หอจิ้งเจี้ยนปิดประตูไม่ต้อนรับแขกแล้ว ดังนั้นจึงมีเพียงคนสองคนที่เดินอยู่ด้านใน ชายฉกรรจ์สีหน้าเฉยชาเริ่มปลดม้วนภาพเซียนกระบี่แต่ละภาพลงมาเก็บไว้
เจ้าประมุขตระกูลเยี่ยนเอ่ย “เฉินผิงอัน ช่วยแกะสลักตราประทับอันหนึ่งให้ที วัตถุดิบที่ใช้แกะสลักเดี๋ยวข้าจะให้เยี่ยนจั๋วเอาไปส่งที่จวนหนิง ค่าจ้างคือหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช ตัวอักษรเจ้าไม่ต้องคิด แค่ห้าคำ ปีนเมืองเหมือนเดินสู่สุสาน”
เฉินผิงอันเพิ่งจะเก็บม้วนภาพหนึ่งมา คิดแล้วก็ถามว่า “เพิ่มอีกห้าคำได้หรือไม่?”
เยี่ยนหมิงยิ้มถาม “คำว่าอะไร?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ออกกระบี่คือเซ่นสุรา”
เยี่ยนหมิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็พยักหน้ารับ “จะให้เจ้าแกะสลักห้าคำนี้เปล่าๆ ไม่ได้ สองเหรียญเงินฝนธัญพืช”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ท่านอาเยี่ยน ไม่ต้องจ่ายเงิน”
เยี่ยนหมิงถาม “รังเกียจว่าน้อยไป? ก็เลยไม่รับไว้เสียเลย?”
เฉินผิงอันบื้อใบ้พูดไม่ออก
เยี่ยนหมิงบอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันทำงานของตนต่อไป เขาเดินอยู่ด้านข้าง พูดด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “บัณฑิตสามารถออกหมัดออกกระบี่อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ และยังเอ่ยถ้อยคำที่มีจิตสำนึกได้มากหน่อย หากข้าไม่ใช่คนทำการค้า ก็คงคิดว่าต้องจ่ายเงินให้เจ้าทุกคำพูดแล้วหล่ะ”
เฉินผิงอันเก็บม้วนภาพหนึ่งไว้อย่างระมัดระวัง
เหตุใดเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสถึงให้เขาทำเรื่องนี้ เหตุใดถึงให้เขามาเก็บภาพเซียนกระบี่ทั้งหมดของหอจิ้งเจี้ยน เฉินผิงอันเดาไม่ถูก คิดไม่ออก
แค่ทำตามก็พอแล้ว
คนทั้งสองเดินออกจากประตูของหอจิ้งเจี้ยนด้วยกัน ตอนที่เฉินผิงอันเดินลงบันได พลันถามว่า “ท่านอาเยี่ยน ขอข้านั่งตรงนี้สักครู่ได้หรือไม่?”
เยี่ยนหมิงพยักหน้าให้ “ข้าจะไปรอเจ้าที่ประตูใหญ่ อย่าอยู่นานนัก”
แล้วเยี่ยนหมิงก็เดินจากไป
กลางดึกที่เงียบสงัดไร้ผู้คน บนท้องฟ้าของใต้หล้าไพศาลมีดวงจันทร์เพียงดวงเดียว
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนขั้นบันไดเพียงลำพัง สีหน้าเหม่อลอย
ชอบคนคนหนึ่งก็คือการดูแลนางทั้งชีวิต และมอบทั้งชีวิตนี้ให้แก่นาง
ข้าไปก่อน คนสุดท้ายที่ได้เห็นคือนาง นางไปก่อน คนสุดท้ายที่ได้เห็นคือข้า
จะหาเพื่อนสักคนหนึ่ง ดื่มเหล้าที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องติดว่าราคาแพงได้หรือไม่ ต่อให้ดื่มเหล้าที่แย่ที่สุดก็ยังยินดี
ในใจจะมีคนบางคนที่จากไปแล้วใช้ชีวิตอยู่ได้หรือไม่ ขอแค่คิดถึงการกระทำและคำพูดของพวกเขาก็จะรู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดีมากพอ
พอเติบโตขึ้นมา เปลี่ยนแปลงของกาลเวลาไม่ได้เนิบช้า ไม่ใช่การเดินจากสถานที่หนึ่งไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีเท่านั้น
จุดที่ความปรารถนามุ่งไป จุดที่กระบี่บินพุ่งไป ทั้งร่างกายและจิตใจล้วนมีอิสระเสรี
แต่สรุปแล้วควรจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างไร?
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ปณิธานกระบี่ยุคบรรพกาลที่หลงเหลืออยู่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงไม่เคยโปรดปรานเขาเฉินผิงอันเลย
เฉินผิงอันพ่นลมหายใจออกมา ลุกขึ้นยืน ตัดสินใจแล้วว่าต่อให้จะไม่มีวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เหมาะสมอย่างถึงที่สุด ถ้าอย่างนั้นก็จะลองลงมือให้ผ่านไปก่อน รวบรวมวัตถุห้าธาตุให้ครบ จะอย่างไรก็ต้องหวนกลับไปยังขอบเขตเส้นเอ็นหลิว ขอบเขตที่สามของผู้ฝึกลมปราณให้ได้
แต่การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากช่วยดึงหญ้าให้เติบโตบนเส้นทางของการฝึกตน หลังจากนั้นไป คาดว่าคงต้องเจอกับขอบเขตรั้งคนแล้ว
ย้อนกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่พร้อมเยี่ยนหมิงอย่างเงียบเชียบ
เฉินผิงอันทำตามคำสั่งของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก่อนหน้านี้ด้วยการมอบวัตถุจื่อชื่อที่เก็บภาพวาดทั้งหมดไว้ด้านในให้กับเยี่ยนหมิง ส่วนตัวเฉินผิงอันเองก็กลับไปที่จวนหนิง
ทางฝั่งของหัวกำแพงเมือง เฉินชิงตูรับวัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้นของเฉินผิงอันมา ไม่เพียงแต่ไม่ได้เปิดวัตถุจื่อชื่อออกเพื่อเอาภาพวาดของเซียนกระบี่ทั้งหมดมา กลับกันยังร่ายเวทลับต้องห้ามวิชาหนึ่งแล้วโยนคืนให้เยี่ยนหมิง “เอาไปคืนให้เจ้าเด็กนั่นแล้วบอกว่าวัตถุจื่อชื่อเกิดปัญหาเล็กๆ บางอย่าง ตอนนี้ยังเปิดออกไม่ได้ วันหน้าค่อยว่ากัน”
เยี่ยนหมิงแข็งใจเดินออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินชิงตูนั่งอยู่กับจั่วโย่ว ทอดสายตามองทิศไกลด้วยกัน
เฉินชิงตูพลันถามว่า “ศิษย์น้องเล็กของเจ้าคนนั้นเป็นคนโง่หรือไร วัตถุห้าธาตุชิ้นสุดท้ายมีมาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไม่หลอมมันเข้าล่ะ”
จั่วโย่วเอ่ย “นั่นเป็นฝีมือของฮว่อหลงเจินเหริน อีกทั้งยังเกี่ยวพันไปถึงปราณแท้จริงอันเป็นรากฐานของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ด้วยขอบเขตของเฉินผิงอันในตอนนี้ เขาไม่อาจดึงมันออกมาได้เลย หากไม่ระวังจะต้องแพ้ทั้งกระดาน เฉินชิงตู เจ้าเลิกพูดจาเหน็บแนมอยู่แถวนี้เสียที หรือว่าเพื่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเจ้าแล้ว ขอบเขตผู้ฝึกลมปราณถดถอยไปสามขอบเขตยังไม่พอ ขอบเขตของผู้ฝึกยุทธยังต้องลดไปอีกขอบเขตด้วย เจ้าถึงจะพอใจ?”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “แล้วเจ้าที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ไร้ความสามารถหรือไร? ทำไมถึงไม่ยอมช่วยเล่า?”
ประโยคนี้ทิ่มแทงใจคนอย่างยิ่ง เพราะจั่วโย่วช่วยไม่ได้จริงๆ
เวทกระบี่สูงเกินไป ปราณกระบี่มากเกินไป กลับง่ายที่จะเกิดความขัดแย้งบนมหามรรคากับสิ่งที่ฮว่อหลงเจินเหรินซ่อนเอาไว้ อาจเป็นเหตุให้ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายของเฉินผิงอันกลายเป็นสนามรบที่ดุเดือดเต็มไปด้วยโศกนาฎกรรมแห่งหนึ่ง
พูดกันตามจริงแล้ว ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ขอแค่เฉินชิงตูไม่ทำเรื่องนี้ ก็ไม่มีใครที่ทำได้อีกแล้ว
แต่คิดจะขอร้องเฉินชิงตูให้ทำเรื่องอะไรสักอย่าง ใครเล่าจะกล้า?
ทว่าจั่วโย่วกลับกล้าขอร้องอีกฝ่าย กระนั้นก็รู้ดีว่าขอแค่ตัวเฉินชิงตูเองไม่ยินดีจะทำ ขอร้องไปก็ไร้ประโยชน์
เฉินชิงตูนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เฉินผิงอันรับความลำบากได้ไหว?”
จั่วโย่วพยักหน้า “ไหวสิ”
เฉินชิงตูยิ้มถาม “อยากจะให้ข้าลงมือดึงเมล็ดพันธ์อัคคีนั้นออกมา แล้วนำมันมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่ห้าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนบ้าง เฉินผิงอันจำเป็นต้องเดินผ่านเส้นทางหนึ่งที่เหมือนกับเส้นทางการกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง เรือนกายต้องเหลือเพียงโครงกระดูกเสียก่อน วางใจเถอะ ก็แค่คล้ายคลึงเท่านั้น ไม่ได้จะเป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่ซิ่วไฉเฒ่าก็คงสู้สุดชีวิตกับข้าแน่”
จั่วโย่วเกิดลังเลใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่ว่าจะทางไหนก็รู้สึกลำบากใจทั้งสิ้น
เฉินชิงตูจุ๊ปากพูด “เป็นศิษย์พี่ใหญ่อย่างเสียเปล่าจริงๆ ไม่รวดเร็วฉับไวเท่าศิษย์น้องเล็กของเจ้าเลย เฉินผิงอันตอบตกลงแล้ว”
จั่วโย่วลุกขึ้นยืนทันที “ข้าจะช่วยคุ้มกันให้ บนหัวกำแพงเมือง ข้ายังจะไม่สนใจก่อน การออกกระบี่ที่พลาดไป วันหน้าข้าค่อยชดเชยให้”
เฉินชิงตูเอามือข้างหนึ่งกดไหล่ของจั่วโย่วลง “คุ้มกันกะผีน่ะสิ อยู่เฉยๆ ไปเถอะ หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสำเร็จคือเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยแล้ว ส่วนเส้นทางที่ต้องเจอหลังจากนั้น เจ้าคุ้มกันไปแล้วจะมีความหมายอะไร? ความสามารถในการฆ่าคนของเจ้ามีไม่น้อย น่าเสียดายที่เรื่องสอนกระบี่ช่วยคนกลับไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ”
จั่วโย่วเดือดดาลขึ้นมาจริงๆ แล้ว
เขาอดทนกับเจ้าผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่นี่มาไม่ใช่แค่หนึ่งวัน สองครั้งสามครั้งหรือห้าครั้งแล้ว ทั้งไม่เคารพอาจารย์ แล้วยังจะชอบรังแกศิษย์น้องเล็กของเขา คิดว่าข้าจั่วโย่วคือรูปปั้นพระโพธิสัตว์ที่ไม่มีไฟโทสะจริงๆ หรือไร?!
เฉินชิงตูเพิ่มแรงลงบนฝ่ามือ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จั่วโย่ว ดูท่าเจ้าคงไม่เชื่อใจศิษย์น้องเล็กของเจ้าสินะ”
จั่วโย่วขมวดคิ้ว “กี่ส่วน?”
เฉินชิงตูยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง “หนึ่งก็คือหนึ่งนั้น แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ?”
จั่วโย่วกึ่งเชื่อกึ่งกังขา
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “เวทกระบี่ของจั่วโย่วสูงขนาดนั้น ข้าจะกล้าหลอกเจ้ารึ?”
จั่วโย่วชักกระบี่ออกจากฝักทันที
ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกตินั้นในเสี้ยววินาที
เฉินชิงตูกลับขยับเปลี่ยนตำแหน่ง ใช้มือกำด้ามกระบี่ ปล่อยให้กระบี่ยาวเล่มนั้นปาดผ่านฝ่ามือไป
บนหัวกำแพงพลันมีประกายแสงไฟสว่างไสวเป็นพันเป็นหมื่นจั้งเปล่งจ้า
……
ศึกใหญ่เปิดฉากขึ้นอีกครั้ง บนหัวกำแพงเมือง ครั้งนี้หลิวเสี้ยนหยางไม่ได้มา แต่ไปอยู่ข้างกายเฉินฉุนอัน
ยังคงเป็นเฉินผิงอันกับฉีโซ่วที่เป็นเพื่อนบ้านกัน
ฉีโซ่วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ความรู้สึกที่เฉินผิงอันมอบให้ในวันนี้ออกจะแตกต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง
ยังคงสวมชุดคลุมอาคมของหอภูษา ทว่าตรงเอวกลับเหน็บพัดพับไม้ไผ่หยก เขาหันหน้ามายิ้มเอ่ยกับฉีโซ่ว “เพิ่งจะไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน มาดอันสง่างามของพี่ฉีมีมากกว่าเก่าอีกแล้ว”
ฉีโซ่วพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ เพียงแต่ว่าพอคิดอีกทีกลับไม่ค่อยกล้าแน่ใจสักเท่าไร สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าอีกฝ่ายจะใช้เวทอำพรางตาอีกหรือไม่ ดังนั้นฉีโซ่วจึงพูดเสียงขุ่นว่า “ไปไกลๆ ข้า”
เฉินผิงอันผู้นั้นคลี่พัดพับ พัดเอาลมเย็นใส่ตัวเบาๆ หลังจากเรียกกระบี่บินสี่เล่มออกมาง่ายๆ ก็ส่ายหน้าถอนหายใจ “พี่ฉีเอ๋ยพี่ฉี ใครกันที่มอบความมั่นใจให้เจ้ากล้าใช้ขอบเขตก่อกำเนิดเล็กๆ มาดูแคลนผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสามคนหนึ่ง?”
ฉีโซ่วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่การออกกระบี่สังหารศัตรูวันนี้กลับโหดเหี้ยมมากเป็นพิเศษ
เดิมทีฉีโซ่วยังคิดจะถามว่าเหตุใดจั่วโย่วถึงออกกระบี่กะทันหัน ทว่าตอนนี้เขากลับไม่อยากจะพูดอะไรอีกแม้แต่ครึ่งคำ
บนหัวกำแพงเมืองที่อยู่ใกล้กับกระท่อมหลังนั้น จั่วโย่วใช้เสียงในใจสอบถามเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส “หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสำเร็จ ทั้งยังผ่านความยากลำบากนั้นมาได้ ก็จะสามารถถือโอกาสนี้ฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งได้สำเร็จใช่หรือไม่? ระดับขั้นเป็นอย่างไร?”
เฉินชิงตูพูดด้วยสีหน้าเหลอหรา “ข้าเคยพูดแบบนั้นหรือ? ใต้หล้านี้มีเรื่องได้เปรียบที่ดีขนาดนั้นเสียเมื่อไหร่ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตจะมอบให้กันง่ายๆ ได้อย่างไร?”
จั่วโย่วหันหน้าไปมองผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าประตูกระท่อม
เฉินชิงตูหุบยิ้ม “ข้าเคยยืมกล่องกระบี่ไม้ไหวมาใบหนึ่ง ได้หนึ่งก็ต้องคืนหนึ่ง เพียงแค่ให้เฉินผิงอันเป็นกล่องกระบี่ใบหนึ่ง หรือควรจะพูดว่าเป็นฝักกระบี่อันหนึ่งก่อน ส่วนข้อที่ว่าจะสามารถเลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพราะสภาพแวดล้อมที่พิเศษได้หรือไม่ แล้วจะเลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตในระดับใดออกมาได้ ก็ต้องดูที่โชควาสนาของตัวเขาเองแล้ว”
จั่วโย่วสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ครั้นจึงทะยานออกจากหัวกำแพง พกกระบี่บุกทะลวงทัพศัตรูไปหาปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานเพียงลำพังอีกครั้ง
ในห้องลับของจวนหนิง
เฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสาม ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ด มีเพียงจิตหยินที่ออกจากช่องโพรงไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ร่างจริงและจิตหยางกายนอกกายยังคงอยู่ในจวนหนิง
เพราะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสบอกว่าจิตหยินนั้นสะสมความคิดไว้ซับซ้อนและมากมายเกินไป ไม่ว่าจะชำระล้างกระบี่อย่างไรก็ยังล้างให้บริสุทธิ์สะอาดเอี่ยมไม่ได้ ต่อให้ล้างจนได้ขอบเขตที่ใสกระจ่าง แต่นั่นก็ไม่ใช่เฉินผิงอันอีกแล้ว
เฉินผิงอันรวบรวมสมาธิ ตอนนี้สิ่งที่คิดในใจ คิดซ้ำไปซ้ำมาก็คือประโยคนั้นในตำราที่บอกว่า ‘ความคิดโลดแล่นเหนือพันธนาการแห่งกาลเวลา จิตใจล่องลอยไปไกลแสนไกล มุ่งมั่นขบคิดใคร่ครวญ เชื่อมโยงนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน’
เมื่อจิตใจนิ่งสงบจนใกล้เคียงกับการหลับใหล สุดท้ายมีเพียงความคิดคู่หนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ดุจเจียวหลงเลื้อยอยู่ใต้ทะเลสาบหัวใจ เพียงแต่ว่าทั้งสองกลับไม่ตีกัน กลับกันยังอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง
ทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกกระบี่ล้วนมีอิสระเสรี
พลังพิฆาตสูงที่สุด สูงเหนือนอกฟ้า!
เฉินผิงอันพลันลืมตาขึ้น พูดเสียงทุ้มหนักว่า “ขอเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสโปรดออกกระบี่”
ในห้องลับ แสงกระบี่พลันระเบิดเจิดจ้า
ผิวหนังของเฉินผิงอันปริแตก แม้แต่เรือนกายร่างทองของเขาก็ยังคล้ายกับกระดาษเปียกแผ่นหนึ่ง เพียงแค่ชั่วพริบตาเลือดก็ท่วมทั่วร่าง จากนั้นแขนขาทั้งสี่ อวัยวะภายใน แม้แต่ดวงตาทั้งคู่ก็ล้วนถูกแสงกระบี่หลอมละลายอย่างสิ้นเชิง แค่เสี้ยววินาทีก็เหลือแค่โครงกระดูกขาวโครงหนึ่งเท่านั้น
สุดท้ายแม้แต่กระดูกขาวก็ไม่เหลืออยู่
ท่ามกลางม่านฟ้าที่มืดมิดกว้างไกลไร้ที่สิ้นสุด คนหนุ่มที่ยังสะลึมสะลือมึนงงอยู่บนเส้นทางที่มองไม่เห็นแสงสว่างสักเสี้ยว เขาเดินโซเซไปอย่างคนที่จิตวิญญาณหลุดลอย แค่เดินหน้าไปตามจิตใต้สำนึกเท่านั้น
เดินไปเดินมาก็เดินไปหยุดอยู่ข้างกายเด็กชายสวมรองเท้าสานที่หลังโก่งงองุ้ม ฝ่ายหลังเดินเนิบช้า แบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่กว่าตัว
เด็กชายหยุดเท้าเงยหน้ามองคนหนุ่ม คล้ายว่าจะเสียใจมาก แล้วก็ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าเหตุใดตนที่เติบใหญ่แล้วถึงยังต้องลำบากขนาดนั้น
ดังนั้นเด็กชายที่เสียใจมากๆ จึงไม่อยากเดินหน้าอีกต่อไป เขานั่งลงกับพื้น เอนหลังพิงตะกร้าใบใหญ่ที่ไม่มีทางบรรจุสมุนไพรได้เต็มตลอดกาลแล้วเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น
คนหนุ่มทรุดตัวลงนั่งอย่างโงนเงน เหม่อมองตัวเองที่ยังไม่เติบโต
คนทั้งสองมองสบตากัน
คนหนุ่มพูดกับเด็กชายแค่สามคำ
ขอโทษนะ
แล้วเด็กชายคนนั้นก็เช็ดน้ำตา เป็นฝ่ายยื่นมือออกมา
คนหนุ่มจับมือของเด็กชาย ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปข้างหน้าด้วยกัน
คนหนุ่มยังคงมึนๆ งงๆ เพียงแค่เล่าเรื่องงดงามที่ได้พบเจอในอนาคตหลายต่อหลายเรื่องให้เด็กชายฟังตามจิตใต้สำนึก ดูเหมือนลืมเลือนความทุกข์ยากระหว่างการเติบโตที่ทั้งสามารถพูดได้และไม่สามารถพูดได้ไปหมดแล้ว ราวกับว่าจำเรื่องราวและคนที่ไม่ค่อยดีกับวิถีทางโลกที่ซับซ้อนไม่ค่อยได้แล้ว
เด็กชายค่อยๆ คลี่ยิ้ม แหงนหน้ามองตัวเองที่เติบโตแล้วด้วยสายตาแห่งความคาดหวัง
สุดท้ายเด็กชายหยุดเดิน สองมือกำเชือกที่ผูกตะกร้าไว้กับตัวแน่น คลี่ยิ้มเจิดจ้า จากนั้นชี้นิ้วไปยังเส้นทางเบื้องหน้า บอกทางแก่ตนเองที่เติบโตแล้ว
คนหนุ่มมองตามไป หนทางยาวไกลเบื้องหน้าที่เดิมทีมืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้ากลับปรากฏแสงตะเกียงที่ส่ายไหวไม่หยุดนิ่งอย่างเรือนลาง
แล้วทันใดนั้น
ฟ้าดินพลันใสกระจ่าง แสงสว่างสาดเจิดจ้า