เดิมทีภูเขาห้อยหัวมีแค่ประตูใหญ่บานเดียวที่เชื่อมโยงกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนนี้ได้บุกเบิกประตูอีกบานที่ใหญ่ยิ่งกว่า ตรงประตูบานเก่าจึงขาดความครึกครื้นไปไม่น้อย
หากพูดตามคำกล่าวของชายฉกรรจ์กอดกระบี่ก็คือได้ใหม่แล้วลืมเก่า ชวนให้คนเสียใจอย่างสุดซึ้ง
นักพรตน้อยที่วัยวุฒิสูงอย่างถึงที่สุดยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น ในขณะที่อ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดที่ปัญญาชนผู้ผิดหวังคนหนึ่งเป็นผู้เขียนก็เอื้อมมือไปดึงแสงจันทร์กระจ่างมากำหนึ่ง กักไว้ใกล้กับตัวเองและตำรา มองดูเหมือนแสงหิ่งห้อยที่ช่วยส่องสว่างแก่หนังสือ
คราวก่อนเจ้าเด็กหนุ่มชุดขาวที่ถูกประตูหนีบหัว แล้วค่อยถูกลาถีบทำให้เขาสะอิดสะเอียดหงุดหงิดใจ รวมเล่มตำราบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญดีๆ เล่มหนึ่งที่เป็นดั่งน้ำใสไหลเย็น กลับถูกคนผู้นั้นเรียกเป็นนิยายรักประโลมโลกฉบับถูกตัดทอนเนื้อหา ทำเอาเขาอารมณ์ห่อเหี่ยวไปหลายวัน ไม่ว่าหนังสืออะไรก็ไม่มีอารมณ์อ่าน จึงได้แต่สละความบันเทิงที่มีไม่มากนี้ทิ้งไป วันๆ ได้แต่นั่งเหม่อลอย
เพียงแต่ว่าไม่ได้อ่านตำราติดต่อกันมาเกือบเดือน ด้วยความเบื่อหน่ายสุดขีดจึงกลับมาอ่านหนังสืออีกครั้ง คราวนี้เอาตำราปึกใหญ่มาตั้งวางไว้ข้างกาย อ่านตลอดทั้งกลางวันกลางคืน หมกมุ่นอย่างยิ่ง
แม้ว่านักพรตน้อยจะเป็นคนในกลุ่มเทพเซียน แต่กลับชอบอ่านหนังสืออย่างเชื่องช้าและละเอียดมาก ต่อให้ผ่านตาไปแล้วจะไม่มีวันลืม แต่ก็ชอบเปิดย้อนกลับไปดูหน้าแรกๆ อยู่บ่อยๆ
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตูกอดกระบี่เดินเตร็ดเตร่มาหานักพรตน้อย แต่พอคิดว่าทำอย่างนี้เป็นการละเลยต่อหน้าที่ก็เลยวิ่งกลับไป เอากระบี่ยาววางไว้บนเสา แล้วถึงได้หิ้วกาเหล้ามานั่งอ่านตำราอยู่ข้างกายนักพรตน้อย นักพรตน้อยต้องการมีความสุขเพียงลำพัง อีกทั้งยังรังเกียจกลิ่นเหล้าบนตัวอีกฝ่าย จึงหันตัวหนี ชายฉกรรจ์ก็หันตัวตามไปด้วย นักพรตน้อยเป็นเพื่อนบ้านกับเขามานานหลายปี จึงรู้ดีว่ายามที่ผู้ฝึกกระบี่เบื่อหน่ายนั้นสามารถเบื่อได้ถึงขั้นไหน ดังนั้นจึงปล่อยเขาไป
ชายฉกรรจ์ยื่นมือมาชี้ประโยคหนึ่งบนหน้าหนังสือ “บัณฑิตในหนังสือเล่มนี้พอจะมีความสามารถอยู่บ้าง ‘ภูเขาเขียวน้ำใส ปราณวิญญาณฟ้าดินควบคู่หญิงงาม บุรุษอย่างข้ามาที่โลกมนุษย์แห่งนี้ ก็เพียงแค่ทำเรื่องเหยียบย่ำขุนเขาสายน้ำ รังแกคนงามเท่านั้น’ ประโยคนี้พูดได้ดียิ่งนัก สามารถวงเอาไว้แล้วเอามาท่องจำได้เลย”
นักพรตน้อยเคยชินกับความปากมากของชายฉกรรจ์ผู้นี้แล้ว จึงเอาแต่พลิกเปิดหน้าหนังสือของตัวเองไป ชายฉกรรจ์เองก็ไม่สนว่านักพรตน้อยจะอ่านถึงหน้าไหนหรือจะเปิดหน้าเท่าไร เอาแต่พร่ำพูดอยู่กับตัวเองเท่านั้น
อ่านหนังสือเล่มหนึ่งจบ ชายฉกรรจ์ก็ถอนหายใจ “น่าเบื่อ ไม่มีกลิ่นอายคาวโลกีย์แม้แต่น้อย”
นักพรตน้อยวางตำราในมือลง แล้วหยิบเล่มใหม่ขึ้นมา คือนิยายในยุทธภพที่จอมยุทธเดินไต่ผนังข้ามกำแพงในค่ำคืนที่แสงจันทร์มืดมิดสายลมเย็นฉ่ำ ชายฉกรรจ์อ่านไปเจอจุดที่สนุกสนานตระการตาก็จะดื่มเหล้าเพิ่มมากขึ้น เพียงแต่ว่าสายตาจ้องเป๋งไปที่หน้าหนังสือตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้พลาดไปแม้แต่ตัวอักษรเดียว คอยจุ๊ปากชื่นชมไปด้วย “ไม่เสียแรงที่เป็นท่านเทพเทวาน้อยในตำราที่ท่านเทพเทวาผู้เฒ่านอกตำราหมายตา ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธคนอื่นใช้เวลาทั้งชีวิตก็มิอาจศึกษาวิชาล้ำโลกได้อย่างกระจ่างแจ้ง พอมาอยู่ในมือเขา แค่คืนเดียวก็เรียนเป็นแล้ว ช่างน่าอิจฉาจริงๆ น่าเสียดายที่คาถาบทนี้เขียนผ่านๆ ไปอย่างคลุมเครือ ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องลองทำตามดูแล้ว…”
“เห็นไหม ข้าพูดถูกแล้วไหมล่ะ เจ้าเฒ่าสกปรกประเภทนี้ ยิ่งชอบพูดจาประหลาดบ้าๆ บอๆ เท่าไรก็ยิ่งเป็นยอดฝีมือล้ำโลกที่อำพรางตัวตนได้อย่างลึกล้ำเท่านั้น เป็นอย่างไร? เหมือนอย่างที่ข้าพูดเลยไหมล่ะ ผู้เฒ่าถูกใจท่านเทพเทวาน้อยของพวกเราคนนี้จริงๆ ด้วย โอ้โห ผลงานการประพันธ์ที่ยิ่งใหญ่! ใช้กำลังภายในระยะเวลาหกสิบปีซึ่งเป็นพละกำลังตลอดชีวิตของตัวมาเองมากรอกเทใส่ ไม่เพียงแต่ช่วยให้จุดลมปราณเริ่นตูเอ้อร์ม่ายทะลุปรุโปร่ง ยังสามารถช่วยชำระล้างไขกระดูกได้อีกด้วย เจ้าตัวดี นี่หากหวนคืนสู่ยุทธภพอีกครั้งจะไม่ไร้ศัตรูทัดทานเลยหรือ?”
หนังสือเพิ่งถูกเปิดอ่านไปแค่ครึ่งเล่ม นักพรตน้อยก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นไร้เทียมทาน ต่อให้มีพลังภายในหกสิบปีที่หล่นลงมาจากฟ้านี้ บวกกับอีกยี่สิบปีที่เขาสร้างขึ้นมาเอง ก็ยังมีกำลังภายในแค่แปดสิบปีเท่านั้น ก่อนหน้านี้มีปมเงื่อนที่ถูกผูกเอาไว้ อาศัยการเอ่ยเตือนจากคนที่ผ่านทางมาในหนังสือ พญามารที่ก่อลมคาวฝนเลือดอยู่ในยุทธภพผู้นั้นฝึกบำเพ็ญตนจนมีกำลังภายในร้อยปีแล้ว กำลังภายในบริสุทธิ์อย่างมาก ลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ยังเอาชนะไม่ได้หรอก”
ชายฉกรรจ์นวดคลึงปลายคาง รู้สึกว่ามีเหตุผล “ถ้าอย่างนั้นก็ยังขาดศาสตราวุธเทพที่ตัดเหล็กเหมือนดินโคลนไปน่ะสิ แต่ก็ไม่น่าจะได้มาครองเร็วเกินไปนัก เพราะถึงอย่างไรก็เพิ่งจะดำเนินเรื่องมาได้แค่ครึ่งเล่มเอง”
นักพรตน้อยพลิกหน้าต่อไปช้าๆ เห็นด้วยกับชายฉกรรจ์อย่างที่ไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก “จะรีบร้อนไปไย ต้องได้มีอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็สู้ไม่ได้หรอก”
ชายฉกรรจ์กระดกเหล้าเข้าปากหนึ่งอึกใหญ่ “คนรักเก่าที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก จอมยุทธหญิงฝ่ายธรรมะที่เจอกันในยุทธภพโดยบังเอิญ สาวงามฝ่ายมารที่ทั้งรักทั้งแค้น จะขาดไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว!”
คนที่เขียนหนังสือเล่มนี้คงหวังแค่ว่าจะหาเงินมาซื้อฟืน ข้าวสาร น้ำมัน เกลือ หาเงินมาซื้อหมึกและกระดาษ น่าจะคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่หนังสือตีพิมพ์แล้วจะมีคนสองคนนี้มาอ่านหนังสือของตัวเอง
อีกทั้งทั้งสองฝ่ายยังอ่านหนังสืออย่าง ‘ตื้นเขิน’ เช่นนี้ แต่กลับพอะจะมีความชื่นชอบที่แท้จริงอยู่หลายส่วน
ต้องรู้ว่าท่านหนึ่งคือเทียนจวินลัทธิเต๋าซึ่งชื่อของอาจารย์เขาเป็นที่ต้องห้ามในใต้หล้า สิ่งที่เขาแสวงหาคือการเลียนแบบเจินเหรินยุคดึกดำบรรพ์ที่อุปถัมภ์ฟ้าดิน ควบคุมหยินหยาง เคลื่อนภูเขาย้ายมหาสมุทร สกัดดึงจิงชี่ อยู่ร่วมกับฟ้าดิน
อีกท่านหนึ่งคือเซียนกระบี่ใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เคยเข้าร่วมศึกสิบสามในครั้งนั้น ชั่วชีวิตนี้เขาไม่เพียงแต่คบหากับเหล่าผู้กล้าวีรบุรุษ สตรีคนรู้ใจยังเป็นเซียนกระบี่หญิงท่านหนึ่ง
เพียงแต่ว่านักพรตน้อยที่ทั้งสำนักและชาติตระกูลล้วนโดดเด่นเลื่องชื่อได้ออกจากบ้านเกิดอย่างใต้หล้ามืดสลัวมาฝึกประสบการณ์ที่นี่เพื่อขัดเกลาจิตแห่งมรรคา
และชายฉกรรจ์คนนี้ก็คือนักโทษอาญาในกลุ่มนักโทษอาญา ได้แต่คอยเฝ้าประตูใหญ่ด้านหลังคนทั้งสองปีแล้วปีเล่า
นักพรตน้อยปิดหนังสือ ชายฉกรรจ์ร้อนใจขึ้นมาโดยพลัน “ทำไมล่ะ?”
นักพรตน้อยเอ่ย “ชะลอให้ช้าสักหน่อย หนังสือเล่มนี้ไม่เลว อ่านช้าๆ หน่อย”
ในหนังสือมีภาพเหตุการณ์หนึ่ง ไม่เขียนบนภูเขา ไม่เขียนเทพเซียน เขียนแค่คนในยุทธภพ มีอยู่แค่ไม่กี่ประโยค แต่กลับทำให้นักพรตน้อยที่ไม่เคยออกท่องยุทธภพอย่างแท้จริงรู้สึกเหมือนได้เห็นภาพวาด
ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอ ไอน้ำลอยตัวไอหมอกถือกำเนิด บรรยากาศม่านฟ้าขมุกขมัว ใจกลางทะเลสาบมีเรือหลากสีล่องลอย วีรบุรุษผู้กล้ายืนอยู่บนหัวเรือ ไร้ไม้พายทว่าเรือแล่นผ่าลำน้ำ ค่อยๆ จอดลงเมื่อใกล้ศาลา ระหว่างทางมีเสียงต้นกกถูกแหวกดังสวบสาบ คนชุดขาวในศาลา ต้มสุรารอคอย นัดหมายมาดื่มจนเมามายแล้วค่อยตัดสินเป็นตาย
ชายฉกรรจ์ทอดถอนใจ ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ถามชวนคุยว่า “เจียงเต้าจวิน สรุปแล้วใต้หล้ามืดสลัวเป็นสถานที่แบบใดกันแน่?”
นักพรตน้อยตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “กฎเกณฑ์และขนบธรรมเนียมประเพณีมีอยู่ไม่น้อย ไม่ค่อยต่างจากใต้หล้าไพศาลเท่าไรกระมัง”
ชายฉกรรจ์ถาม “เต๋าเหล่าเอ้อร์ยังหาหลิงกวนทั้งห้าร้อยองค์เจอไม่ครบอีกหรือ?”
นักพรตน้อยไม่รู้สึกว่านี่จะเป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์อะไร “คาดว่ายังเร็วเกินไป เปลี่ยนเปลือกหอยประกอบพิธีกรรม (เป็นการแปลตรงตัวมาจากประโยค 螺蛳壳里做道场 ซึ่งสามารถแปลได้อีกอย่างว่าการทำเรื่องที่ซับซ้อน ทำพิธีการใหญ่โตในสถานที่คับแคบ) ต่อไป ไม่ใช่เรื่องง่าย”
ชายฉกรรจ์สอดสองมือหนุนหัวต่างหมอน เปลี่ยนท่านอนให้สบายขึ้นด้วยการยกเท้าข้างหนึ่งตั้งชัน อีกข้างยกขึ้นไขว่ห้าง “ยุ่งกันมากทั้งนั้นเลยนะ”
นักพรตน้อยยิ้มกล่าว “มีแต่ข้ากับเจ้านี่แหละที่ไม่ยุ่ง”
ชายฉกรรจ์มองไปทางดวงจันทร์ดวงนั้น “คนที่ต้องอดตาหลับขับตานอนอย่างพวกเราก็ยุ่งมากเหมือนกันนะ”
อาเหลียงเคยทิ้งวลีติดปากคำหนึ่งไว้ให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกตนที่อดนอนไม่เป็น ย่อมฝึกบำเพ็ญมหามรรคาอะไรไม่ได้
ส่วนจะอดนอนอย่างไร?
ก็คือต้องหลอมลมปราณหลอมกระบี่อย่างยากลำบาก เป็นพื้นฐาน
ดื่มเหล้าเป็นระดับกลาง ต่อให้จะดื่มจนยากจนกระเป๋าฟีบแบน ไม่มีเงินจะซื้อเหล้าดื่ม ทว่านอนใต้แสงจันทร์ไม่ต้องจ่ายเงิน สุราก็ไม่มีทางว่างเปล่าไปได้ตลอดกาล
ส่วนอะไรที่เป็นระดับสูง
พวกนักพนันผีขี้เหล้า ทุกคนล้วนเป็นบุรุษ ได้ยินแล้วก็คลี่ยิ้มอย่างเข้าใจกัน
นักพรตน้อยประหลาดใจเล็กน้อย หันหน้ามามองชายฉกรรจ์ “จางลู่ เจ้าต้องทำตัวน่าเบื่อหน่ายขนาดนี้เชียวหรือ? สงครามที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ตึงเครียดขึ้นทุกขณะ หากเจ้าดึงดันจะกลับไปที่หัวกำแพงเมืองจริงๆ เฉินชิงตูก็คงไม่ขัดขวางเจ้ากระมัง?”
ชายฉกรรจ์นามว่าจางลู่เริ่มปิดตาทำสมาธิ เอ่ยว่า “เหนื่อยใจ”
นักพรตน้อยยิ้มกล่าว “สภาพจิตใจของเจ้าเป็นเช่นนี้ก็ยากที่จะพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นแล้ว”
จางลู่เอ่ยเสียงเบา “ตามใจ”
นักพรตน้อยยื่นมือมาปัดแสงจันทร์ที่รวมตัวกันเป็นดั่งแสงตะเกียงบนโต๊ะหนังสือกลุ่มนั้นให้สลายออก แหงนหน้ามองม่านฟ้า “รสชาติที่แท้จริงของฟ้าดิน มีเพียงความสงบเท่านั้นจึงจะทำให้ลิ้มรสได้”
“อาจารย์ของเจ้าสอนหรือ?”
“อ่านเจอจากหนังสือเบ็ดเตล็ด”
“เจียงอวิ๋นเซิง เจ้าว่าผู้กล้าพบเจอความอัปยศ ชักกระบี่ออกจากฝัก ยืนหยัดเข้าสู้ ลืมเป็นลืมตาย ดีหรือไม่?”
“ไม่รู้เหมือนกัน คร้านจะคิดด้วย”
“ใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา วันหน้าข้าจะต้องคิดถึงเจ้า หากมีโอกาสจะไปเที่ยวเล่นหาเจ้าที่บ้านเกิด”
“บุรุษตัวโตๆ คนหนึ่งพูดประโยคแบบนี้กับบุรุษตัวโตๆ อีกคนหนึ่ง เจ้าคิดจะทำให้ใครสะอิดสะเอียนกันแน่?!”
“แต่เจ้าอยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กนะ โตได้ไม่เท่าไรหรอกกระมัง”
“จางลู่ เจ้าวอนโดนฟาดหรือ?!”
ชายฉกรรจ์พลิกตัวหมุนกลับ แล้วก็หลับไปทั้งอย่างนั้น
หากอยู่ในเก้าทวีปใหญ่ของใต้หล้าไพศาล เซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่ง ต่อให้ตกอับขนาดไหนก็ไม่มีทางถึงขั้นเหลือพื้นที่ให้หยัดยืนน้อยนิดแค่นี้
นักพรตน้อยอ่านหนังสือต่อ
เซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนผู้นั้นช่างน่าสงสารยิ่งนัก
……
ทำการค้า หาเงินทอง ไม่แบ่งกลางวันกลางคืน
เงินเทพเซียนทุกเหรียญล้วนถูกขนานนามว่าเป็นการรวมตัวกันของปราณวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุดในใต้หล้า แต่ใต้หล้านี้จะมีเงินเทพเซียนที่สะอาดเอี่ยมอยู่บ้างสักเหรียญหรือไม่ กลับบอกได้ยาก
เรือข้ามฟากใหญ่ยักษ์ลำหนึ่งปลดสัมภาระลง เปลี่ยนมาเป็นบรรทุกทรัพยากรกองใหญ่จากหอโอสถของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วก็ออกไปจากท่าเรือของภูเขาห้อยหัว
นี่คือเรือข้ามฟากของถ้ำซานสุ่ยจากสำนักใหญ่ของฝูเหยาทวีปที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ชื่อของเรือข้ามฟากฟังดูแล้วมีกลิ่นอายบ้านนอกบ้านนาอยู่บ้าง ชื่อว่าอ่างกระเบื้อง
ว่ากันว่าบรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขาของถ้ำซานสุ่ยมีจุดเริ่มต้นมาจากตรอกเล็กในหมู่ชาวบ้าน เพียงแต่ว่าเมื่อร่ำรวยรุ่งเรืองขึ้นมาแล้ว เรื่องที่ทำมาตลอดชีวิตก็คือตัดขาดความสัมพันธ์กับเรื่องในอดีต ชีวิตบนภูเขาสุขสบายเหมือนท่านอ๋องท่านโหวในโลกมนุษย์ มีเพียงเรื่องของการตั้งชื่อให้กับเรือข้ามทวีปที่เหมือนอ่างรวมสมบัติเท่านั้นที่จะเผยให้เห็นตัวตนดั้งเดิม
ผู้ดูแลเรือข้ามฟากขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งยืนอยู่บนหอชมทัศนียภาพดาดฟ้าเรือ นับนิ้วคำนวณอยู่เงียบๆ เดินทางไปกลับภูเขาห้อยหัวครั้งนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ได้เงินฝนธัญพืชมาเจ็ดสิบเหรียญ บวกกับที่ทุกวันนี้ราชวงศ์ใหญ่ล่างภูเขาหลายแห่งของฝูเหยาทวีปทำสงครามกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน หากโชคเข้าข้าง หาคู่ค้าที่ถูกต้องได้เจอ คิดจะหากำไรเพิ่มเป็นอีกเท่าตัวก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แล้วก็เพราะสมบัติล้ำค่าตระกูลเซียนที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพราะโชคชะตาหลายชิ้น ลำพังอาวุธกึ่งเซียนก็มีมากถึงสามชิ้น บนภูเขาถึงได้แย่งชิงกันหัวร้างข้างแตก ไม่เพียงแต่เซียนดินตายกันไปหลายคน พวกตะพาบเฒ่าห้าขอบเขตบนทั้งหลายก็เริ่มค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ หากไม่เป็นเพราะติดที่กฎของสำนักศึกษาลัทธิงจื๊อ ทำให้เทพเซียนผู้เฒ่าเหล่านี้ได้แต่ยืนอยู่เบื้องหลัง ไม่อย่างนั้นบรรยากาศก็คงไม่ได้ปรองดองเพราะแค่ชักดึงหุ่นเชิดให้ไปงัดข้อกันเองแบบนี้แล้ว
ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขา การเผาผลาญทรัพย์สินตีกันไปตีกันมาเช่นนี้ สำหรับสำนักการค้าที่มีน้อยจนนับนิ้วได้อย่างถ้ำซานสุ่ยแล้ว ล้วนถือเป็นเรื่องดี
สำนักฉงหลินมีเงินเพราะผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปมีมากดุจก้อนเมฆ เป็นเหตุให้การผลัดเปลี่ยนสำนักตระกูลเซียนเป็นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกองกำลังใหญ่เคลื่อนไหว เงินเทพเซียนก็ย่อมต้องกลิ้งหลุนๆ ตามกันไปด้วย
ดีดลูกคิด ดีดลูกคิด ลูกคิดกลิ้งไปกลิ้งมา ล้วนเป็นเงินทั้งสิ้น
ส่วนสกุลหลิวของธวัลทวีป นั่นก็คือว่าเป็นตัวประหลาดอีกเหมือนกัน ไม่ว่ากับใครก็ล้วนทำการค้าด้วยได้ การค้าหลายอย่างไม่ได้อยู่แค่ในขอบเขตของเงินทองเท่านั้น ควักเงินจ่าย แต่สิ่งที่ได้มากลับเป็นการผลัดเปลี่ยนของราชวงศ์ การเปลี่ยนตำแหน่งของชนชั้นสูงตระกูลเซียนอักษรจง
จุดที่น่ากลัวที่สุดนั้นยังอยู่ที่ว่าไม่ว่าสกุลหลิวทำการค้ากับใคร จุดประสงค์ที่ใหญ่ที่สุดก็คือต้องรับรองก่อนว่าอีกฝ่ายต้องได้เงินอย่างแน่นอน จุดที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ เรื่องประเภทนี้สกุลหลิวธวัลทวีปกลับทำได้จริง อีกทั้งยังกลายเป็นกฎประจำตระกูลข้อหนึ่งที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ยังไม่สะเทือนซึ่งสืบทอดต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า
ผู้ฝึกตนเฒ่าเดินทางมาเยือนภูเขาห้อยหัวคราวนี้ได้ผลเก็บเกี่ยวมหาศาล ในฐานะคนดูแลเรือข้ามฟากของถ้ำซานสุ่ย พอได้รับคำสั่งจากท่านบรรพบุรุษ ก่อนหน้านี้ก็ได้นัดหมายคนบนเส้นทางเดียวกนจากฝูเหยาทวีปและเกราะทองทวีปหลายคนให้ไปเจอกันที่ห้องชั้นหนึ่งของเรือนหลิงจือ คิดว่าจะทำการแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองขาดแก่กันละกัน ทุกคนร่วมมือกันหาเงิน เรือข้ามทวีปทั้งหมดแปดลำลงแรงเหนื่อยยากในเรื่องผลกำไรสักหน่อย ไม่อย่างนั้นอาจจะเปิดโอกาสให้ตระกูลเยี่ยน ตระกูลน่าหลันของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ทำการเทียบราคาก่อนซื้อของมีพื้นที่ในการกดราคา ดังนั้นทุกคนต้องปรึกษากันให้ดี เลือกท่าเรือที่ผลัดเปลี่ยนระหว่างทางซึ่งไม่ไกลไม่ใกล้ภูเขาห้อยหัวมาพูดคุยตกลงราคากันให้ดีก่อน จากนั้นก็แบ่งสินค้าให้กัน เรือแต่ละลำขายสินค้าเฉพาะอย่างสองสามชนิด แล้วค่อยมากดราคาเอากับภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่
นี่เป็นเพียงแค่เรื่องแรก แทบจะไม่มีใครมีความเห็นต่าง หลักๆ แล้วเป็นเพราะถ้ำซานสุ่ยใจป้ำ เพราะต้องการกระตุ้นเรื่องนี้ให้สำเร็จให้จงได้ จึงยินดีรับประกันว่าหลังจากผ่านการแลกเปลี่ยนครั้งต่อไป ทุกคนล้วนต้องได้กำไร ชื่นมื่นยินดีกันอย่างถ้วนหน้า รับรองว่าเรื่องนี้ต้องสำเร็จแน่นอน และวันหน้าก็ไปเยือนภูเขาห้อยหัวด้วยกฎนี้ แต่ขอแค่ใครก็ตามที่ขาดทุน ถ้ำซานสุ่ยจะควักกระเป๋าจ่ายเงินชดเชยให้เอง
เรื่องที่สองก็คือสงครามที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้ต่อสู้กันยากลำบากอย่างยิ่ง ต้องการเสบียงมหาศาล ถ้ำซานสุ่ยจึงเป็นผู้นำเสนอความเห็นอย่างหนึ่ง นอกจากจะร่วมแรงกันสร้างเรือข้ามฟากลำใหม่ขึ้นมาอีกหลายลำแล้ว ยังจะออกเงินเชิญให้บรรพบุรุษท่านนั้นออกจากภูเขา ให้มาช่วยบุกเบิกเส้นทางสายใหม่ที่ราบรื่นกว่าเดิมสักสายสองสาย สังหารพวกคนที่เป็นอุปสรรคขัดขวางให้สิ้นซาก แล้วค่อยมาช่วยนั่งพิทักษ์เรือข้ามฟาก ก่อนหน้านี้ได้เงินน้อยจึงไม่มีใครหวั่นไหว ตอนนี้เงินฝนธัญพืชมีมากพอ ต่อให้พวกบรรพจารย์เหล่านี้จะดูแคลน แต่ถึงอย่างไรสำนัก ผู้สืบทอดและคนในครอบครัวของทุกคนก็มีส่วนแบ่งในเรื่องนี้ ขอแค่เจ้าสำนักแต่ละฝ่ายออกหน้า ใช้ความรู้สึกทำให้คนหวั่นไหว ใช้เหตุผลทำให้คนเข้าใจ ก็น่าจะมีหวังที่จะเกลี้ยกล่อมให้พวกผู้อาวุโสเหล่านี้ยอมมาแตะต้องฝุ่นผงในโลกโลกีย์ได้บ้าง