บนหัวกำแพงเมือง ฉีโซ่วอดไม่ไหวหันหน้ามามอง เฉินผิงอันผู้นั้นควักยันต์กระดาษเหลืองออกมาหลายปึก รู้สึกเหมือนว่าเขาจะเปิดร้านใหม่อย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่ว่ายันต์ที่ระดับขั้นไม่สูงพวกนี้จะเอาไปขายให้ใคร? หรือจะขายให้กับพวกสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง?
ยันต์พวกนั้นเยอะมากจริงๆ ยันต์ที่เหมือนกันกองทับกันเป็นชั้น ดังนั้นภูเขาลูกเล็กสิบกว่าลูกจึงมีทั้งสูงและต่ำ ยันต์พันกว่าแผ่น ไม่ว่าแบบไหนล้วนมีหมด
วัสดุของกระดาษยันต์ธรรมดามาก ต้องไม่มีค่าอย่างแน่นอน กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ขายของประเภทนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นของผุพังที่เฉินผิงอันเอามาจากใต้หล้าไพศาล ไม่ถือว่าเป็นกระดาษยันต์เหลืองทองซึ่งเป็นยันต์ระดับต้นของผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างสายยันต์ได้ด้วยซ้ำ นี่มันกระดาษยันต์สีเหลืองธรรมดาที่มีขายตามหมู่ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปชัดๆ หากบวกกับกระบี่ยันต์ไม้ท้อไปอีกเล่มหนึ่ง นั่นก็คือสัญลักษณ์ของนักพรตที่ท่องอยู่ด้านล่างภูเขาคอยต้มตุ๋นคนไปทั่วแล้ว
เมื่อเฉินผิงอันจัดขบวนทัพของตนเสร็จก็หันมามองฉีโซ่ว
ฉีโซ่วรู้แล้วว่าท่าไม่ดี
สายตาของเฉินผิงอันจริงใจเหมือนบิดาที่มองบุตรชายแท้ๆ ของตัวเอง ยิ้มกล่าวว่า “พี่ฉี ผ่านทางเดินผ่านมาแล้วก็อย่าให้พลาดไป ข้าเฉินคนดีที่เป็นร้านผ้าห่อบุญแตกต่างกับเถ้าแก่รองของร้านเหล้าผู้นั้นราวคนละคน อย่าเห็นว่าร้านผ้าห่อบุญนี้ของข้าเล็ก แม้จะเล็ก แต่ก็เคยท่องผ่านยุทธภพของแจกันสมบัติทวีป ใบถงทวีป อุตรกุรุทวีปมานานหลายปี ยิ่งเป็นยันต์ก็ยิ่งขึ้นชื่อว่าเป็นของดีราคาถูก ชื่อเสียงดีงามอย่างถึงที่สุด ได้รับกรอบป้ายอักษรทองมาแล้วไม่รู้กี่มากน้อย เพราะลูกค้าที่ซื้อยันต์ร้านข้าไปแล้วล้วนได้รับผลเก็บเกี่ยวมหาศาล ได้รับผลประโยชน์สูงอย่างถึงที่สุด แต่ละคนซาบซึ้งใจน้ำหูน้ำตาไหลอยากจะขอบคุณข้า จะขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่ พี่ฉี เคยคิดบ้างหรือไม่? เจ้าและข้ารบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ไม่ใช่เพื่อนก็ยิ่งกว่าเพื่อน สามารถลดราคาให้ได้ หากบนร่างของพี่ฉีไม่ได้พกเงินเทพเซียนมาด้วยก็ไม่เป็นไร อนุญาตให้ติดไว้ก่อนได้ ไม่คิดดอกเบี้ย ข้าคนนี้พูดคุยได้ด้วยง่ายนักล่ะ”
ฉีโซ่วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เพียงแต่ว่าทนเสียงเฉินผิงอันที่พร่ำพูด พร่ำอธิบายถึงความมหัศจรรย์ของยันต์สิบกว่าชนิดของตนไม่จบไม่สิ้นไม่ไหว เขาบอกว่ายันต์กองสายฟ้าหน่วยสวรรค์ของเขาที่แม้ว่าจะเป็นวิชานอกรีตที่มีต้นกำเนิดมาจากวิชาอสนีดั้งเดิม แต่พลังพิฆาตกลับสูงอย่างถึงที่สุด บอกว่าหากนำยันต์มหานทีไหลสะพัดมาใช้บนสนามรบที่เลือดสดไหลนองราวกับสายน้ำ ก็จะได้ผลประโยชน์อย่างพอดิบพอดี และยันต์ขยุ้มดินนั้นก็ยิ่งสามารถสร้างเทือกเขาขึ้นมาบนพื้นดิน นำมาใช้สกัดกั้นการเดินหน้าของทัพใหญ่เผ่าปีศาจ ยันต์ปรากฏภูเขากำเนิด มหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด
ฉีโซ่วหนวกหูมาก จึงได้แต่เปิดปากพูดเสียงหยัน “แม้ข้าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่มีอานุภาพบารมีได้เหมือนกับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสามอย่างเถ้าแก่รอง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ จะเอายันต์ของเจ้าไปทำอะไร? เอาไปเผาแทนกระดาษเหลืองที่หน้าหลุมศพงั้นหรือ? กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มีประเพณีนี้”
เฉินผิงอันคว้ายันต์ปึกหนึ่งขึ้นมา เขามีความอดทนเป็นเลิศ รอยยิ้มไม่ลดลงแม้แต่น้อย อธิบายกับ ‘พี่ฉี’ ต่อไปว่า “นี่คือโชควาสนาบนมหามรรคาที่ข้าแลกมาด้วยเหล้าหมักตระกูลเซียนหลายไหจนนับไม่ถ้วน เพราะเซียนกระบี่ใหญ่บางท่านเมามายถึงได้หลุดเผยความลับสวรรค์มาโดยไม่ทันระวัง ถ่ายทอด ‘ยันต์นำทาง’ นี้ให้แก่ข้าเป็นการส่วนตัว นำทางๆ ในเมื่อสามารถทำให้คนที่มีชีวิตผ่านด่านเดินต่อไปได้ บนสนามรบ แน่นอนว่าก็ย่อมสามารถทำให้ศัตรูเดินไปบนเส้นทางน้ำพุเหลืองได้เช่นกัน พี่ฉี ไม่หวั่นไหวจริงๆ หรือ? สงครามใหญ่ยังไม่ถึงช่วงเวลาที่ร้อนระอุอย่างแท้จริง เพียงแค่ใช้กระบี่บินสังหารพวกสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น นี่ทำให้สูญเสียรสชาติความสนุกสนานบางอย่างไป ก็เหมือนกับดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าของข้าแล้วเอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียวนั่นแหละ ต่อให้เหล้าจะดีแค่ไหน จะเป็นหนึ่งในกำแพงเมืองปราณกระบี่มากเท่าไร ถึงอย่างไรก็ยังต้องการผักดองและบะหมี่หยางชุนกินแกล้มเหล้า รสชาติถึงจะเลิศล้ำที่สุด”
เฉินผิงอันเปลี่ยนใช้มืออีกข้างหนึ่งมาคว้ากระดาษยันต์อีกปึกใหญ่ “ยันต์นี้ยิ่งมีประวัติความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ คือสุดยอดยันต์ก้นกรุที่เซียนกระบี่ใหญ่ท่านนั้นมีไว้ติดกาย ‘ยันต์ปราณกระบี่ข้ามสะพาน’ พี่ฉี ตอนนี้ขอบเขตของเจ้ายังไม่สูง แต่ข้าเชื่อว่าสายตาของเจ้าไม่เลว เจ้าลองดูสิ ลายเขียนนี่ซับซ้อนยิบย่อยแค่ไหน ยันต์แต่ละแผ่นที่มองดูเหมือนไม่ใหญ่ แต่กลับเป็นค่ายกลยันต์ที่สมชื่ออย่างแน่นอน อย่างอื่นข้าคงไม่พูดมากแล้ว ลำพังเพียงแค่ผงชาดตระกูลเซียนที่ใช้วาดก็ต้องใช้ไปกี่มากน้อย? พี่ฉีจะตัดสินว่ายันต์ของข้าไม่มีค่าเพียงแค่เพราะวัสดุของยันต์ไม่ดีเลิศที่สุดได้อย่างไร? พี่ฉีอ่า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนธรรมดาสามัญที่มองคนจากรูปลักษณ์ภายนอกเช่นนี้ ข้าผิดหวังมากเลยนะ ขนาดหลีเจินผู้นั้นยังถูกข้าสังหารบนสนามรบเลย ต่อสู้กันตัวต่อตัวเหมือนกัน พี่ฉีกับข้าผลัดกันรุกผลัดกันรับ สุดท้ายก็แพ้ให้ข้าเพียงแค่เส้นยาแดงผ่าแปดเท่านั้น นี่ก็เท่ากับว่าอย่างน้อยที่สุดพี่ฉีก็เอาชนะบุคคลที่เป็นผู้มากพรสวรรค์อย่างหลีเจินได้ระดับหนึ่งแล้ว คิดจะไปเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่ภูเขาทัวเยว่ก็ไม่ยากแล้ว…”
ฉีโซ่วพูดอย่างเดือดดาล “เฉินผิงอัน เจ้าไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียทีใช่ไหม?! ระหว่างศึกใหญ่ รบกวนเจ้าช่วยบังคับกระบี่สังหารศัตรูอย่างมีสมาธิด้วย! ต่อให้เจ้ากล้าวอกแวกไม่เสียดายชีวิต แต่ก็อย่าลากคนอื่นมาเดือดร้อนด้วย”
เฉินผิงอันผู้นั้นวางยันต์สองปึกในมือลง ใช้พัดพับที่หุบเข้าหากันเคาะลงบนหัวใจเบาๆ มองไปยังสนามรบทางทิศใต้แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อพี่ฉียังไม่อยากซื้อก็ไม่เป็นไร การซื้อขายบนโลกมนุษย์ ความถูกตาต้องใจต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะคอยดูการฟันโจรอย่างห้าวหาญของพี่ฉีให้มากแล้วกัน ทางฝั่งของนครนั่น มีใครบางคนนินทาวิธีการสังหารศัตรูของพี่ฉีอยู่บ้าง รู้สึกว่าเป็นวิธีการที่อำมหิตเกินไป ถ้าถามข้าน่ะ ข้าว่าดีจะตายไป นิสัยคุณชายตระกูลสูง ความเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวใครของผู้ฝึกกระบี่ที่มีความสามารถ ความเห็นแก่ตัวเล็กๆ ที่ไม่ยอมให้คนวัยเดียวกันเหนือกว่าตัวเองบนร่างของพี่ฉี นั่นเป็นแค่ข้อเสียเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่ขอแค่อยู่บนสนามรบ พี่ฉีก็เหมือนกลายไปเป็นอีกคน กลายเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง สามารถอดทนข่มกลั้นต่อเฉินผิงอันที่ตอนอยู่ในนครต้องฆ่าแต่ทำไม่ได้ ถึงขั้นสามารถฝืนนิสัยข่มความไม่สบอารมณ์มากมายในใจ ช่วยข้าสังหารศัตรูเฝ้าพิทักษ์สนามรบไปด้วยกัน ผู้ฝึกกระบี่ฉีโซ่วที่เป็นเช่นนี้ช่างมีมาดของเซียนเลิศล้ำเป็นอันดับหนึ่งจริงๆ …”
ฉีโซ่วสูดลมหายใจเข้าลึก “ตราบใดที่ข้าไม่ซื้อยันต์ห่วยๆ ของเจ้า เจ้าก็จะพูดแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันสะบัดพับคลี่ออก ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่พูดแล้วๆ เชิญพี่ฉีออกกระบี่อย่างสง่างามได้ตามสบาย”
ฉีโซ่วถอนสายตากลับมา บังคับเฟยหลวนและซินเสียนให้สังหารปีศาจต่ออีกครั้ง
เมื่อเทียบกับสงครามในครั้งแรก ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าจำนวนสัดส่วนของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ซึ่งอยู่ในกองทัพใหญ่โจมตีเมืองมีมากขึ้นหลายส่วน ไม่ใช่แค่สัตว์เดรัจฉานที่สติปัญญายังไม่เปิดกว้างซึ่งหากผู้ฝึกกระบี่ของหัวกำแพงเมืองที่มีขอบเขตสูงสังหารพวกสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ได้ยังไม่ถือเป็นคุณความชอบด้วยซ้ำ ในสงครามเปิดฉากครั้งแรก เผ่าปีศาจที่ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริงเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนจะถูกบงการให้เป็นแนวหน้าที่คอยบุกโจมตี ผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวของพวกมันก็คือใช้กองกระดูกทับถมกันเป็นภูเขา เติมเต็มร่องลึกแต่ละเส้นที่เซียนกระบี่ฟันผ่า เอาเลือดเนื้อแทรกซึมเข้าไปในพื้นดินเพื่อสร้างผลกระทบต่อฟ้าอำนวยดินอวยพร
อันที่จริงฉีโซ่วไม่สนใจยันต์ห้าธาตุหลากหลายชนิดพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ มีเพียงยันต์นำทางและยันต์ข้ามสะพานเท่านั้น โดยเฉพาะฝ่ายหลังที่เขาพอจะสนใจอยู่บ้าง เพราะบนยันต์มีปราณกระบี่เป็นเส้นๆ ไหลเวียนวนอยู่จริงๆ นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะแกล้งทำกันได้ ในแก่นของยันต์มีปณิธานกระบี่ไม่มาก แต่กลับบริสุทธิ์ ถ้าอย่างนั้นที่เฉินผิงอันบอกว่าเซียนกระบี่ใหญ่ถ่ายทอดให้เป็นการส่วนตัว ฉีโซ่วก็พอจะเชื่ออยู่สองสามส่วน
แต่ตัวฉีโซ่วเองคิดจะรักษาสนามรบไว้ไม่ใช่เรื่องยาก จึงไม่คิดจะทำการค้ากับเฉินผิงอันแม้แต่น้อย ต่อให้เจ้าจะพูดจาจูงใจน่าเชื่อถือแค่ไหน ชื่อเสียงเถ้าแก่รองที่ขายเหล้ากับเจ้ามือนักพนันของเจ้าก็ฉาวโฉ่ไปทั่วทุกหัวถนนในกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว แม้แต่เจ้ามือคนอื่นๆ ยังหาช่องทางทำเงินไม่ได้ นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ ยิ่งเป็นนักพนันที่มีประสบการณ์โชกโชนก็ยิ่งด่ารุนแรง ในใจเจ้าเฉินผิงอันจะไม่รู้บ้างเลยหรือ?
ผู้ฝึกกระบี่ที่เข้ามาแทนที่ตำแหน่งของเซี่ยซงฮวาและหลิวเสี้ยนหยางคือก่อกำเนิดเฒ่าที่พอมาถึงหัวกำแพงเมืองแห่งนี้ก็เงียบงันพูดน้อย เขาก็คือเฉิงเฉวียนที่หล่นจากห้าขอบเขตบนมาสู่ขอบเขตก่อกำเนิด คนที่ชอบทะเลาะกับเซียนกระบี่จ้าวเก้ออี๋มาเกินครึ่งชีวิต คนหนึ่งเฝ้าหัวกำแพงฝั่งเหนือ อีกคนเฝ้าหัวกำแพงฝั่งใต้ พูดจาไม่เข้าหูกันคำเดียวก็ถ่มน้ำลายใส่กัน ในอดีตเวลาคุมเชิงอยู่กับจ้าวเก้ออี๋ ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเฒ่าผู้นี้พูดมากอย่างถึงที่สุด แต่พอออกห่างมาจากจ้าวเก้ออี๋ มาอยู่เพียงลำพัง อาจเป็นเพราะไม่มีคู่ต่อสู้จึงเงียบงันอยู่ตลอด
อันที่จริงแถบหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้ เรือนส่วนตัวที่เซียนกระบี่ทิ้งเอาไว้หลังหนึ่งในนั้นเป็นบรรพจารย์ของเฉิงเฉวียนที่อาศัยคุณความชอบทางการสู้รบแลกมา ภายหลังก็อยู่ในนามของเฉิงเฉวียน เพราะว่าทุกวันนี้สายของเฉิงเฉวียน นอกจากตัวเขาเองแล้ว คนอื่นๆ ในครอบครัวและสำนักล้วนตายกันหมดสิ้นแล้ว สภาพของเขาจึงไม่ต่างจากเซียนกระบี่หญิงโจวเฉิงคนนั้นสักเท่าไร
เฉิงเฉวียนออกกระบี่ได้ว่องไวคล่องแคล่วยิ่ง ทุกที่ที่กระบี่บิน ‘ซานสุ่ย’ (ขุนเขาสายน้ำ) พุ่งผ่าน กลางอากาศสูงเหนือสนามรบก็ราวกับมีเทือกเขาที่แกะสลักมาจากหยกสีเขียวมรกตทุ่มกระแทกใส่เผ่าปีศาจจนกลายเป็นกองเนื้อเละๆ หากมีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่โชคดีไม่ตายหรือหลบพ้นมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็โยนยอดเขาเข้าใส่อีกหลายๆ ที หากภูเขาลูกใดถูกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ขอบเขตไม่ธรรมดาใช้สมบัติอาคมทำลายทิ้ง มันก็จะกลายเป็นทะเลสาบสีเขียวมรกตที่หากหล่นลงพื้นก็จะทำให้สนามรบเกาะตัวเป็นน้ำแข็งได้ในเสี้ยววินาที พอเผ่าปีศาจแหงนหน้ามองไปอีกครั้งก็จะมีภูเขากดทับลงมาจากเหนือหัวอีกรอบ
ดังนั้นเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านทั้งสอง เฉินผิงอันที่ปล่อยกระบี่บินสี่เล่มออกไปพร้อมกัน ฉีโซ่วที่สังหารเผ่าปีศาจอย่างโหดเหี้ยม สนามรบทางฝั่งของเฉิงเฉวียนจึงสะอาดเอี่ยมเกลี้ยงเกลามากกว่า
จุดที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ แต่เป็นข้อที่ว่าเผ่าปีศาจที่จิตวิญญาณค่อนข้างเปราะบางจำนวนมากมักจะถูกกระชากเข้าไปในทะเลสาบโดยไม่ทันรู้ตัวได้อย่างง่ายดาย สุดท้ายก็ระเบิดแตกไปพร้อมกับน้ำทะเลสาบที่เกาะตัวเป็นน้ำแข็ง
อันที่จริงเฉิงเฉวียนยังมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘ท่าเปย’ (คัดลอกสำเนาศิลา) อีกเล่มหนึ่งที่มองดูคล้ายซี่โครงไก่ แต่กลับยังมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตอีกอย่างที่ผ่านการหลอมใหญ่มาแล้ว ชื่อไม่เป็นที่แน่ชัด แต่มีความมหัศจรรย์ของการจัดสวนกระถาง (ศาสตร์การจัดสวนอย่างหนึ่งของจีนที่จะจัดพวกต้นไม้หรือก้อนหินลงในกระถาง ยกตัวอย่างเช่นการเลี้ยงบอนไซ) จัดก้อนหินให้เป็นภูเขา จัดน้ำให้เป็นลำธาร
ดังนั้นอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดวิชาให้แก่เฉิงเฉวียนในอดีตก็คือหนึ่งในเซียนกระบี่ที่เคยพากลุ่มคนไปไล่ล่าในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เขาจะทำการหลอมเล็กให้กับแม่น้ำลำคลองหรือยอดเขาก่อน จากนั้นจึงนำกลับมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ มอบให้ลูกศิษย์อย่างเฉิงเฉวียนทำการหลอมกลาง และเมื่อฝ่ายหลังเรียกภูเขาสายน้ำเล็กๆ ออกมาบนกระถางที่ผ่านการจัดวางเรียบร้อย บวกกับวิชาอภินิหารคัดลอกสำเนาศิลาของกระบี่บินท่าเปย ยามอยู่บนสนามรบจึงมีภาพมหัศจรรย์ปรากฎ สายนทีไหลซัดเชี่ยวกราก ขุนเขาพลันผุดทะยาน และเมื่อถูกปณิธานกระบี่ของท่าเปยชักนำ สายน้ำก็พลันรวมตัวกันมากขึ้น ภูเขาก็ยิ่งสูงตระหง่านมากกว่าเดิม
ดังนั้นในศึกโจมตีและพิทักษ์หลังจากศึกสิบสามในปีนั้น เฉิงเฉวียนถึงได้ถูกปีศาจใหญ่ฉงกวงหมายหัว และยังใช้วิธีลอบโจมตีทำให้ขอบเขตของเฉิงเฉวียนถดถอย แล้วก็เพราะจับคู่เข่นฆ่ากับเฉิงเฉวียนที่เป็นขอบเขตหยกดิบ บางทีในบรรดาเซียนกระบี่มากมาย เฉิงเฉวียนอาจไม่สะดุดตามากนัก แต่เมื่อไปถึงสนามรบ ผู้ฝึกกระบี่ประเภทเขาและอู๋เฉิงเพ่ยขอบเขตหยกดิบที่พก ‘น้ำค้างหวาน’ เล่มนั้น ถึงได้สร้างพลังพิฆาตมหาศาลให้แก่กองทัพใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่โจมตีอยู่ใต้กำแพง
เฉินผิงอันหันหน้ามามอง เฉิงเฉวียนก็เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “หุบปาก ข้าผู้อาวุโสไม่มีเงินจะให้เจ้าหลอกหรอกนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็ได้”
ฉีโซ่วไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เจ้าตัวดี เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเหมือนกัน เหตุใดพอเจอกับเฉิงเฉวียน เฉินผิงอันถึงได้พูดง่ายขนาดนี้?
ไม่เพียงเท่านี้ ฉีโซ่วยังสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันที่ถูกอีกฝ่ายตอกกลับไม่เพียงแต่ไม่อาฆาตแค้น กลับกันยังโยนเหล้าภูเขาชิงเสินที่กาหนึ่งมีมูลค่าห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะไปให้ผู้เฒ่าที่อยู่ห่างไปไกลอีกด้วย
เฉิงเฉวียนเปิดผนึกดินเหนียว สูดดมกลิ่นแล้วพูดอย่างรังเกียจว่า “รสชาติเจือจางไปแล้ว นี่จะนับเป็นสุราได้อย่างไร ต้องเป็นพวกนิสัยเหมือนสตรีอย่างเจ้าจ้าวเก้ออี๋นั่นถึงจะชอบดื่ม”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ก็ยังดื่มเหล้าอยู่ดี
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะโยนเหล้าต้มแบบใหม่ของร้านไปให้อีกกาหนึ่ง เฉิงเฉวียนดมแล้วก็พยักหน้า “นี่ต่างหากถึงจะเป็นสุรา มิน่าเล่ากิจการของที่ร้านถึงได้ไม่เลว หากร้านเหล้าของเจ้ามาขายที่หัวกำแพง ข้าก็จะซื้อ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ให้ติดเงินนะ”
เฉิงเฉวียนเหล่ตามองคนหนุ่มผู้นั้นแวบหนึ่งแล้วถามว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าถูกแม่นางคนหนึ่งต่อยคว่ำที่หน้าประตูจวนหนิง?”
เฉินผิงอันใช้พัดพับตีฝ่ามือเบาๆ “ไม่ปิดบังผู้อาวุโสเฉิง แสร้งทำเป็นแข็งแกร่งให้ศัตรูเข้าใจผิด คือวิธีที่ข้าถนัดเลยล่ะ ไม่ว่าใครที่เคยประมือกับข้า ล้วนเอาชนะได้อย่างยิ่งใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นพี่ฉีที่อยู่ข้างกายข้านี่ไง”
ในสงครามครั้งที่สองนี้ก็ยังคงใช้กระบี่บินสี่เล่มอย่างชูอีสืออู่ ซงเจินไฮเหลย ยิ่งนานเฉินผิงอันก็ยิ่งรับมืออย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ กระบี่บินรวดเร็วสุดขีด
หากพูดถึงแค่เรื่องของการบังคับกระบี่ ยังคงเป็นตนที่เชี่ยวชาญที่สุดจริงๆ เสียด้วย ไม่ต้องถูกหลักการเหตุผลต่างๆ นานามาพันธนาการ จิตใจก็ย่อมบริสุทธิ์มั่นคง หลักการเหตุผลนั้นดี แต่มากเกินไปก็จะกดทับคน กระบี่บินย่อมจะช้าลงไปด้วย และความช้าที่แม้เพียงแค่เสี้ยวเดียว ก็ยังเป็นความต่างราวก้อนเมฆกับดินโคลน
เฉิงเฉวียนรู้สึกว่าเจ้าเด็กนี่พูดจาได้น่าสนใจว่าจ้าวเก้ออี๋ผู้นั้นมากนัก
ดังนั้นก่อกำเนิดผู้เฒ่าท่านนี้จึงขยับตำแหน่งมานั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอันเสียเลย เขาถามว่า “ได้ยินมาว่าใต้หล้าไพศาลมีขุนเขาสายน้ำงดงามมากมายที่ทำให้ดวงตาและจิตใจคนปลอดโปร่งโล่งสบาย มองแล้วเกิดความประทับใจมิรู้ลืม?”
เฉินผิงอันถึงขั้นไม่ได้หันหน้ามาพูดคุยกับเขา สายตาเพียงมองตรงไปเบื้องหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นเช่นนั้นจริง แต่หากมองมากเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเป็นต้องเดินขึ้นเขาลงห้วยผ่านพวกมันไปกลับจะรู้สึกรำคาญ ไม่ว่ามองไปทางใดก็มีสิ่งกีดขวาง จิตใจจึงยากที่จะเหมือนนกกางปีกโบยบินอย่างเสรี ผู้ฝึกตนของบ้านเกิดมักจะไปอยู่ในภูเขา แต่พออยู่นิ่งๆ นานเข้าก็นึกอยากที่จะเคลื่อนไหว จึงต้องไปเกลือกกลิ้งในฝุ่นธุลีนอกภูเขาสักรอบหนึ่ง ลงจากภูเขาก็เพื่อขึ้นเขา นี่ก็น่าเบื่อมากเหมือนกัน”
เฉิงเฉวียนนึกเสียใจภายหลังแล้วที่ขยับมานั่งตรงนี้ เมื่อครู่เจ้าหมอนี่พูดจาน่าสนใจ เวลานี้กลับพูดจาทื่อๆ เหมือนขวานผ่าซาก ความน่าสนใจที่ว่าหายไปหมดสิ้น
เฉินผิงอันหยิบตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอก ยิ้มร่าหันหน้ามายื่นส่งให้เฉิงเฉวียน “ผู้อาวุโสเฉิง ลองดูว่ามีตราประทับที่สนใจหรือไม่ กิจการของข้าดีเกินไป ตราประทับเลยขายออกเกือบหมดแล้ว แต่ขอแค่ผู้อาวุโสเฉิงเปิดปากขอ ข้าไม่เพียงแต่จะสลักเพิ่มอีก ยังสามารถลดราคาให้ได้ด้วย ต่อให้ผู้อาวุโสเฉิงจะไม่ชอบนัก แต่แค่เอาไปขายต่อก็ได้เงินค่าเหล้ากาสองกาแล้ว แล้วไยจะไม่ซื้อไปเล่า?”
เฉิงเฉวียนรับตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่เล่มนั้นมา เปิดไปหน้าหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็จุ๊ปากยิ้มพูดว่า “นอกจากการค้าแล้ว ใครที่เลือกตราประทับไป ภายนอกมองดูเหมือนว่าถูกชะตา แต่แท้จริงแล้วกลับแสดงให้เห็นถึงความคิดบางอย่างของคนผู้นั้น นอกจากจะทำให้เจ้าได้เงินแล้ว ยังสามารถอาศัยสิ่งนี้มาอ่านใจคนได้เปล่าๆ อีกด้วย เถ้าแก่รอง ช่างทำการค้าได้ดียิ่งนัก”
“มองใจคน คือการผลักและเคาะ (คำนี้ภาษาจีนให้ว่า 推敲 ยังแปลได้ว่าคิด ทบทวน กลั่นกรอง) ควรจะผลักประตูดี หรือควรจะเคาะประตูถึงจะดีกว่า? ข้าว่าล้วนไม่ดีทั้งสองอย่าง”