กลับมานั่งที่ เพิ่งจะหย่อนก้นลง กู้เจี้ยนหลงก็ยิ้มเอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน อย่าได้เลือกที่รักมักที่ชังสิ มอบเหล้าให้เซียนกระบี่ใหญ่เยว่กาหนึ่ง พวกเราคนกันเองก็ไม่ควรได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมไม่ใช่หรือ?”
เฉากุ่นยิ้มกล่าว “เหล้าหมักใหม่ในไหเริ่มได้ที่ ควรนำมารินใส่จอกให้เต็มล้น”
เสวียนเซินก็ร่วมวงด้วยอีกคน “ยังไม่เคยดื่มเหล้าเซียนของที่ร้านเลย ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายในชีวิต หวังว่าจะสามารถชดเชยได้”
กอวจู๋จิ่วเอามือหนึ่งตบโต๊ะ “ก็จ่ายเงินมาก่อนสิ!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เหล้าน่ะมีอยู่แล้ว ไว้ค่อยว่ากันวันหน้า รอให้สังหารผู้ฝึกกระบี่เซียนดินของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้หลายๆ คนเสียก่อน ถึงเวลานั้นข้าย่อมเอาเหล้าหลายๆ ไหออกมาฉลองแน่นอน”
เสียงโห่ร้องดังขึ้นรอบด้าน
กู้เจี้ยนหลงกับหวังซินสุ่ยส่งเสียงดังมากเป็นพิเศษ
ต่งปู้เต๋อจุ๊ปากพูดโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ใจกล้ากันน่าดูเลยนะ”
กู้เจี้ยนหลงรีบหันมาพูดกับหวังซินสุ่ยทันที “ซินสุ่ย เจ้าหมายความว่าไง?”
หวังซินสุ่ยพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ก็เลียนแบบเจ้าอย่างไรล่ะ”
เมื่อมีการหยอกล้อกันครานี้ บรรยากาศอึมครึมก่อนหน้านี้จึงดีขึ้นได้หลายส่วน
วันนี้เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นไปเยือนมุมอื่นของหัวกำแพงเมืองอีกครั้ง
หมี่อวี้ยอมรับชะตากรรมแล้ว ทุกวันนี้มีเรื่องตลกของตนเพิ่มมาอีกสองอย่าง กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตสูงที่สุดของสายอิ่นกวาน จากนั้นก็กลายมาเป็นลูกสมุนคอยติดตามใต้เท้าอิ่นกวานที่อายุน้อย
เดินไปเดินมาก็มักจะมีเซียนกระบี่ที่ไม่สนิทคุ้นเคยกันแม้แต่น้อยเอ่ยสัพยอกหมี่อวี้ “มีพี่หมี่อยู่ ไหนเลยจะยังต้องให้เซียนกระบี่ใหญ่ลู่คอยช่วยคุ้มกันสายอิ่นกวานพวกเจ้าอีกเล่า?”
และยังมีคำพูดหยอกล้อความนัยทิ่มแทงใจที่เหมารวมทั้งเขาและใต้เท้าอิ่นกวานไปพร้อมกัน “เซียนกระบี่หมี่ ว่างขนาดนี้เชียว มาชมทัศนียภาพหรือ”
หมี่อวี้มองเฉินผิงอันที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา หรือว่านี่ก็คือคำกล่าวที่ว่าคนอื่นถ่มน้ำลายรดหน้า ยังต้องรอให้มันแห้งเอง?
คำพูดเป็นธรรมบางอย่างของเจ้าตะพาบน้อยกู้เจี้ยนหลงนั่นเป็นธรรมจริงๆ พูดได้ตรงใจนัก
เป็นอีกครั้งที่เดินผ่านเลี่ยจี่
ระหว่างที่เก็บกระบี่กลับมา เลี่ยจี่ที่ปลีกตัวมาดื่มเหล้าลุกขึ้นยืน พอเห็นว่าคนทั้งสองเดินผ่านหัวกำแพงใกล้กับบริเวณที่เขาอยู่ก็บังคับเรียกเหล้าสองกาออกมาจากวัตถุฟางชุ่น ยิ้มแล้วโยนให้กับทั้งหมี่อวี้และเฉินผิงอัน “เป็นเหล้าของร้านเถ้าแก่รอง”
หมี่อวี้รับกาเหล้ามาไว้ นั่นคือเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ราคาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เจ้าเลี่ยจี่ผู้นี้ประจบสอพลอได้โดยไม่เสียดายเงินที่หามาเลือดตาแทบกระเด็นเลย
เฉินผิงอันเองก็ยื่นมือไปรับเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กานั้นเอาไว้
พริบตานั้นเอง
เหตุการณ์ผิดปกติก็พลันบังเกิด
แสงกระบี่สีแดงเส้นหนึ่งพลันพุ่งออกมา ปราณกระบี่เข้มข้นจนทำให้สีของแสงกระบี่เป็นสีแดงสดราวกับหยดเลือด
ที่แท้ก็เป็น ‘ดอกไม้ไฟ’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเลี่ยจี่ที่พุ่งตรงเข้าหาหัวใจของใต้เท้าอิ่นกวานอย่างเฉินผิงอัน
หมี่อวี้อกสั่นขวัญแขวน บีบกาเหล้าในมือจนแหลกละเอียด พริบตานั้น ‘เสียหม่านเทียน’กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็ถูกเรียกออกมา พยายามสกัดขวางกระบี่บินของเลี่ยจี่อย่างสุดกำลัง
ต่อให้มิอาจสกัดกั้นได้ทั้งหมดก็ต้องช่วงชิงโอกาสในการรับมือเสี้ยวหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน ต่อให้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสแค่ไหน แต่ก็คงดีกว่าถูกกระบี่บินของเลี่ยจี่แทงทะลุหัวใจ กระบี่บินของเซียนกระบี่ นอกจากจะทำร้ายคนแล้ว ปราณกระบี่ที่ตกค้างอยู่ในช่องโพรงลมปราณของศัตรูก็ยิ่งเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้า ต่อให้เลี่ยจี่และเขาหมี่อวี้จะถูกเซียนกระบี่คนอื่นดูแคลนแค่ไหน แต่เลี่ยจี่โจมตีเต็มกำลังในระยะประชิดเช่นนี้ อีกทั้งเฉินผิงอันไม่ได้มีการป้องกันใดๆ เลย ยื่นมือออกไปรับกาเหล้าที่มากพอจะเอาชีวิตเขาได้เต็มมือแบบนี้ หมี่อวี้จึงขอแค่ว่าเฉินผิงอันจะไม่ตายก็พอ!
ต่อให้เสียหม่านเทียนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหมี่อวี้จะปรากฏตัวช้ากว่าเสี้ยวหนึ่ง แต่ก็ยังสามารถใช้ปลายกระบี่พุ่งชนหางกระบี่ ‘ดอกไม้ไฟ’ ได้ ทำให้ปลายกระบี่ของฝ่ายหลังเอียงลง เบี่ยงตัวห่างจากหัวใจไปหลายส่วน
ขณะเดียวกันหมี่อวี้ก็เดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ชักกระบี่ออกจากฝัก หมายจะฟันเลี่ยจี่ที่เรียกกระบี่บินออกมาพร้อมร่างที่พุ่งทะยานมาด้านหน้า
กระบี่พกของหมี่อวี้มีระดับขั้นสูงมาก แน่นอนว่าต้องยกคุณความชอบให้หมี่ฮู่ผู้เป็นพี่ชายที่นำมามอบให้ ส่วนเลี่ยจี่นั้นทั้งไร้คู่บำเพ็ญตน ยิ่งไม่มีผู้อาวุโสในตระกูล กระบี่พกจึงเป็นแค่กระบี่ยาวธรรมดาเล่มหนึ่งที่หอกระบี่สร้างขึ้นเท่านั้น
พอกระบี่บินดอกไม้ไฟของเลี่ยจี่ถูกกระบี่บินของหมี่อวี้เปลี่ยนทิศทางการโคจรไปได้เล็กน้อย
เฉินผิงอันก็ประกบสองนิ้วทำมุทรา ไม่มีชุดคลุมอาคมจินหลี่คุ้มกันกาย เวลานี้เขาสวมชุดคลุมอาคมสีเขียวของจวนหนิง บวกกับชุดคลุมอาคมที่หอภูษาสร้างขึ้นซึ่งสวมเป็นตัวนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดคลุมอาคมตัวในที่ประกายแสงอัญมณีไหลเวียนวน ริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก สุดท้ายก่อตัวกันเป็นยันต์สีทองที่ล่องลอยแผ่นหนึ่ง นั่นก็คือยันต์กักกระบี่
เพียงแต่ว่าอยู่ใกล้กับเลี่ยจี่ผู้นั้นมากเกินไป และการเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาของเลี่ยจี่ครั้งนี้ก็ไม่มีการเก็บออมใดๆ กระบี่บินรุดหน้าไปอย่างไม่มีอะไรมาฉุดรั้ง สองกระบี่ปะทะกัน หลังจากแสงกระบี่ระเบิดแตกแล้วก็ปลดปล่อยกลุ่มแสงสว่างแสบตากลุ่มใหญ่อยู่เบื้องหน้าเฉินผิงอัน ลำพังเพียงแค่สะเก็ดดอกไม้ไฟ และสะเก็ดแสงเรืองรองที่สาดกระเซ็นออกมาก็ทำให้ชุดคลุมอาคมจากหอภูษาที่เฉินผิงอันสวมอยู่ชั้นนอกระเบิดแตกเป็นผุยผง กระบี่บินดอกไม้ไฟผลุบหายเข้าไปในยันต์กักกระบี่สีทองแผ่นนั้น ตัวยันต์ปรากฎรอยร้าวมีลางว่าจะกลายเป็นเศษเถ้าถ่าน เห็นได้ชัดว่ากระบี่บินหมายจะพุ่งทะลุผ่ายันต์ออกไปให้ได้ในรวดเดียว
มียันต์กักกระบี่ช่วยถ่วงเวลาการโจมตีของกระบี่บินให้เล็กน้อย เฉินผิงอันจึงเรียกยันต์ย่อพื้นที่แผ่นหนึ่งออกมา ถอยกรูดห่างไปหลายสิบจั้ง
เรื่องเดียวที่เฉินผิงอันพอจะทำได้ก็คือเรียกยันต์มาเพิ่มเพื่อหลบหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบสองเล่มตามติดกันมาเป็นเงา เพียงแต่ว่าเสียหม่านเทียนมาเพื่อช่วยคน กระบี่บินดอกไม้ไฟมาเพื่อฆ่าคน
ดอกไม้ไฟมีความเร็วในการไล่ตามสูงอย่างถึงที่สุด ปลายกระบี่จึงแทงเข้าไปตรงด้านล่างห่างจากหัวใจเฉินผิงอันไปหนึ่งชุ่น
นี่ก็คือการโจมตีด้วยกระบี่บินของเซียนกระบี่ในระยะประชิด
วิธีการที่อำมหิตยิ่งกว่านั้นอยู่ที่เลี่ยจี่ไม่เพียงแต่ไม่เก็บกระบี่บิน กลับกันยังเดิมพันด้วยรากฐานมหามรรคาของตัวเอง ให้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ระเบิดออกโดยตรง
กระบี่ของหมี่อวี้ฟันลงบนบ่าของเลี่ยจี่ ตวัดคว้านลงเป็นแนวโค้ง ผ่าร่างกายที่แข็งแกร่งของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนนี้ให้ขาดออกเป็นสองท่อน
จิตหยินของเลี่ยจี่ออกจากช่องโพรงลมปราณ ทิ้งร่างจริงเอาไว้ไม่สนใจ ใช้กระบี่ยาวของหอกระบี่ฟันเข้าที่ศีรษะของใต้เท้าอิ่นกวานคนใหม่ผู้นั้น
และหลังจากที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตระเบิดอยู่ในร่างของใต้เท้าอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้แล้ว จิตหยินของเลี่ยจี่ก็ติดร่างแหเดือดร้อนไปกับวิธีการของตัวเองด้วย จิตหยินเดินทางไกลที่อ่อนแอกว่าร่างจริงมาก ราวกับอาบอยู่ท่ามกลางแสงเจิดจ้าของกระบี่เสี้ยวสุดท้ายในชีวิตนี้ของเลี่ยจี่ ทั้งคนทั้งกระบี่ ทั้งมหามรรคาและชีวิต พากันแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นควันไปทั้งอย่างนี้
หมี่อวี้เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกลับคืน ในมือถือกระบี่ยาวค้างอยู่นานไม่สอดเข้าฝักเสียที
เพราะหมี่อวี้รู้ดีว่า ตนถูกเจ้าเลี่ยจี่ที่วิปลาสผู้นี้ทำร้ายได้อย่างอเนจอนาถนัก
นับแต่นี้ไปจะถูกโยนไปในคุกของเฒ่าหูหนวกหรือไม่ ก็ยังต้องดูที่ว่าน้ำหนักขอบเขตเซียนเหรินของหมี่ฮู่ผู้เป็นพี่ชายมีมากพอหรือไม่แล้ว
ลู่จือรีบขี่กระบี่มาหา สีหน้าเขียวคล้ำ ไม่แม้แต่จะมองหมี่อวี้ที่จิตวิญญาณหลุดหายออกจากร่าง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “เจ้ามันสมกับเป็นเศษสวะจริงๆ!”
ลู่จือรีบร่ายมุทรา พยายามจะเก็บรวบรวมเศษซากจิตวิญญาณของอิ่นกวานหนุ่มเอาไว้ พยายามหาโอกาสรอดชีวิตให้แก่เฉินผิงอัน
เพียงแต่ว่าไร้ความหมาย
กระบี่นี้ของเลี่ยจี่ เด็ดขาดเกินไป
ลู่จือหันหน้าไปมองทางกระท่อมที่อยู่ห่างไปไกล ใช้เสียงในใจสอบถามเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส
เฉินชิงตูเอ่ย “ให้โฉวเหมียวเลือกผู้ฝึกกระบี่สามคนเข้าร่วมสายอิ่นกวานพร้อมกับเขา”
ลู่จือกล่าวอย่างเดือดดาล “แค่นี้น่ะหรือ?!”
เฉินชิงตูตอบกลับมาประโยคหนึ่งว่า “เจ้าลู่จือยังมีหน้ามาถามข้าอีกรึ?”
ลู่จือกล่าวอย่างเดือดดาล “หรือจะให้ข้าเดินเตร็ดเตร่ตามเฉินผิงอันไปทั่ว? ความปลอดภัยของผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ ในสายอิ่นกวานล่ะ จะทำอย่างไร? จะจัดการกับหมี่อวี้อย่างไร? ฆ่าทิ้งเลยไหม?!”
เฉินชิงตูกล่าว “เอาไว้ค่อยว่ากัน”
ลู่จือข่มกลั้นจิตสังหารในใจเอาไว้อย่างสุดความสามารถ พาหมี่อวี้กลับไปยังทางเดินม้าที่สายอิ่นกวานรวมตัวกันอยู่
พอเห็นพวกเด็กรุ่นหลังอายุน้อยเหล่านั้น ลู่จือก็มีท่าทางลังเลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วถึงได้พูดขึ้นว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานถูกกบฏเลี่ยจี่สังหาร เลี่ยจี่เองก็ตายไปแล้ว หมี่อวี้ตกเป็นผู้ต้องสงสัย ถูกกักบริเวณชั่วคราว โฉวเหมียวจะพาคนสามคนเข้ามาอยู่ในสายอิ่นกวาน พวกเจ้ารีบออกจากหัวกำแพงเมืองไปที่คฤหาสน์หลบร้อนทันที”
กวอจู๋จิ่วหัวเราะฮ่าๆ “เซียนกระบี่ใหญ่ลู่ ท่านช่างเข้าใจพูดตลกจริงๆ”
พวกหลินจวินปี้เองก็ไม่ค่อยกล้าเชื่อ แต่ละคนหันมามองหน้ากันเอง
ลู่จือถอนหายใจ “เอาตามนี้ ลงจากหัวกำแพงเมืองไปแล้วก็รักษาตัวให้ดี”
แล้วลู่จือก็จากไป
กวอจู๋จิ่วหัวเราะคิกถามว่า “เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ ลู่จือจากไปแล้ว ท่านอย่าได้พูดล้อเล่นต่ออีกเลย ไม่อย่างนั้นข้าจะโกรธแล้วนะ…”
แม้ว่าใบหน้าของแม่นางน้อยจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าในดวงตากลับมีน้ำตามาเอ่อคลอ พูดไปพูดมา ใบหน้าของนางก็ยับยู่ พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
อารมณ์ของหลินจวินปี้ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด
ตำแหน่งใต้เท้าอิ่นกวานนี่เป็นกันได้ยากจริงๆ
เลี่ยจี่เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบตำแหน่งอยู่ค่อนไปทางท้ายของเจี่ยเปิ่นเล่มรอง อยู่ห่างจากหมี่อวี้ไปหลายหน้า
แต่ก็เพราะเป็นเช่นนี้ เลี่ยจี่ถึงได้สามารถเป็นเรื่องไม่คาดฝันและหนึ่งในหมื่นนั้น
ส่วนเหตุใดเลี่ยจี่ถึงได้ทำเช่นนี้ สวรรค์เท่านั้นที่รู้
เรื่องเก่าแก่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ บุญคุณความแค้นพัวพันกันมากเกินไป อีกทั้งก็แทบไม่มีเรื่องราวของเซียนกระบี่คนใดที่จะพบจุดจบได้อย่างงดงาม
ต่งปู้เต๋อหน้าซีดขาวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางเองก็รับผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงนี้ไม่ได้เช่นกัน
กู้เจี้ยนหลงกับหวังซินสุ่ยก็ยิ่งกำสองมือเป็นหมัดแน่น ให้ตายอย่างไรก็ยอมรับผลลัพธ์นี้ไม่ได้
พวกผู้ฝึกกระบี่อย่างเสวียนเซินก็มีสีหน้าหม่นหมองไร้คำพูด
เพียงไม่นานก็มีบุรุษเซียนกระบี่อายุร้อยปีต้นๆ หน้าตาอ่อนเยาว์ ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งเดินมา เขาถูกขนานนามว่าเป็นขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่ขอบเขตมั่นคงที่สุดในเวลาสามพันปีมานี้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เส้นทางการฝึกตนของคนผู้นี้ เดินแต่ละก้าวอย่างมั่นคง เดินขึ้นที่สูงอย่างต่อเนื่อง
โฉวเหมียว
เคยติดตามอาเหลียงไปเยือนพื้นที่ใจกลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ข้างกายโฉวเหมียวยังมีสตรีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดอีกคนหนึ่ง งดงามเป็นธรรมชาติ นามว่าหลัวเจินอี้ นางมีอายุพอๆ กับโฉวเหมียว รูปโฉมงดงามอย่างถึงที่สุด เป็นที่ชื่นชอบของชายโสดหลายคนในกำแพงเมืองปราณกระบี่
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกกระบี่โอสถทองอายุน้อยนามว่าสวีหนิง ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม ชื่อว่า ‘ป๋ายเลี่ยน’ และ ‘ซานเส้อ’ คอยช่วยประคับประคองกันและกัน
ผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มขอบเขตประตูมังกร ฉางไท่ชิง
เมื่อเทียบกับภูเขาลูกเล็กที่ค่อนข้างโดดเด่นสะดุดตาอย่างพวกฉีโซ่ว เกาเหย่โหวแล้ว
ผู้ฝึกกระบี่เก็บเงินที่มีโฉวเหมียวเป็นผู้นำมักจะฝึกตนอยู่ท่ามกลางตัวอักษรใหญ่บนหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้อยู่ตลอดทั้งปี ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีอายุน้อย จิตแห่งกระบี่ก็ยังสงบนิ่งเหมือนภิกษุเฒ่าแห่งลัทธิขงจื๊อ เหมือนเกาเจินแห่งลัทธิเต๋า
โฉวเหมียวเอ่ย “หมี่อวี้อยู่ข้างกายข้าต่อนี่แหละ คนอื่นๆ ย้ายไปที่คฤหาสน์หลบร้อน เจินอี้ สวีหนิง ไท่ชิง พวกเจ้าไปช่วยด้วย”
หมี่อวี้ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
ความหมายของโฉวเหมียวเรียบง่ายมาก อยู่ข้างกายโฉวเหมียว ไม่ว่าเขาหมี่อวี้คิดจะทำอะไรก็ล้วนทำไม่ได้ทั้งสิ้น
ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานกลุ่มแรกซึ่งมีหลินจวินปี้เป็นหนึ่งในนั้นต่างก็เริ่มขนย้ายสิ่งของกันเงียบๆ ไม่ถึงกับเป็นปรปักษ์ต่อผู้ฝึกกระบี่สี่คนที่มาร่วมภายหลังอย่างโฉวเหมียว หลัวเจินอี้ ก็แค่ไม่มีความรู้สึกดีอันใดมอบให้ก็เท่านั้น
ถึงอย่างไรก็คุ้นเคยกับการดำรงอยู่ของเฉินผิงอันโดยไม่รู้ตัวแล้ว
มีเพียงกวอจู๋จิ่วที่ยืนอยู่ที่เดิม เอ่ยอย่างเหม่อลอยว่า “ข้าไม่ไป ข้าจะรออาจารย์”
โฉวเหมียวเอ่ย “ได้ เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่ารอไปก็ไม่อาจได้พบเขาค่อยย้ายไปทำงานที่คฤหาสน์หลบร้อนแล้วกัน”
โฉวเหมียวเป็นคนนำ คนทั้งกลุ่มจึงขี่กระบี่ไปจากหัวกำแพงเมือง มุ่งหน้าไปยังสถานที่สำคัญทางฝั่งตะวันตกของนคร
หลงเหลือเพียงกวอจู๋จิ่วที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะเพียงลำพัง
ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนพลิ้วกายลงบนลานกว้างนอกห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อน
โฉวเหมียวอึ้งตะลึงไป
มิน่าเล่าตนถึงไม่ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นอิ่นกวานคนใหม่ทันที
สำหรับเรื่องนี้โฉวเหมียวไม่ได้คิดอะไรมาก ในความเป็นจริงแล้วจะได้เป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานหรือไม่ หรือต้องอยู่ที่หัวกำแพงเมืองเพื่อออกกระบี่สังหารศัตรูต่อ โฉวเหมียวก็ไม่คิดมาก เพราะล้วนเป็นการฝึกตนทั้งสิ้น
ผู้ฝึกกระบี่สามคนที่มีหลัวเจินอี้เป็นหนึ่งในนั้นกลับตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
ส่วนหมี่อวี้ก็ยิ่งเกือบจะหลั่งน้ำตา
หลินจวินปี้ถอนหายใจโล่งอก
ก็ดีเหมือนกัน
ทุกวันนี้ตนเป็นตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกับใต้เท้าอิ่นกวานผู้นี้แล้ว ความรุ่งโรจน์และความอัปยศล้วนมีร่วมกัน
เมื่อเทียบกับโฉวเหมียวที่ไม่รู้ที่มาที่ไปแล้ว หลินจวินปี้ยินดีจะร่วมงานกับเจ้าคนที่อยู่ตรงหน้านี้มากกว่า
ที่แท้ตรงหน้าประตูของห้องโถงใหญ่ก็มีคนหนุ่มสวมชุดเขียวเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อคนหนึ่งคลี่ยิ้มมองมายังทุกคน
สีหน้าซีดขาว แต่ดวงตากลับใสกระจ่าง
เฉินผิงอันกวักมือเรียกหมี่อวี้ “ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หันไปมองโฉวเหมียว “วันหน้ายามที่ข้าไม่อยู่ รบกวนพวกเจ้าสี่คนช่วยฟังความเห็นของหลินจวินปี้ด้วย”
โฉวเหมียวพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา”
เฉินผิงอันมองไปทางกู้เจี้ยนหลง
กู้เจี้ยนหลงเข้าใจได้ในฉับพลัน เอ่ยชื่นชมเซียนกระบี่หนุ่มที่มีชื่อเสียง แต่กลับชอบไปไหนมาไหนเพียงลำพังอย่างโฉวเหมียวว่า “เซียนกระบี่โฉวเหมียว ช่างมีความใจกว้างองอาจ ฟ้าดินเป็นพยานได้!”
หลัวเจินอี้ขมวดคิ้ว
แต่เฉินผิงอันกลับพาหมี่อวี้เดินเข้าไปในระเบียงทางเดิน สาวเท้าเดินเนิบนาบไปยังที่อื่นแล้ว
ทุกคนเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เพียงไม่นานก็สังเกตเห็นว่าเอกสารบันทึกลับทั้งหมดที่เก็บซ่อนไว้ในคฤหาสน์หลบหนาวก็ถูกย้ายมาไว้ที่นี่หมดแล้ว นอกจากหน้าประตูแล้ว ในห้องโถงใหญ่ยังมีกำแพงหนังสืออีกสามด้านที่หนังสือถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ด้านบนล้วนติดกระดาษบันทึกเพื่อสะดวกให้ทุกคนดึงออกไปอ่าน ตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กเขียนได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แค่มองก็รู้ว่าเป็นฝีมือของใต้เท้าอิ่นกวาน