คนกลุ่มหนึ่งที่มีกันสิบกว่าคนเดินข้ามผ่านประตูใหญ่ออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อากาศร้อนระอุมาเยือนภูเขาห้อยหัวที่มีหิมะโปรยปราย
พวกเขาต่างก็ร่ายใช้เวทอำพรางตา เลือกเวลากลางดึกของภูเขาห้อยหัวตรงดิ่งไปยังเรือนชุนฟานหนึ่งในสี่จวนส่วนตัวขนาดใหญ่
ในบรรดาคนกลุ่มนี้ก็มีเทพเจ้าแห่งโชคลาภสองท่านของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเยี่ยนหมิงและน่าหลันไฉ่ฮ่วนอยู่ด้วย
นอกจากเทียนจวินใหญ่ที่เฝ้าพิทักษ์อยู่บนยอดเขาเดียวดายแล้ว ก็ไม่มีใครสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของมังกรข้ามแม่น้ำกลุ่มนี้อีก
เทียนจวินใหญ่หลุบตามองลงมายังประตูใหญ่ ข้างกายคือเจินเหรินผู้เฒ่าที่ถือไม้ปัดฝุ่นสีทองอยู่ในมือ ฝ่ายหลังสอบถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ คงจะไม่เกิดเรื่องหรอกกระมัง?”
เทียนจวินใหญ่แค่นเสียงเย็น “ใครจะมาก่อเรื่อง? เจ้าพวกพ่อค้าที่ในสายตามีแต่เงินงั้นหรือ? พวกเขากล้ารึ?”
เจินเหรินผู้เฒ่ายื่นมือไปลูบเส้นด้ายสีทองที่มาจากการหลอมใหญ่หนวดเจียวหลง “หากใช้กำลังอำนาจข่มทับคนอื่นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะประสบความสำเร็จนะขอรับ”
เทียนจวินใหญ่มองไปยังบุรุษคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มคนแล้วผงกศีรษะ
ฝ่ายหลังเหลือบมองมายังเทียนจวินใหญ่ลัทธิเต๋าที่อยู่บนยอดเขาเดียวดายแล้วก็พยักหน้าให้เช่นกัน
ดูเหมือนว่าเทียนจวินใหญ่จะมาเพื่อเห็นหน้าคนผู้นี้คนเดียวเท่านั้น หลังจากทักทายเรียบร้อยก็หมุนตัวจากไป พลางเอ่ยว่า “หลังจากข้าปิดด่าน เจ้าเป็นคนจัดการกิจธุระต่างๆ ก็แล้วกัน ง่ายมาก นั่นคือไม่ต้องสนใจเรื่องอะไรทั้งนั้น”
เจินเหรินผู้เฒ่าที่เป็นลูกศิษย์คนแรกของเทียนจวินใหญ่อึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนข้างมือที่ใช้ถือไม้ปัดฝุ่น ประสานมือคารวะ เอ่ยเสียงเบาว่า “น้อมรับคำสั่งอาจารย์”
แต่แล้วเจินเหรินผู้เฒ่าก็อดไม่ไหวถามว่า “อาจารย์ ทางฝั่งของอาจารย์อาเจียงล่ะ?”
เมื่ออาจารย์ปิดด่าน ภูเขาห้อยหัวแห่งนี้ก็ไม่มีใครควบคุม ‘นักพรตน้อย’ ที่มีชาติกำเนิดจากสายหลักของป๋ายอวี้จิงผู้นั้นได้อีกแล้ว
สรุปก็คือเจินจวินอย่างเขาที่ไม่ว่าจะเป็นลำดับอาวุโสหรือตบะก็ล้วนไม่กล้าไปควบคุมอีกฝ่าย ยิ่งอยู่กันคนละสาย ก็ยิ่งพูดคุยกันด้วยเหตุผลได้ยาก
เทียนจวินใหญ่หันหน้าไปมองทางประตูบานเก่า ที่นั่นมีนักพรตน้อยคนหนึ่งกำลังเปิดอ่านตำราอยู่บนเบาะรองนั่ง ปากก็พูดคุยถึงเรื่องยิบย่อยในหนังสือกับเซียนกระบี่จางลู่ที่นั่งดื่มเหล้าอยู่ข้างกาย เทียนจวินใหญ่ลังเลไปชั่วขณะ ก่อนเอ่ยว่า “ปล่อยเขาไปเถอะ หลายร้อยปีมานี้ที่เฝ้าประตูภูเขาห้อยหัว เจียงอวิ๋นเซิงสงบเสงี่ยมขึ้นมากแล้ว หากเปลี่ยนไปอยู่ที่บ้านเกิด ไม่ว่าภูเขาห้อยหัวกี่ลูกก็ไม่พอให้เขาสร้างความวุ่นวาย อาจารย์อาน้อยคนนั้นของข้ารักและเอ็นดูเขาที่สุด ทุกครั้งที่ไปก่อเรื่องที่อารามเสวียนตูใหญ่ก็ยังต้องพาเจียงอวิ๋นเซิงไปด้วย หากไม่เป็นเพราะนักพรตซุนเกิดจิตคิดสังหารเจียงอวิ๋นเซิง อีกทั้งอาจารย์อาน้อยก็อยู่ห่างไปไกลมาก เดิมทีเจียงอวิ๋นเซิงก็ไม่จำเป็นต้องมาหลบเคราะห์แสวงหาโชคอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลแห่งนี้”
อารามเสวียนตูใหญ่ สายเซียนกระบี่ของลัทธิเต๋า นักพรตซุนหนึ่งในอันดับสิบคนของใต้หล้ามืดสลัว
เจินเหรินผู้เฒ่าเอ่ยปลงอนิจจัง “อาจารย์อาเจียงผ่านหายนะใหญ่มาได้โดยที่ไม่ตาย หลังจากนี้ต้องมีแต่ความโชคดีเป็นแน่”
เคราะห์ภัยและโชคลาภมักจะมาพร้อมกัน เมื่อเปลี่ยนมาอยู่อีกใต้หล้าหนึ่ง โชคชะตาก็พลิกกลับ ไม่แน่ว่าในอดีตที่บรรพจารย์อาพาอาจารย์อาเจียงไป ‘ร้องชักดิ้นชักงอ’ ที่อารามเสวียนตูใหญ่ ชักนำให้นักพรตซุนเกิดจิตสังหาร อาจเป็นการกระทำที่เกิดจากความตั้งใจก็เป็นได้
เมื่อเป็นบุคคลที่มีขอบเขตเฉกเช่นนักพรตซุนนี้ หากเกิดจิตสังหารขึ้นมา ขอแค่อยู่ห่างจากป๋ายอวี้จิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับอารามเต๋าบ้านตัวเอง ก็สามารถเปลี่ยนโชคชะตาฟ้าดิน ปรับเปลี่ยนมหามรรคาได้อย่างสิ้นเชิง
บรรพจารย์อาเจ้าลัทธิสามทำเช่นนี้ ก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นวิธีการของเทพเซียนกระมัง
แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คือสามารถส่งตัวเจียงอวิ๋นเซิงให้ออกมาจากใต้หล้ามืดสลัวได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่
เทียนจวินใหญ่ไปปิดด่านแล้ว เจินเหรินผู้เฒ่าอยู่ต่อตรงราวรั้ว หลุบตาลงมองตลอดทั้งภูเขาห้อยหัว คนบนโลกรู้แค่ว่าภูเขาห้อยหัวก็คือตราประทับอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุด น้อยคนนักที่จะรู้ว่าสถานที่ท่องเที่ยวแปดแห่งซึ่งมีศาลาจัวฟ่าง หน้าผาหมีลู่เป็นหนึ่งในนั้น บวกกับยอดเขาเดียวดายที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาเวลานี้ ก็คือค่ายกลบรรพกาลที่สืบทอดมาจากสายของซานซานจิ่วโหว สุดท้ายเมื่อถูกสร้างขึ้นมาจึงคล้ายคลึงกับแท่นบินทะยานในยุคบรรพกาล
เจินเหรินผู้เฒ่าคือลูกศิษย์ที่เทียนจวินใหญ่รับมาตอนอยู่ในใต้หล้าไพศาล บ้านเกิดของเขาอยู่ที่นี่ แต่เจินเหรินผู้เฒ่าก็ไม่ได้ต่างจากผู้เฒ่าแจวเรือที่ในอดีตเคยถ่อเรือออกทะเลเพื่อเจ้าลัทธิสามลู่เฉินสักเท่าไร ผู้ฝึกตน ก่อนที่จะขึ้นไปบนภูเขา ถือกำเนิดขึ้นที่ใด ที่นั่นก็คือบ้านเกิดแห่งแรก ขึ้นภูเขาไปแล้ว ฝึกตนอยู่ที่ใด ก็คือบ้านเกิดที่ทำให้จิตใจสงบได้อย่างแท้จริง ดังนั้นเจินเหรินผู้เฒ่าที่เฝ้าพิทักษ์ภูเขาห้อยหัวก็ดี หรือผู้เฒ่าแจวเรือที่ล่องลอยอยู่บนมหาสมุทรชั่วนาตาปีก็ช่าง พวกเขาต่างก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ไปฝึกตนสร้างมหามรรคาอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว เพียงแต่ว่ามหามรรคาสูงส่ง เส้นทางยาวไกล หากไม่มีคนนำทาง ขอบเขตไม่พอ แล้วจะบินทะยานไปสู่ใต้หล้าแห่งอื่นได้อย่างไร
เจินเหรินผู้เฒ่ามองผู้ฝึกตนที่แอบเข้ามาในภูเขาห้อยหัวกลุ่มนั้นแล้วก็พลันหมดความสนใจ ในเมื่ออาจารย์ออกคำสั่งไว้แล้วว่าไม่ต้องสนเรื่องอะไรทั้งนั้น เจินเหรินผู้เฒ่าจึงแค่ร่ายคาถามาปรากฎตัวที่ศาลาจัวฟ่างที่ร้างผู้คนเพราะเป็นเวลาดึกสงัด และเสี้ยววินาทีถัดมา เจินจวินที่สังหารเจียวหลงนับไม่ถ้วนแล้วนำมาหลอมเป็นไม้ปัดฝุ่นแห่งชะตาชีวิตของตนท่านนี้ก็มาปรากฏตัวอยู่เหนือมหาสมุทร เพราะไม่มีอะไรทำจึงมาทอดสายตามองไกลๆ ไปยังร่องเจียวหลงแห่งนั้น
ทายาทของเผ่าพันธุ์มังกรที่แท้จริงทั้งหมดในร่องเจียวหลง หากไม่เป็นเพราะเจียงอวิ๋นเซิงเอ่ยประโยคหนึ่งกับเจินจวินท่านนี้ พวกมันก็คงตายกันไปอย่างสิ้นซากนานแล้ว เจินจวินเพียงแค่ต้องเฝ้าตอรอกระต่าย ดักเจียวเฒ่าที่ไปโปรยฝนทั้งหลายกลางทางแล้วสังหารทิ้งซะ ป่านนี้ไม้ปัดฝุ่นของเขาก็คงเลื่อนเป็นระดับอาวุธเซียนนานแล้ว
สะสมทีละเล็กทีละน้อยจนมากเข้า ทำให้วัตถุบนภูเขากลายมามีระดับขั้นของอาวุธเซียน นี่ก็คือความสามารถของเจินจวินผู้เฒ่าท่านนี้
หวนนึกถึงเรื่องลับเก่าแก่เรื่องนั้น เจินเหรินผู้เฒ่าที่ยืนอยู่บนพื้นผิวทะเลที่ลูกคลื่นสีมรกตซัดสาดก็ให้สะทกสะท้อนใจ
ปีนั้นคนเพียงคนเดียวที่เกลี้ยกล่อมให้เซียนกระบี่ผู้นั้นเก็บกระบี่ได้ อันที่จริงมีเพียงลู่เฉิน
ออกไปนอกหกขั้ว ท่องไปอย่างอิสระเสรี พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล
คบค้าเพียงแต่จิตวิญญาณแห่งฟ้าดิน เจ้าลัทธิสามท่านนั้นสมแล้วที่เป็น ‘จื้อเหริน’ (ในทางลัทธิเต๋าจะหมายถึงบุคคลที่หลุดพ้นเหนือโลกีย์ ไร้ซึ่งอัตตา)
มิน่าเล่าในสายตาของบรรพจารย์อาท่านนี้ พรรคตระกูลเซียนทุกแห่งในใต้หล้าไพศาลก็เป็นแค่นกกระจิบที่สร้างรังเท่านั้น
การย้ายภูเขาพลิกมหาสมุทรที่เป็นเวทคาถาตระกูลเซียนก็ไม่ต่างจากตัวตุ่นดื่มน้ำ
เกี่ยวกับเจ้าลัทธิสามท่านนี้ ยิ่งเจินเหรินผู้เฒ่ามีความรู้และความคิดลึกล้ำเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเล็กจ้อยมากเท่านั้น ฉับพลันนั้นเขาจึงมีสีหน้าเลื่อนลอยไปเล็กน้อย
นักพรตน้อยร้องเอ๊ะหนึ่งที หันหน้ามองไปทางรั้วของหอสูงบนยอดเขาเดียวดาย พอลองนับนิ้วคำนวณก็ให้รู้สึกยอดเยี่ยมจนไร้คำบรรยาย
เซียนกระบี่จางลู่ถามอย่างใคร่รู้ “มีอะไรหรือ?”
นักพรตน้อยเอ่ย “คล้ายคลึงกับการค่อยๆ กระจ่างแจ้งที่เปลี่ยนเป็นการรู้ตื่นอย่างฉับพลันทันทีของลัทธิพุทธกระมัง ก็แค่คล้ายนะ เพราะยังขาดการตีแสกหน้า” (พิธีกรรมของนิกายเซนศาสนาพุทธ เป็นการปลุกเตือนให้มีสติ)
จางลู่ยิ้มกล่าว “สั่งสมมิตรภาพมาหลายร้อยปี เจ้าไม่ถือโอกาสนี้ช่วยเหลือสักหน่อยหรือ?”
นักพรตน้อยส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเอาไม้ตีแสกหน้าคนอื่นได้ สรุปก็คือข้าไม่มีความสามารถนี้ ไม้หนึ่งฟาดลงไป หากเอียงไปสักเล็กน้อย การตระหนักรู้ไม่ลึกล้ำ ถ้าอย่างนั้นก็มีแต่จะทำให้หน้าผากปูดนูน”
จางลู่ยิ้มกล่าว “อ่านหนังสือ อ่านหนังสือต่อ โดยทั่วไปแล้วทุกครั้งที่ในหนังสือเล่าว่าท่านเทพเทวามาพักค้างคืนริมทะเลสาบหรือริมบ่อน้ำลึกก็ควรจะมีสาวงามมาเปลื้องผ้าอาบน้ำแล้ว”
นักพรตน้อยไม่ได้เปิดพลิกหน้าหนังสือทันที กลับถามขึ้นมากะทันหันว่า “ระวังหน่อย อีกฝ่ายไม่ได้เดินผ่านประตูบานนี้มาสองครั้งแล้ว”
จางลู่หัวเราะตาหยี “ยังคงเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนเหมือนเดิมเลยนะ คาดว่าชั่วชีวิตเจ้าคงไม่มีทางเลื่อมใสความรู้ของลัทธิเต๋าพวกเจ้าได้จากใจจริงสินะ”
นักพรตน้อยส่ายหน้า “แค่ถูกเรื่องไม่ถูกคน ไม่ควรพูดแบบนี้ นิสัยใจคอ ซื่อสัตย์จริงใจ ล้วนถือเป็นเมล็ดพันธ์ที่ดีในการฝึกตน อันที่จริงความรู้ลัทธิเต๋าของพวกเรากว้างขวางและลึกล้ำ สูงและไกลกว่าที่เจ้าจินตนาการเอาไว้ เจ้าจะไม่เห็นความสำคัญของลัทธิเต๋าพวกเราเพียงเพราะมรรคกถาของข้าไม่ได้เรื่องไม่ได้”
จางลู่อ้าปากหาวหวอด “หากเจ้าไม่เปิดหน้าหนังสือช่วยให้ข้ากระปรี้กระเปร่า ข้าคงอดทนผ่านคืนนี้ไปไม่ได้แล้วล่ะ”
นักพรตน้อยจึงเริ่มเปิดหน้าหนังสืออีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ไม่นาน เรือข้ามฟากอ่างกระเบื้องของถ้ำซานสุ่ยฝูเหยาทวีปเพิ่งจะขับออกจากภูเขาห้อยหัวไปได้พันกว่าลี้ก็พลันได้รับกระบี่บินส่งข่าวจากจวนส่วนตัวแห่งหนึ่งของภูเขาห้อยหัว ผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดครุ่นคิดอยู่นาน แล้วก็จริงดังคาด ทางฝั่งห้องกระบี่ของเรือข้ามฟากก็ได้รับกระบี่บินจากคนบนเส้นทางเดียวกันอีกมากมาย สุดท้ายผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดที่ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียดีแล้วจึงเลือกออกจากเรือข้ามฟากย้อนกลับมาที่ภูเขาห้อยหัวอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง
ไม่เพียงแต่ถ้ำซานสุ่ยเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วพวกคนที่มีอำนาจตัดสินใจของเรือข้ามฟากลำต่างๆ ที่มาปรึกษาธุระลับกันที่โรงเตี๊ยมของเรือนหลิงจือก็เพิ่งออกจากภูเขาห้อยหัวมาได้ไม่นาน แล้วก็ได้รับกระบี่บินส่งข่าวจากช่องทางต่างๆ ของตนเหมือนกัน จึงจำเป็นต้องย้อนกลับไปที่ภูเขาห้อยหัวกันอีกรอบ
อันที่จริงเรือข้ามฟากของแต่ละทวีปซึ่งช่วงที่ผ่านมานี้จอดเทียบท่าที่ภูเขาห้อยหัว หรือออกไปจากภูเขาห้อยหัวได้ไม่ไกลเท่าไรนัก ต่างก็ถูกเชื้อเชิญให้มาเป็น ‘แขก’ ที่เรือนชุนฟานของเส้าอวิ๋นเหยียนกันทั้งสิ้น
ผู้ที่เชื้อเชิญ ทั้งไม่ใช่เยี่ยนหมิง และไม่ใช่น่าหลันไฉ่ฮ่วน แต่เป็น ‘กำแพงเมืองปราณกระบี่’
นี่คือเรื่องประหลาดที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่
และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กที่จะปล่อยให้คนนอกมาวางมาดหรือปฏิเสธการเข้าพบได้ แน่นอนว่าพ่อค้าใหญ่จำนวนมากก็ใคร่รู้เหมือนกันว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ระดมพลยิ่งใหญ่ขนาดนี้ คนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจจะเป็นใคร? ใครจะมีคุณสมบัตินี้ คงไม่ใช่ว่ายังคงเป็นน่าหลันเซาเหว่ยที่ปีนั้นถูกบรรพจารย์ถ้ำซานสุ่ยที่ยังไร้แซ่ไร้นามวางแผนเล่นงาน สุดท้ายก็ต้องหน้าหมองอับอายหรอกนะ? หากเป็นคนผู้นี้ก็นับว่าประหยัดแรงกายแรงใจไปได้เยอะ
ด้วยเหตุนี้เรือข้ามฟากทุกลำที่ได้ข่าว ในบรรดานั้นก็มีเรือข้ามฟากของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง และธวัลทวีปที่มีจำนวนมากที่สุดที่ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้คนเดินทางกลับไปอย่างลับๆ คนส่วนใหญ่นัดหมายกันว่าจะไปเจอกันที่ครึ่งทาง เพราะจำเป็นต้องร่วมกับคนที่สนิทสนมคุ้นเคยคิดวิเคราะห์ถึงจุดประสงค์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อันตรายร้ายแรงถึงชีวิตย่อมไม่มีอยู่แล้ว กำแพงเมืองปราณกระบี่คงไม่เสียสติขนาดนั้น กลัวก็แต่ว่าทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะใช้วิธีการต่ำช้า ก่อให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน ถ่วงเวลาการหาเงินก้อนใหญ่อย่างมั่นคงของทุกคน แต่หากสามารถได้ข้อสรุปร่วมกัน แล้วร่วมมือกันทำลายแรงไฟห้าวเหิมของกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้สิ้นซาก กลับกลายจะเป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้าที่ทุกคนเหนื่อยครั้งเดียวสบายไปตลอดชาติ
เส้าอวิ๋นเหยียนเจ้าของเรือนชุนฟานมายืนต้อนรับแขกที่หน้าประตูด้วยตัวเองพร้อมกับผู้เฒ่าคนสนิทจำนวนหนึ่งซึ่งเหลืออยู่ไม่มากในจวน พาแขกทั้งหลายที่ทยอยกันมาเยือนเข้าพักตามจุดต่างๆ ของเรือน สีหน้าของเส้าอวิ๋นเหยียนเป็นมิตร ผู้ดูแลเรือข้ามฟากจำนวนไม่น้อยจึงอดตกใจกับความเมตตาที่ได้รับโดยไม่คาดฝันไม่ได้ เพราะเซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนมีเถาน้ำเต้าสมบัติอาคม คนที่ติดค้างน้ำใจของเขา หากไม่ใช่สำนักใหญ่ของใต้หล้าไพศาลก็เป็นเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีป เป็นเหตุให้เรือนชุนฟานไม่ใช่สิ่งที่สวนดอกเหมยหรือตำหนักสุ่ยจิ่งของสำนักอวี่หลงจะสามารถทัดเทียมได้ มาถึงภูเขาห้อยหัว คนที่สามารถเข้าพักในจวนหยวนโหรวก็คือคนมีเงินอย่างแท้จริง แต่คนที่สามารถเข้าพักเรือนชุนฟานได้ ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จบนมหามรรคา เส้นทางในอนาคตราวกับปูด้วยผ้าแพร
เรือนชุนฟานจัดหาเรือนพักที่เงียบสงบประมาณสิบกว่าแห่ง ผู้ดูแลเรือข้ามฟากของแต่ละทวีปล้วนให้พักอยู่ที่เดียวกัน
ก่อนที่ทุกคนจะเข้าไปในเรือนที่พักของตัวเอง เซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนจะยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ทุกท่านเชิญดื่มชา ดื่มเหล้ากันสักครู่หนึ่งก่อน พักผ่อนตามอัธยาศัย รอสักครู่แล้วเดี๋ยวทุกคนค่อยไปปรึกษาหารือกันที่ห้องโถงกลางของเรือนชุนฟาน
ป๋ายซีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของถ้ำซานสุ่ยฝูเหยาทวีปที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ไม่รู้ว่าเซียนกระบี่เส้าคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่ เพียงแต่ว่าพอเขาเข้ามาในเรือนพัก เพิ่งจะเดินเข้าประตูไปก็มองเห็นคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ในห้องหลัก กำลังเงยหน้ามองมาที่ตน
หัวใจของป๋ายซีบีบรัดตัวแน่น โอดครวญในใจไม่หยุด
คนผู้นั้นก็คือเซียนกระบี่เซี่ยจื้อแห่งฝูเหยาทวีป!
คนผู้นี้มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระจริงแท้แน่นอน ต่อให้กลายเป็นเซียนกระบี่โดยมีรากฐานจากผู้ฝึกตนอิสระก็ยังไม่ยินดีจะก่อสำนักตั้งพรรคเป็นของตัวเอง ชอบท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศ สุดท้ายมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่เคยมีการไปมาหาสู่กับตระกูลเซียนทั้งหมดของฝูเหยาทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอดีตเซี่ยจื้อยังมีอคติเลวร้ายต่อถ้ำซานสุ่ยของตนอย่างไม่คิดปิดบังอีกด้วย กับบรรพบุรุษของถ้ำซานสุ่ยก็ยิ่งเป็นคนประเภทที่ว่าต่อให้เจอหน้ากันก็ไม่คิดจะผงกศีรษะทักทาย