เฉินผิงอันเดินอยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพัง มองดูการถามกระบี่ครั้งนั้นกับตาตัวเอง
ยังมีใครสามารถมาถามกระบี่กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อีก?
หากเรื่องนี้แพร่ไปถึงพรรคตระกูลเซียนน้อยใหญ่ในใต้หล้าไพศาล คาดว่าคงไม่มีใครเชื่อ แล้วยังจะทำให้คนหัวร่อจนฟันร่วงอีกด้วย
การถามกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างครั้งนี้เป็นของจริงแท้แน่นอน โดยเริ่มต้นขึ้นในคืนที่ม่านราตรีหนาหนักไร้แสงสว่างของจันทรา
เฉินผิงอันเห็นเพียงว่าบนสนามรบทางทิศใต้มีแสงกระบี่เลือนรางเป็นจุดๆ ผุดขึ้นมาก่อน จากนั้นจำนวนก็เพิ่มมากขึ้น ราวกับประทีปดอกบัวที่ถูกปล่อยให้ลอยลงน้ำซึ่งเคยเห็นจากล่างภูเขาเมื่อครั้งอดีตที่ออกท่องเที่ยวใต้หล้าไพศาล แสงตะเกียงมารวมตัวกันราวแสงดาวนับหมื่นดวง สามารถประชันแสงกับดวงจันทร์ได้เลย
สุดท้ายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแต่ละเล่มก็วาดเส้นแสงสว่างจ้าพากันพุ่งมาหากำแพงเมืองปราณกระบี่ ‘ช้าๆ’ ครั้นจึงรวมตัวกันเป็นธารดวงดาวที่สว่างเจิดจ้าพร่าตาอย่างถึงที่สุด
เมื่อหลุบตามองลงไปจากบนหัวกำแพงแถบนี้ ก็ราวกับเซียนที่อยู่บนฟ้าก้มหน้ามองแสงตะเกียงในโลกมนุษย์
หากโยนความสัมพันธ์ของฝ่ายตัวเองและฝ่ายศัตรูทิ้งไป พูดถึงแค่ภาพที่เห็นตรงหน้านี้ก็ช่างเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ตระการตานัก
ในฐานะใต้เท้าอิ่นกวาน เฉินผิงอันไม่จำเป็นต้องออกกระบี่ แล้วก็ไม่อาจออกกระบี่ได้ เพราะเพียงไม่นานเขาก็ต้องกลับไปยังคฤหาสน์หลบร้อนที่ตั้งอยู่ทางเหนือของนคร
ไม่ใช่ว่าคนสองกลุ่มอย่างพวกโฉวเหมียว หลินจวินปี้ทำได้ไม่ดีพอ เพียงแต่เฉินผิงอันยังไม่อาจวางใจได้ นี่เป็นทิฐิอย่างหนึ่งที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เฉินผิงอันรู้สึกว่าต่อให้ต้องเปลี่ยนก็ยังไม่ใช่ตอนนี้
ก็เหมือนอย่างปีนั้นที่ฝืนใจตัวเองแสวงหาสิ่งนอกกาย เขาเองก็จำเป็นต้องค่อยๆ ปรับตัวไปเหมือนกัน
เฉินผิงอันยืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองตรงกระท่อม เอ่ยปลงอนิจจังไปหนึ่งประโยค “ถามกระบี่กันและกันเช่นนี้ ในอดีตไม่เคยมี และในอนาคตก็จะไม่ปรากฏอีกเหมือนกัน”
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสยิ้มกล่าว “ในอนาคตจะไม่ปรากฏน่าจะเป็นความจริง แต่ในอดีตไม่เคยมีกลับไม่ใช่ ในอดีตผู้ฝึกกระบี่ในโลกมนุษย์ชูกระบี่ขึ้นสูง ถามกระบี่กับฟากฟ้า กระบี่ร่วงลงมาจากนภากาศ ราวกับฝนสีทองที่ตกกระหน่ำ งดงามกว่าตอนนี้มากนัก รู้หรือไม่ว่าผู้ฝึกลมปราณที่ตอนนั้นช่วยปกป้องขบวนรบ ช่วยคุมหลังให้กับพวกผู้ฝึกกระบี่ในโลกมีใครบ้าง? มีปรมาจารย์มหาปราชญ์ มีมรรคาจารย์เต๋า มีศาสดาพุทธ และยังมีบรรพบุรุษของเมธีร้อยสำนักอีกเกือบครึ่ง ทุกคนต่างก็ไร้ใจที่เห็นแก่ตัว ทุกคนต่างก็เห็นความตายเป็นเกียรติยศ”
เฉินผิงอันหวนนึกถึงการเดินทางท่องเที่ยวที่มีแค่ตนกับชุยตงซาน ปีนั้นระหว่างที่เดินทางกลับ เด็กหนุ่มชุดขาวมักจะพร่ำพูดถ้อยคำประหลาดอยู่มากมาย
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ว่ากันว่าปีนั้นยังไม่มีคำเรียกว่าสามลัทธิร้อยสำนัก ความรู้ของแต่ละฝ่ายแค่พอจะเป็นรูปเป็นร่างเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างเราๆ หรือผู้ฝึกลมปราณทั้งหลาย หรือไม่ก็พวกเจียวหลงสี่สมุทรที่เคลื่อนเมฆโปรยพิรุณ ต่างก็เป็นพันธมิตรที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ถึงขั้นที่ว่าแม้กระทั่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ในเวลานั้นก็ยังหยุดการต่อสู้ที่มีต่อเผ่ามนุษย์ แม้จะไม่ได้ช่วยเหลือ แต่ก็ไม่คอยขัดแข้งขัดขา”
เฉินชิงตูพยักหน้ารับ เผยสีหน้าหวนระลึกถึงอดีตซึ่งมีให้เห็นไม่บ่อยนัก “ข้า หลงจวิน กวนจ้าว และยังมีพวกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเดียวกันที่ถูกประวัติศาสตร์ลืมเลือนไปนานแล้ว ทุกคนพากันปล่อยกระบี่บินขึ้นสู่ท้องฟ้าติดต่อกันไม่ขาดสาย”
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง ยื่นมือไปสัมผัสพื้นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เย็นนิดๆ แล้วแหงนหน้ามองสนามรบทางทิศใต้ “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ตอนนั้นทุกคนต่างก็ดิ้นรนหวังว่าจะมีชีวิตอยู่ หากไม่ทำเช่นนี้ก็คงอยู่รอดต่อไปไม่ได้ หาใช่ผู้น้อยด้อยค่าวีรกรรมยิ่งใหญ่ของพวกท่านไม่ มิกล้า และยิ่งไม่ยินดี ตอนนี้เวลาผ่านไปแล้วหมื่นปี ข้าเดินทางผ่านสามทวีป ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นโลกกว้างอะไรเลย ดังนั้นข้าจึงกล้าพูดว่า โดยภาพรวมแล้วใต้หล้าเปลี่ยวร้างยังดีอยู่ ยังมั่นคง เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส พวกท่านก็เหมือนผู้อาวุโสในครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง ความผิดความถูกของเด็กรุ่นหลังอย่างผู้น้อย อันที่จริงพวกท่านมองเห็นอย่างชัดเจน อันที่จริงก็ถือว่าพวกท่านใจกว้างมากแล้ว แต่ข้าก็ยังคงหวังว่าพวกท่านจะไม่รู้สึกผิดหวัง หากขนาดพวกท่านยังรู้สึกผิดหวัง ถ้าอย่างนั้นโอกาสที่พวกผู้น้อยจะรู้ผิดแล้วแก้ไขก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ”
เฉินชิงตูเงียบงันไม่เอ่ยคำใด
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ในเมื่อเป็นใต้เท้าอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วก็ควรมีความกล้าที่จะพูดตรงๆ อย่างไม่กริ่งเกรงสิ่งใด”
เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือแนบกับพื้น เอ่ยว่า “ข้ายังคงรู้สึกว่ายิ่งนานวันวิถีทางโลกจะยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ จะเดินขึ้นสู่ที่สูงไปทีละก้าว ข้าเชื่อว่าจะเป็นเช่นนี้ เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ขอท่านอย่าได้รู้สึกว่าหมื่นปีที่ผ่านมานี้มีเพียงความเงียบเหงา ใต้หล้าไพศาลที่อยู่เบื้องหลังท่านสงบสุขมั่นคงมาหนึ่งหมื่นปี ล่างภูเขามีควันไฟยามหุงหาอาหาร บนภูเขามีกลิ่นอายเซียนล้อมวน โดยภาพรวมแล้วทุกคนต่างก็มีความหวังและความปรารถนาน้อยใหญ่ต่างกันไป แม้แต่ข้าที่ตอนเป็นเด็กคิดว่าต่อให้ต้องตายก็ไม่กลัว แต่ภายหลังก็ยังไปเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกร เริ่มคิดว่าอยากหาเงินอยากเก็บเงินจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปดีๆ ไม่ใช่หรือ? จิตใจคนของที่นั่นวุ่นวายซับซ้อนเหมือนต้นหญ้าในผืนป่า แต่ก็ต้องมีผืนดิน มันถึงจะหยั่งรากแตกหน่อได้ไม่ใช่หรือ? ขอแค่มีผืนดิน ก็มีความเป็นไปได้นับพันนับหมื่นอย่าง”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ควรจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น อย่าได้รู้สึกผิดหวัง อย่าได้รู้สึกเสียใจ ได้หรือไม่?”
ผู้เฒ่าทรุดตัวลงนั่งยอง ยื่นมือมากดหัวของคนหนุ่ม ยิ้มกล่าว “คนหนุ่มก็คือคนหนุ่ม ไม่เคยเห็นโลกที่กว้างใหญ่อย่างแท้จริงมาก่อน ต่อให้เคยเห็นกระบี่นั้นที่ข้าสอนเจ้าแล้ว ก็ยังไม่รู้ถึงจิตแห่งกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง”
ผู้เฒ่าดึงมือกลับมา “ข้าเป็นผู้ฝึกกระบี่อายุปูนนี้แล้ว อดทนเดินทีละก้าวจนผ่านสถานการณ์อับจนสิ้นหวังที่ลึกล้ำที่สุดมาได้แล้ว นักโทษอาญา? ช่วงแรกเริ่มสุด บนพื้นดินของโลกมนุษย์ ใครบ้างไม่ใช่นักโทษอาญาที่มีชีวิตสั้นแสนสั้น? ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกผิดหวังอย่างใหญ่หลวงอะไร แน่นอนว่าความผิดหวังนั้นย่อมมี แต่ไม่ได้สิ้นเชิงเด็ดขาดอย่างที่เจ้าคิด หมื่นปีมานี้ สิ่งที่ได้เห็นมากกว่าก็คือความหวังน้อยนิดที่ผุดขึ้นที่นี่ ความหวังน้อยนิดที่หล่นลงที่นั่น ในเถ้าธุลีแห่งความหวัง ปีหน้าก็อาจมีต้นหญ้าแตกหน่อขึ้นมา หญ้าที่เติบโตเต็มทุ่งกว้าง แม้ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จะไม่มีทัศนียภาพเช่นนี้ แต่ต่อให้ข้าจะอยู่บนหัวกำแพงเมืองก็ยังเหมือนว่าจะได้กลิ่นหอมของหญ้าฤดูใบไม้ผลิของใต้หล้าไพศาลได้ทุกปี”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไป แล้วอดไม่ไหวหัวเราะเอ่ยว่า “ตีให้ตายก็คิดไม่ถึงว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจะเข้าใจพูดขนาดนี้ แถมคำพูดยังฟังเป็น…บทกวีเช่นนี้!”
เฉินชิงตูคลี่ยิ้ม “จะบอกเรื่องเล็กๆ ที่น่าสนใจให้เจ้าฟังอีกสองเรื่อง จำไว้ว่าอย่าเอาความลับสวรรค์นี้ไปแพร่งพรายล่ะ”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสโปรดพูด”
เฉินชิงตูกลับเปลี่ยนใจ ส่ายหน้าเอ่ย “ไว้ค่อยบอกคราวหลัง”
เฉินผิงอันจึงบอกลาเตรียมตัวจากไป
เฉินชิงตูพลันเอ่ยว่า “ผู้ฝึกกระบี่ ขอบเขตเส้นเอ็นหลิว กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ขอบเขตเจ็ดยอดเขาสูงสุด ยังไม่เพียงพอหรอกนะ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสอย่าได้เรียกร้องข้าอย่างเข้มงวดนักเลย ในบรรดาคนวัยเดียวกัน ข้าก็ถือว่าไม่เลวแล้ว บนเส้นทางวิถีวรยุทธ จะดีจะชั่วก็ยังพอมองเห็นแผ่นหลังของเฉาสือได้บ้าง ในฐานะผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่าง สามารถช่วงชิงโอกาสให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสได้ออกกระบี่ครั้งหนึ่ง เป็นใต้เท้าอิ่นกวาน ไม่กล้าพูดถึงคุณความดี แต่พูดถึงคุณความเหนื่อยยากก็น่าจะไม่มากเกินไปกระมัง? แล้วนับประสาอะไรกับที่ขอบเขตเส้นเอ็นหลิวนี่ก็ไม่เลว สะสมคุณลักษณะประจำตัว สะสมโชคชะตา หากไม่ระวังก็อาจ…”
เฉินชิงตูตัดบทความคิดเพ้อฝันของเฉินผิงอันโดยตรง ส่ายหน้าเอ่ยว่า “หากเจ้าไม่มีชะตาอันลี้ลับที่จะฝ่า ‘ขอบเขตรั้งคน’ เอาไว้ได้ ก็อย่าหวังว่าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้ในรวดเดียว”
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อน “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสรอให้ข้าเลื่อนสู่ขอบเขตสี่แล้วค่อยเอ่ยประโยคนี้ไม่ได้หรือ?”
เฉินชิงตูเอ่ย “รายชื่อเซียนกระบี่สามท่าน คนสุดท้าย คิดออกแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ยาก ตอนนี้ยังคิดไม่ออก”
เฉินชิงตูโบกมือ “เรื่องใหญ่แค่ก้นยังคิดไม่ออก จะเก็บใต้เท้าอิ่นกวานอย่างเจ้าไว้ทำไม รีบไสหัวไปคฤหาสน์หลบร้อนเลยไป ใช้สมองให้มากหน่อย พยายามเลื่อนเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิตและผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลในเร็ววัน”
เฉินผิงอันขอตัวลาจากไป เพียงแต่ว่ายังสอบถามอีกเรื่องหนึ่ง และเฉินชิงตูก็ตอบตกลง
คือเรื่องที่ออกจากหัวกำแพงไปสังหารปีศาจ เฉินชิงตูบอกว่าตามใจ ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน ขอแค่ตัวเองยินดี อีกทั้งยังไม่ถ่วงรั้งงานหลักก็ไม่มีปัญหา
ขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะเรียกเรือยันต์ออกมาก็ชำเลืองตามองไปทางกระท่อมแวบหนึ่ง ศิษย์พี่จั่วโย่วยังปิดด่านรักษาบาดแผล หมัดนั้นของเซียวสวิ้นช่างอำมหิตยิ่งนัก เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสบอกว่าหากเปลี่ยนมาเป็นพวกเซียนกระบี่อย่างเยว่ชิง ป่านนี้คงตายไปนานแล้ว ต่อให้เป็นลู่จื่อหรือน่าหลันเซาเหว่ย ขอบเขตก็ต้องถดถอยไปโดยตรง
เรือยันต์ของเฉินผิงอันเพิ่งจะออกจากหัวกำแพงทางทิศเหนือก็มีคนทะยานลมมาพลิ้วกายลงบนเรือ
เฉินผิงอันถาม “จะไปแล้วหรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้ารับ “คาดว่าอีกสองวันคงต้องออกเดินทางแล้ว การวางแนวป้องกันเลียบมหาสมุทรของทักษินาตยทวีปได้มีการพูดคุยกันมานานแล้ว มีงานกองโตรอให้ไปทำ”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือนเรื่องเก่าซ้ำอีกครั้ง “เรื่องการถามกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยง จะต้องรอข้าก่อน ต้องระวังให้มากๆ”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างสงสัย “หากไม่เคยเห็นข้าออกกระบี่มาก่อนก็ช่างเถิด รับมือกับภูเขาตะวันเที่ยงจำเป็นต้องระมัดระวังขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ใช่ เชื่อข้า”
หลิวเสี้ยนหยางถาม “หลี่ถวนจิ่งคนเดียวก็สยบภูเขาตะวันเที่ยงมาได้หลายร้อยปี คู่ควรให้ข้าและเจ้าต้องเห็นเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้เลยหรือไร?”
เฉินผิงอันกล่าว “หลิวเสี้ยนหยาง ในอดีตการช่วงชิงกันระหว่างสวนลมฟ้ากับภูเขาตะวันเที่ยง และวันหน้าการถามกระบี่ระหว่างเจ้าและข้ากับภูเขาตะวันเที่ยง เป็นเรื่องที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว นอกจากรากฐานของสำนักที่ภูเขาตะวันเที่ยงเก็บซ่อนอำพรางมานานแล้ว วันหน้าหากเพิ่มสถานการณ์ใหญ่เข้าไป ภูเขาตะวันเที่ยงและสกุลสวี่นครลมเย็นต่างก็เป็นตัวสำรองที่จะได้เป็นสำนักอักษรจงของแจกันสมบัติทวีปอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งภูเขาตะวันเที่ยงจะต้องได้ส่วนแบ่งเป็นโชคชะตาวิถีกระบี่เกินครึ่งไปจากราชวงศ์จูอิ๋ง นี่คือสิ่งที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนไม่อาจทำได้ เพราะต่อให้ฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีจะให้ความเคารพนับถือช่างหร่วนแค่ไหน ก็ไม่มีทางปล่อยให้สำนักกระบี่หลงเฉวียนได้ขึ้นเป็นใหญ่เพียงลำพังอย่างแน่นอน การที่มอบอาณาเขตของอดีตขุนเขากลางให้เป็นพื้นที่อิทธิพลของสำนักกระบี่หลงเฉวียน นอกจากจำนวนคนในสำนักของช่างหร่วนมีน้อยเกินไปซึ่งถือเป็นขีดจำกัดทางธรรมชาติแล้ว สกุลซ่งต้าหลีทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ภูเขาตะวันเที่ยงเป็นศาลาใกล้น้ำที่ได้ยลแสงจันทร์ก่อนด้วยการดึงตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ของราชวงศ์จูอิ๋งทั้งหมดมา หากได้เลื่อนขึ้นเป็นสำนักอักษรจง ภูเขาตะวันเที่ยงก็จะเชื่อมโยงเข้ากับชะตาแคว้นของสกุลซ่งต้าหลี นี่ยังใช่การแก่งแย่งแข่งขันกันด้วยอารมณ์ระหว่างหลี่ถวนจิ่งกับบรรดาบรรพบุรุษผู้ฝึกกระบี่มากมายของภูเขาตะวันเที่ยงในอดีตอีกหรือ?”
เฉินผิงอันถอนหายใจส่ายหน้าอยู่กับตัวเอง ก่อนจะเพิ่มน้ำหนักเสียงเอ่ยว่า “เรื่องที่มากกว่านั้นข้าไม่อาจพูดได้ สรุปก็คือภูเขาตะวันเที่ยงคือหนึ่งในจุดเชื่อมต่อสำคัญในสถานการณ์ใหญ่บางอย่างของราชวงศ์ต้าหลี เป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ ถึงเวลานี้เจ้าและข้าถามกระบี่ คนที่ถามจะมีแค่ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาและผู้ฝึกกระบี่เฒ่ากลุ่มนั้นของภูเขาตะวันเที่ยงจริงๆ หรือ?”