เฉินผิงอันไปหาเยี่ยนหมิงก่อน คนทั้งสองเดินเล่นไปด้วยกัน หมี่อวี้เดินตามมาด้านหลังอยู่ไกลๆ
หนึ่งคือมาขอสมุดบัญชีจากตระกูลเยี่ยน อีกหนึ่งคือสอบถามเยี่ยนหมิงเกี่ยวกับกฎการทำการค้าระหว่างกำแพงเมืองปราณกระบี่กับภูเขาห้อยหัวอย่างละเอียด
ปัญหาที่แท้จริงคือกำลังทรัพย์ของตระกูลเยี่ยน หากปูพื้นด้วยเงินเทพเซียน ท่ามกลางการค้าขายครั้งหนึ่ง สามารถขาดทุนได้นานแค่ไหน และทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ควรจะชดเชยความเสียหายให้กับตระกูลเยี่ยนอย่างไร
คนหนึ่งเป็นร้านผ้าห่อบุญ คนหนึ่งคือเจ้าประมุขผู้มีเงินทองมากมาย ทั้งสองฝ่ายคุยกันไปเกินครึ่งชั่วยาม ต่างคนต่างดีดลูกคิดของตัวเอง
ระหว่างที่เดินทาง เฉินผิงอันพูดคุยกับหมี่อวี้อย่างตรงไปตรงมา หมี่อวี้รู้สึกว่าทางฝั่งของน่าหลันเซาเหว่ยอาจจะพูดคุยได้ยาก ทางฝั่งของเยี่ยนหมิงนี้มีปัญหาไม่มาก หนึ่งเพราะเฉินผิงอันคือใต้เท้าอิ่นกวาน อีกทั้งยังได้รับหน้าที่ท่ามกลางอันตราย จึงกุมอำนาจยิ่งใหญ่ไว้ในมือ อีกอย่างคือความสัมพันธ์ระหว่างเฉินผิงอันกับนายน้อยใหญ่ตระกูลเยี่ยนนั้นดีเยี่ยม ไม่ว่าจะโดยส่วนรวมหรือส่วนตัว เยี่ยนหมิงก็ควรจะขายหม้อทุบเหล็ก ช่วยสนับสนุนเฉินผิงอัน ข้อสาม แล้วก็เป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุด คำพูดของเฉินผิงอันใช้ได้ผลกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส
เฉินผิงอันบอกลากับเยี่ยนหมิงเพื่อไปหาน่าหลันเซาเหว่ย การทำการค้ากับภายนอก ตระกูลเยี่ยนและตระกูลน่าหลันก็คือกรอบป้ายอักษรทองสองป้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หอภูษา หอกระบี่และหอโอสถมีสามตระกูลต่ง เฉิน ฉีเป็นผู้ครอบครอง สามฝ่ายข้ามผ่านเรื่องของเงินไปไม่ได้ ดังนั้นเยี่ยนหมิงและน่าหลันเซาเหว่ยสองคนจึงถือเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภเงินทองตามความหมายที่แท้จริง
หมี่อวี้ถาม “พอจะราบรื่นไหม?”
เฉินผิงอันเอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “โดยภาพรวมแล้วไม่มีปัญหา แต่หากลงรายละเอียดกลับมีอุปสรรคเยอะมาก เดิมทีคิดว่าการมาพูดคุยกับผู้อาวุโสสองท่านนี้จะง่ายก่อนแล้วค่อยไปยาก ดูท่าแล้วคงต้องบอกว่ายากบวกยากถึงจะถูก”
หมี่อวี้เอ่ยสัพยอก “ถ้าอย่างนั้นคำเรียกขานว่าท่านอาเยี่ยนของใต้เท้าอิ่นกวานจะไม่เรียกไปอย่างเสียเปล่าหรอกหรือ”
จากนั้นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่ชอบถือจอกสุราชมจันทร์ นอนเมามายอยู่ท่ามกลางเมฆเรืองรองผู้นี้ก็เอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “เยี่ยนหมิงผู้นี้ไม่รู้จักกลัวตายเกินไปหน่อยไหม? ไม่เห็นแก่หน้าของสายอิ่นกวานสักนิดเลยหรือ? หลักการที่ว่าคนหนึ่งรุ่งโรจน์ก็รุ่งโรจน์ไปด้วยกัน คนหนึ่งพินาศก็พินาศกันไปหมด ขนาดข้ายังเข้าใจ แล้วเจ้าเยี่ยนหมิงผู้นี้จะมัวอิดออดอะไรอยู่? เป็นเพราะในอดีตไม่มีแขนสองข้าง ไม่ยินดีขึ้นหัวกำแพงเมือง แค่สังหารปีศาจไม่กี่ตนก็กลัวว่าใต้เท้าอิ่นกวานจะแย่งอำนาจทางด้านเงินทองของเขาอย่างนั้นหรือ?”
สำหรับเยี่ยนหมิงที่ขอบเขตถดถอยมาสู่ก่อกำเนิด หมี่อวี้ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย
มีเงินเทพเซียนมากมาย แต่กลับไม่เอาไปใช้กับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต แมลงน่าสงสารประเภทนี้เมื่อเทียบกับพวกผู้ฝึกกระบี่ที่สังหารปีศาจอย่างยากลำบาก ทุ่มสุดชีวิตเพื่อเลี้ยงกระบี่แล้วยังแย่ยิ่งกว่าเสียอีก
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไหนเลยจะมีเรื่องที่ง่ายดายเช่นนี้ เยี่ยนหมิงคิดบัญชีอย่างรอบคอบรัดกุมยิ่ง ในเมื่อทิศทางใหญ่พูดคุยกันรู้เรื่องแล้ว ใคร่ครวญเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยให้มากก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้าย ข้าแค่มาหาเขาบ่อยๆ ก็ได้แล้ว จะว่าไปแล้วเยี่ยนหมิงทำเช่นนี้ ไม่คิดว่าอิ่นกวานมีค่ากว่าเงินเทพเซียนแม้แต่น้อย นี่ต่างหากถึงจะเป็นความรับผิดชอบที่มีต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่แท้จริง”
หมี่อวี้ถามเสียงเบา “ใต้เท้าอิ่นกวานไม่รู้สึกไม่พอใจสักนิดเลยจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “รู้สึกเสพสุขกลับเรื่องที่ชวนให้สบายใจมากกว่า อย่างเซียนกระบี่หมี่ที่เป็นคนในกลุ่มเทพเซียนนี้ ในด้านขอบเขตก็ยากที่จะพัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว เรื่องที่ทุกข์ทรมาน หากอดทนจนผ่านไปได้ แม้จะเป็นแค่เศษแค่เสี้ยว ก็ล้วนเป็นผลประโยชน์ทั้งสิ้น”
หมี่อวี้บื้อใบ้ไร้คำตอบโต้
ก็ยังไม่พอใจอยู่นั่นแหละ ก็แค่ไม่เอาไประบายใส่เยี่ยนหมิง ตนช่างน่าสงสารนัก
แต่หมี่อวี้รับคำพูดที่เอ่ยต่อหน้าพวกนี้ได้ สิ่งที่รับไม่ได้ก็คือเซียนกระบี่บางคนที่ทักทายด้วยรอยยิ้มอย่างมีไมตรีจิต แต่นั่นก็เป็นแค่การทักทายเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นหลี่ถุ่ยมี่ในอดีต หรือพวกที่คร้านจะมองเขาหมี่อวี้ให้เต็มๆ ตาสักครั้ง ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงที่เป็นเพื่อนสนิทกับหมี่ฮู่พี่ชายของเขา ยามที่อยู่กับเขาหมี่อวี้ อีกฝ่ายไม่เคยพูดจาไม่น่าฟัง เพราะว่าไม่เคยพูดอะไรเลย มีดทื่อที่เหมือนห่อหุ้มด้วยผ้าแพรต่วนต่างหากที่ขัดกร่อนจิตแห่งกระบี่ได้มากที่สุด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ปิดประตูแล้วเอ่ยคำพูดไม่น่าฟังแบบคนกันเอง เซียนกระบี่หมี่อย่าได้เก็บเอาไปใส่ใจ”
พอไปเจอกับน่าหลันเซาเหว่ย เซียนกระบี่ผู้เฒ่าก็เอ่ยกับเฉินผิงอันประโยคหนึ่งว่า ข้าไม่เคยดูแลเรื่องเงินทอง ไปคุยกับน่าหลันไฉ่ฮ่วนเอาเอง
เฉินผิงอันจึงไปหาน่าหลันไฉ่ฮ่วน ผู้ฝึกกระบี่หญิงขอบเขตก่อกำเนิด ขอบเขตไม่สูง แต่ดูแลปกครองบ้านเรือนได้เป็นอย่างดี หาเงินเก่ง
คราวนี้หมี่อวี้เดือดเป็นฟืนเป็นไฟแล้วจริงๆ “ตาแก่น่าหลันวางมาดขนาดนี้เชียวหรือ?!”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่ต่อคำ
และหมี่อวี้ก็กล้าแค่บ่นลับหลังเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ตอนที่พบน่าหลันเซาเหว่ย เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ
คนทั้งสองไปหาน่าหลันไฉ่ฮ่วน คือสตรีโตเต็มวัยหน้าตางดงาม เรือนกายอรชร แต่งกายประณีต บนมวยผมของนางปักปิ่นหยกสีขาว หางปิ่นหยกแกะสลักเป็นรูปแมลงปอตัวเล็กๆ ที่สวยงามเหมือนของจริง สตรีผู้นี้มีคิ้วดำเรียวยาว สวมเสื้อผ้าไหมทออ่อนนุ่มกุ๊นขอบทอง สวมรองเท้าผ้าสีแดงสด คือสาวงามที่ได้รับการยอมรับจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ท่านหนึ่ง
มองดูเหมือนสตรีแต่งงานแล้วชนชั้นสูงที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ทว่าพอมาถึงหัวกำแพงเมืองกลับออกกระบี่อย่างอำมหิตดุดัน วิธีการที่ใช้พอๆ กับฉีโซ่ว
ความคิดของหมี่อวี้ซับซ้อน จงใจตีหน้าเย็นชา
น่าหลันไฉ่ฮ่วนกับหมี่อวี้เป็นคนรุ่นเดียวกัน อย่าเห็นว่าในสายตาของพวกเซียนกระบี่ หมี่อวี้คือห้าขอบเขตบนที่เป็นดั่งหมอนปักลายบุปผา แต่ในความเป็นจริงแล้วสตรีที่ชื่นชอบหมี่อวี้มีเยอะมาก และพวกสตรีที่ปรารถนาแต่มิได้มาครอบครอง ยามที่ด่าหมี่อวี้ก็มักจะดุเดือดกว่าพวกบุรุษเสียอีก น่าหลันไฉ่ฮ่วนผู้นี้ก็คือคนหนึ่งในนั้น ก่อนที่หมี่อวี้จะกลายเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ชีวิตของเขาราบรื่นจนน่าเหลือเชื่อ นี่ถึงทำให้มีวลีติดปากที่บอกว่า ‘นับแต่โบราณมาความรักมิอาจรั้งหมี่อวี้ได้อยู่’ ในความเป็นจริงแล้วมิใช่ว่าหมี่อวี้รั้งใครไม่อยู่ แต่เป็นเพราะสตรีที่มีความรักลึกล้ำซึ่งมีทั้งคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่และคนของใต้หล้าไพศาลต่างหากที่กลับไม่มีใครรั้งหมี่อวี้ไว้ได้ก็เท่านั้น
หมี่อวี้มองเห็นตัวคน
แต่สิ่งที่เฉินผิงอันมองเห็นคือภูเขาเงินภูเขาทองของน่าหลันไฉ่ฮ่วนและของตระกูลนางเท่านั้น
ประโยคแรกที่เฉินผิงอันพูดนับแต่เจอหน้ากันเกือบทำให้หมี่อวี้ขึงหน้าไว้ไม่อยู่
“น่าหลันฮูหยิน เจ้าประมุขของพวกเจ้าคุยกับข้ารู้เรื่องแล้ว เซียนกระบี่ผู้อาวุโสใจกว้างเห็นแก่ส่วนรวม ยินดีสละผลประโยชน์ของตระกูลก็ต้องช่วยให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ข้ามผ่านด่านยากไปให้ได้ แต่ก่อนจะจากมาเซียนกระบี่ผู้อาวุโสก็เอ่ยเตือนข้าว่า ตระกูลน่าหลันมีฮูหยินเป็นคนตัดสินใจ ดังนั้นทางที่สุดข้าก็ควรมาบอกฮูหยินสักคำ”
และต่อจากนั้นน่าหลันไฉ่ฮ่วนก็เก็บความคิดทั้งหมด เริ่มพูดคุยรายละเอียดของสถานการณ์ต่อจากนี้กับใต้เท้าอิ่นกวานที่ได้รับ ‘พระราชโองการจากบรรพบุรุษ’
คนทั้งสองย้อนกลับไปยังทางเดินม้าที่สายอิ่นกวานอยู่กัน
หมี่อวี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ถามเสียงเบาว่า “วันหน้าหากน่าหลันไฉ่ฮ่วนไปคุยกับน่าหลันเซาเหว่ย จะไม่เป็นการเผยพิรุธของใต้เท้าอิ่นกวานหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “คนขายเปิดราคาสูงเทียมฟ้า คนซื้อหั่นราคา ล้วนอาศัยความสามารถของใครของมัน ข้าพูด น่าหลันเซาเหว่ยไม่ยินดีจะฟัง ถ้าอย่างนั้นก็ให้น่าหลันไฉ่ฮ่วนไปพูดแทน”
สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อว่า “หากน่าหลันฮูหยินซักไซ้เอาความผิด คาดว่าเซียนกระบี่หมี่คนเดียวก็ขัดขวางไว้ได้แล้ว แต่หากน่าหลันเซาเหว่ยถือกระบี่มาฟันข้าด้วยตัวเอง พี่ใหญ่หมี่ก็ต้องปกป้องข้าด้วยนะ”
หมี่อวี้ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ก็ยังมีลู่จือไม่ใช่หรือ? คงไม่ถึงคราวที่ข้าต้องไปงัดข้อกับตาเฒ่าน่าหลันกระมัง”
น่าหลันเซาเหว่ยก็ดี ลู่จือก็ช่าง ล้วนเป็นเซียนกระบี่ยอดเขาสิบคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เวลาปกติที่หมี่อวี้พบเจอพวกเขา ต่อให้ไม่ถึงขั้นต้องเดินอ้อมผ่านไป ทว่าส่วนลึกในใจก็ยังรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ ในใจเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรงพวกเขา
สหายที่หมี่อวี้พูดคุยด้วยได้ ส่วนใหญ่คือผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลาง อีกทั้งยังเป็นพวกเสเพลเสียมาก เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนนั้นมีน้อยจนนับนิ้วได้
ตลอดทางที่เดินมาพร้อมกับเฉินผิงอันมีเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบแค่คนเดียวที่เอ่ยทักทายหมี่อวี้ นามว่าเลี่ยจี่ ในด้านการฝึกตนถือเป็นคู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากกับหมี่อวี้ ถือเป็นขอบเขตหยกดิบที่ตอนเด็กฉลาด แต่โตมาใช่ว่าจะมีพรสวรรค์เสมอไป อยู่ในใต้หล้าไพศาล บางทีอาจเป็นความเสียดายใหญ่เทียมฟ้าที่มีเฉพาะเซียนกระบี่เท่านั้น แต่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับกลายมาเป็นเรื่องตลกของทุกคน
ว่ากันว่าเลี่ยจี่มีนิสัยที่นั่งนิ่งๆ ไม่ค่อยได้ ชอบพูดคุยชอบหัวเราะ เคยมีฉายาว่า ‘นกกางเขน’ แต่คนหนุ่มสาวของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับไม่มีใครแปลกใจที่เหตุใดเซียนกระบี่เลี่ยจี่ถึงได้มีฉายาที่ไร้เหตุผลเช่นนี้
เลี่ยจี่มักจะมาดื่มเหล้าดับทุกข์กับหมี่อวี้เป็นประจำ
เวลานี้พอได้พบเฉินผิงอัน เลี่ยจี่ก็ยิ้มแล้วเอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าใต้เท้าอิ่นกวาน
เฉินผิงอันที่เดิมทีสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ กุมหมัดคารวะกลับคืน
พอเดินจากมาไกลแล้ว เฉินผิงอันก็เอ่ยสัพยอกว่า “เซียนกระบี่หมี่มีสหายกว้างขวาง ข้าก็เลยได้พึ่งใบบุญไปด้วย”
หมี่อวี้ชำเลืองตาไปยังหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้ เขาเองก็เหมือนผังหยวนจี้ที่แท้จริงแล้วอยากจะออกกระบี่สังหารศัตรูมากกว่า
หลายวันต่อมา นอกจากที่เฉินผิงอันจะนั่งบัญชาการณ์สายอิ่นกวานแล้วก็มักจะเรียกหมี่อวี้ให้ไปพูดคุยปรึกษาธุระกับผู้อื่นด้วยกันประจำ
ล้วนเป็นบุคคลยิ่งใหญ่
ยกตัวอย่างเช่นอริยะของลัทธิพุทธและลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์ปลายสองด้านของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินผิงอันต้องการถามเกี่ยวกับวิธีการภายในของ ‘การช่วงชิงฟ้าอำนวย’ ให้ได้อย่างชัดเจน
ในช่วงเวลาระหว่างนี้ หมี่อวี้ค้นพบว่าหนิงเหยาสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ระดับอาวุธเซียน และยังสร้างกล่องกระบี่ขึ้นใหม่เพื่อบรรจุกระบี่ยาวสองเล่ม เล่มหนึ่งในนั้นก็คือ ‘เจี้ยนเซียน’ ที่เฉินผิงอันใช้สังหารหลีเจิน ช่างเป็นชื่อที่ดีจริงๆ มิน่าเล่าบางครั้งเวลาที่อิ่นกวานหนุ่มคุยเล่นกับกู้เจี้ยนหลง หวังซินสุ่ยที่โต๊ะถึงได้บอกว่าตัวเองมีพรสวรรค์ดีเยี่ยมในเรื่องของการตั้งชื่อ หากการตั้งชื่อก็คือการฝึกตนบนมหามรรคาเพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้ เวลานี้ตนก็น่าจะเริ่มต้นเดินที่ขอบเขตเซียนเหรินแล้ว
ผังหยวนจี้เอ่ยเตือนมาคำหนึ่งว่า เอกสารลับคดีต่างๆ ที่สายอิ่นกวานเก็บรวบรวมมาตลอดเวลาหลายพันปีนี้ถูกแบ่งแยกประเภทไว้ที่ตำหนักหลบร้อนหลบหนาวสองแห่งมานานแล้ว จำนวนนั้นมีเยอะมาก ไม่มีทางย้ายมาที่ทางเดินม้าเส้นนี้ได้ทั้งหมด ไปค้นหาและเปิดอ่านอยู่ที่นั่นจะสะดวกสบายอย่างมาก โดยเฉพาะคฤหาสน์หลบร้อนที่สำคัญในสำคัญอีกที แทนที่จะทำเรื่องจวนตัว ให้คนค้นหาเอกสารที่ต้องการแล้วคอยเทียวไปเทียวมา ก็ไม่สู้ให้ทุกคนย้ายไปที่คฤหาสน์หลบร้อน แม้ว่ากระบี่บินของสายอิ่นกวานจะเร็วมาก ก็แค่ย้ายม้วนภาพสองม้วนไปยังคฤหาสน์หนึ่งในนั้น ไม่อย่างนั้นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานมารวมตัวกันอยู่ที่ทางเดินม้าแถบนี้ จะต้องถูกปีศาจใหญ่หมายหัวอย่างแน่นอน เดิมทีการที่พวกเราอยู่บนหัวกำแพงก็เป็นการหักลดพลังพิฆาตของเซียนกระบี่ใหญ่ลู่จืออยู่แล้ว
ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานแทบทุกคนล้วนเห็นด้วยและสนับสนุนข้อเสนอของผังหยวนจี้
มีเพียงเฉินผิงอันที่ไม่ตอบตกลง บอกว่ายังไม่ต้องรีบร้อน ส่วนจะย้ายไปที่คฤหาสน์หลบร้อนเมื่อไร เขาย่อมมีแผนการ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผังหยวนจี้ไม่คิดจะโต้เถียงต่อ กลับเป็นต่งปู้เต๋อ เติ้งเหลียงที่มีความเห็นต่างกับการตัดสินใจของใต้เท้าอิ่นกวาน จึงพากันเสนอความเห็น
จุดสนใจของต่งปู้เต๋อก็คือ สายอิ่นกวานสำคัญเกินไป อยู่บนทางเดินม้า หากไม่ทันระวังก็อาจเละเป็นโจ๊กหม้อหนึ่ง
ส่วนเติ้งเหลียงนั้นเสียดายยิ่งกว่าที่เซียนกระบี่ใหญ่ลู่ที่มาเฝ้าพิทักษ์อยู่ที่เดิม นี่ขัดต่อการคิดเล็กคิดน้อย พยายามช่วงชิงชัยชนะในทุกเสี้ยวซึ่งเป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์ของสายอิ่นกวานอย่างสิ้นเชิง
กวอจู๋จิ่วไม่เอ่ยอะไรอย่างที่หาได้ยาก นางก้มหน้าลง ใจนึกอยากจะถลึงตามองให้ทั้งตำราและโต๊ะหนังสือเกิดรูใหญ่สองรู กลัดกลุ้มใจเป็นอย่างยิ่ง
ความเงียบของกวอจู๋จิ่ว เดิมทีก็เป็นการแสดงท่าทีอย่างหนึ่ง
สำหรับกวอจู๋จิ่วที่ฟ้าดินกว้างใหญ่อาจารย์ใหญ่ที่สุดแล้ว นี่ก็คือการกระทำที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แต่เฉินผิงอันยังคงไม่ตอบตกลง เขาเอ่ยเหตุผลอีกสองสามข้อ เพียงแต่ยังไม่อาจสยบใจฝูงชนได้ ดังนั้นสองวันมานี้บรรยากาศระหว่างผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานจึงค่อนข้างเคร่งเครียด
หลังจากนั้นมาเซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงก็ปลีกตัวมาที่นี่รอบหนึ่ง หยุดเท้าอยู่ริมขอบพันธนาการปราณกระบี่ที่หมี่อวี้วาดขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง เซียนกระบี่ใหญ่ที่รอสำรองในอันดับสิบคนผู้นี้ถึงได้เดินหน้าต่อไป
เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นยืน เดินไปต้อนรับเยว่ชิงด้วยตัวเอง
คนทั้งสองไม่ได้อยู่ใกล้กับผู้ฝึกกระบี่คนอื่นของสายอิ่นกวาน
เยว่ชิงยิ้มกล่าว “เฉินผิงอัน เจ้าไม่ต้องเห็นแก่หน้าข้าหรอก ที่ข้ามาครั้งนี้ นอกจากจะเพื่อเอ่ยขอโทษลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งแล้ว ก็ยังต้องเอ่ยขอบคุณเฉินผิงอันที่ไม่ใช่ใต้เท้าอิ่นกวานอะไรด้วย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าไม่เกรงใจแล้ว ล้วนรับไว้”
เยว่ชิงเอ่ย “ตอนนั้นพูดจาใส่ร้ายสายเหวินเซิ่งของเจ้าอย่างโจ่งแจ้ง ตอนนี้มาขอโทษและขอบคุณเจ้า แน่นอนว่าต้องอึดอัดอยู่บ้าง บอกตามตรง หากไม่เป็นเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ได้เป็นใต้เท้าอิ่นกวาน ก่อนหน้านี้ใครจะสนว่าข้าจะออกกระบี่อย่างไร ข้าไม่มีทางเกรงใจขนาดนั้นหรอก”
เฉินผิงอันกล่าว “เซียนกระบี่ใหญ่ตัวสำรองสิบอันดับก็ควรจะมีความองอาจกล้าหาญเช่นนี้”
เยว่ชิงนวดคลึงปลายคาง เอ่ยว่า “เจ้าทำอะไรฉับไวตรงไปตรงมา ข้ายอมรับ แต่นิสัยคำพูดคำจานี่ ทำให้คนชื่นชอบไม่ลงจริงๆ”
เฉินผิงอันยื่นเหล้ากาหนึ่งส่งไปให้
เยว่ชิงหัวเราะร่าเสียงดัง รับกาเหล้ามาแล้วขี่กระบี่จากไป
เฉินผิงอันทอดสายตามองไป เนิ่นนานก็ยังไม่ถอนสายตากลับมา
เซียนกระบี่ใหญ่ควรจะเป็นเช่นนี้ เหยียบโดนเส้นบรรทัดฐาน แบ่งแยกความรักและความเกลียดชังอย่างชัดเจน