนองเร็วขนาดนี้เชียว”
มู่จีหันหน้าไปมองเป้ยเชี่ย
อวี่ซื่อวิ่งตะบึงออกไปจากกระโจมเจี่ยเซินในเสี้ยววินาที ไม่มอบโอกาสให้มู่จีได้เปลี่ยนใจ
มู่จีเคลื่อนย้ายเส้นสายตาอีกครั้ง พูดกับทุนทานว่า “ข้าคำนวณมาแล้ว ดูจากคุณความชอบทางการรบที่เจ้าสะสมมาได้จนถึงตอนนี้ หากคิดจะซื้อสมบัติอาคมแม่น้ำเย่ลั่วชิ้นนั้นก็ถือว่ายังขาดอีกไม่น้อย แต่ไม่เป็นไร ข้าจะเป็นตัวนำช่วยรวบรวมเงินมาให้ครบเอง วันหน้าใครที่เป็นคนออกเงินจะได้รับส่วนแบ่งทุกปี ยังมีใครที่ยินดีออกเงินร่วมกับข้าอีกบ้าง?”
สตรีคนนั้นส่ายหน้า “ข้าเองก็กำลังสะสมเงิน มอบให้ไม่ได้”
มู่จีกลับเอ่ยว่า “ให้ได้สิ ก่อนที่สงครามใหญ่จะปิดฉากลง เจ้าก็ได้กำไรกลับมาแล้ว เชื่อข้าเถอะ ไม่มีทางถ่วงเวลาการครอบครองสมบัติชิ้นนั้นของเจ้าแน่”
หลีเจินลืมตาขึ้นเอ่ยว่า “ต้องซื้อด้วยหรือ ข้าไปขอมาโดยตรงก็สิ้นเรื่อง”
มู่จีส่ายหน้า เตรียมจะปฏิเสธ
หลีเจินกลับลุกขึ้นยืนแล้ว เขาหันไปพูดกับสตรีคนนั้น “เจ้าต้องการชิ้นไหนก็บอกมาตามตรง ข้าจะได้เอามาพร้อมกันทีเดียว ขี้เกียจวิ่งไปกลับหลายๆ รอบ”
สตรีคนนั้นก็ไม่เกรงใจ บอกชื่อของสมบัติล้ำค่าชิ้นนั้นออกมาโดยตรง แล้วยังหัวเราะเสียงดังพร้อมกุมหมัดคารวะ ถือเป็นการขอบคุณแล้ว
หลีเจินเดินออกจากกระโจมเจี่ยเซินด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
แหงนหน้ามองไปทางกำแพงเมืองปราณกระบี่ มองหัวกำแพงเมืองทางทิศเหนือจากจุดนี้ การมองเห็นพร่าเลือนไม่ชัดเจนนัก แต่หากก้มหน้ามองลงมาจากกำแพงเมืองทางทิศเหนือ กลับเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
หลีเจินถอนสายตากลับมา อึ้งตะลึงไปครู่หนึ่งก็หมุนตัวกลับมา กุมหมัดค้อมเอวแสดงความเคารพอย่างที่หาได้ยาก
ข้างกายหลีเจินคือบุรุษที่มีหนวดเคราดกครึ้มพกดาบสะพายกระบี่คนหนึ่ง
บุรุษคนนั้นพยักหน้ารับ “เจ้าไปทำธุระของเจ้าก่อนเถอะ”
หลีเจินจึงทะยานลมจากไป
เป้ยเชี่ยเดินออกมาจากในกระโจม เรียกคำหนึ่งว่าอาจารย์
ชายฉกรรจ์เอ่ยว่า “อาจารย์อยากไปพบคนคนหนึ่ง ดังนั้นเจ้าที่เป็นลูกศิษย์ก็ช่วยทำเรื่องหนึ่งแทนอาจารย์ที ฆ่าเฉินผิงอันผู้นั้นซะ”
เป้ยเชี่ยพยักหน้ารับเงียบๆ