โอสถทองหนุ่มมีนามว่าหวังซือจื่อ คือผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา ท่ามกลางผู้ฝึกตนอิสระ เขากลายเป็นโอสถทองด้วยอายุเท่านี้ อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ ก็คู่ควรให้เรียกว่าตัวอ่อนกระบี่ผู้มีพรสวรรค์แล้ว
น่าเสียดายที่พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับหาคนบ้านเดียวกันไม่เจอ อีกทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มีเซียนกระบี่เดินกันให้ควั่กบนถนน ขอบเขตของหวังซือจื่อก็ไม่ถือว่าสูง อันที่จริงเขาจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง และแจกันสมบัติทวีปที่พอจะถือว่าเป็นเพื่อนบ้านเพียงหนึ่งเดียวได้นั้น นอกจากเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะแล้วก็ไม่มีผู้ฝึกกระบี่คนอื่นอีก แน่นอนว่าหวังซือจื่อไม่กล้าไปทักทายพูดคุยกับเว่ยจิ้น เจอหน้ากันแล้วจะยังคุยอะไรกันได้อีก? พอถึงท้ายที่สุดเวลาสิบกว่าปีที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ก็กลายเป็นว่าได้แต่ก้มหน้าก้มตาฝึกตนอยู่ตัวคนเดียวเท่านั้น หลายครั้งที่ขึ้นหัวกำแพงไปสังหารปีศาจ ผลเก็บเกี่ยวก็มีไม่มาก แค่พอจะประคับประคองให้เขาอยู่ต่อในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เท่านั้น
เพียงแต่ว่าสองปีมานี้ดีขึ้นบ้างเล็กน้อย เพราะมักจะไปดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าเล็กๆ แห่งหนึ่งเป็นประจำ ไม่มีเพื่อนไม่มีสหาย เว้นเสียจากว่าลูกค้าน้อยก็ยากนักที่จะได้นั่งดื่มเหล้าที่โต๊ะ หลายๆ ครั้งจึงได้แต่มานั่งยองดื่มเหล้าข้างทาง กินบะหมี่หยางชุนเป็นกับแกล้ม เมื่อเทียบกับในอดีตที่มักจะต้องอยู่เพียงลำพัง รสชาตินั้นก็ไม่เลวเลยจริงๆ
กลับบ้านเกิดครานี้ก็ยิ่งมีเรื่องไม่คาดฝันใหญ่เทียมฟ้า คิดไม่ถึงว่าตนจะสามารถเดินทางไปร่วมกับเซียนกระบี่ใหญ่จั่วได้
แต่หวังซือจื่อก็รู้หนักเบาและผลได้ผลเสียดี จึงเงียบงันไปตลอดการเดินทาง
พอใกล้จะถึงร่องเจียวหลง จั่วโย่วพลันเอ่ยว่า “ไม่ต้องระมัดระวังตัวมากเกินไป หากมีข้อสงสัยด้านการฝึกตนก็สามารถถามมาได้เลย”
หวังซือจื่อเอ่ยเสียงเบา “ผู้น้อยขอบเขตต่ำต้อย คำถามแต่ละข้อล้วนไม่ใหญ่ สามารถรอให้ไปถึงใบถงทวีปก่อนแล้วค่อยถามก็ยังไม่สาย”
จั่วโย่วเองก็ไม่ทำให้ผู้ฝึกกระบี่วัยเดียวกันคนนี้ลำบากใจ
จั่วโย่วหันกลับไปมองทิศทางที่ตั้งของภูเขาห้อยหัว
ม่านราตรีหนาหนัก ระหว่างฟ้าดินมีริ้วคลื่นสีมรกตซัดผ่าน ประกายแสงของหิมะเป็นสีเงินยวงงามจับตา
หวังซือจื่อถามอย่างใครรู่ “ผู้น้อยเลือกที่จะออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ในช่วงเวลาเช่นนี้ เหตุใดผู้อาวุโสถึงยังยินดีจะถ่ายทอดวิชากระบี่ให้แก่ผู้น้อย”
จั่วโย่วถอนสายตากลับ ยิ้มเอ่ยว่า “โอสถทองหวังซือจื่อ ผู้ฝึกตนอิสระแห่งใบถงทวีปอยู่อย่างเดียวดาย ในเวลาสิบสี่ปีเคยขึ้นหัวกำแพงสามครั้ง สามครั้งล้วนถูกบีบให้ออกไปสังหารปีศาจนอกหัวกำแพง ข้าจั่วโย่วและเจ้าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน ดังนั้นเมื่อพูดถึงกระบี่กับเจ้าจึงไม่ใช่การชี้แนะ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กัน”
หวังซือจื่อไม่รู้จะเอ่ยตอบเช่นไร มีหลายครั้งที่ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
จั่วโย่วจึงเอ่ย “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ”
หวังซือจื่อยิ้มกล่าว “ข้านึกว่าตัวเองกำลังพูดอยู่กับเถ้าแก่รองเสียอีก”
จั่วโย่วหัวเราะเสียงดัง “ข้ากับเฉินผิงอันคือศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก เจ้ารู้สึกว่าคำพูดและการกระทำของพวกเราคล้ายคลึงกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
หวังซือจื่อเอ่ย “ผู้อาวุโส ข้าเชื่อว่าวันหน้าเถ้าแก่รองจะต้องมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลอย่างแน่นอน!”
จั่วโย่วส่ายหน้า “รอไปก่อนเถอะ ใต้หล้าไพศาลมีแต่จะรังเกียจที่เขาทำน้อยเกินไป เรื่องทั้งหลายก่อนหน้านี้ที่ไม่เคยยอมรับล้วนจะกลายมาเป็นเหตุผลในการโจมตีเขา อย่างเรื่องลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง ศิษย์น้องเล็กของจั่วโย่ว คนหนุ่มที่แม้แต่เฉินชิงตูก็ยังให้ความสนใจ ใต้เท้าอิ่นกวานคนใหม่ที่อยู่ห่างไกลจากสนามรบ ล้วนจะกลายมาเป็นเหตุผลที่ดีเยี่ยมในการปฏิเสธศิษย์น้องเล็กของข้าในอนาคต หากเขาตายไป กลับกลายเป็นว่าเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็จะไม่พูดถึงแล้ว แต่ขอแค่ตายอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็จะกลายเป็นความผิดมหันต์”
อารมณ์ของหวังซือจื่อพลันหนักอึ้ง
จั่วโย่วเอ่ย “นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แค่ปรับตัวให้ชินก็ดีไปเอง”
จั่วโย่วและหวังซือจื่อขี่กระบี่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกด้วยกัน แล้วก็ไม่พูดคุยอะไรกันอีก
เรือนชุนฟาน ภูเขาห้อยหัว
การจัดวางตำแหน่งที่นั่งในห้องโถงกลางของเรือนชุนฟานยังคงอิงตามกฎมารยาทของตระกูลปัญญาชนในใต้หล้าไพศาล
แขวนอักษรภาพขุนเขาสายน้ำเทพเซียนไว้ตรงกลางห้องโถง คือภาพภูเขาไม่ทราบชื่อลูกหนึ่งของอุตรกุรุทวีป สองด้านยังแคว้นกลอนคู่ของลัทธิขงจื๊อที่มีเนื้อหาให้คนอบรมปลูกฝังตัวเองอย่างดีงาม และเหนือขึ้นไปก็เป็นกรอบป้ายคำว่า ‘โถงหลิวเป่ย’
ด้านหน้าผนังวางม้านั่งตัวยาว ด้านหน้าม้านั่งคือโต๊ะสี่เซียนหนึ่งตัว สองด้านของโต๊ะวางเก้าอี้ไว้สองตัว
ระหว่างประตูใหญ่และผนัง ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกหันหน้าเข้าหากัน ต่างก็วางเก้าอี้เรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ
คนที่เข้าประตูมา จะลุกหรือจะนั่งก็ล้วนอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
พวกผู้ดูแล ผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจของเรือข้ามทวีปแต่ละทวีปต่างทยอยกันเข้ามาในห้องโถงแห่งนี้
หลังจากที่ป๋ายซีแห่งถ้ำซานสุ่ยนั่งลงแล้วก็มองสบตากับสหายเก่าหลายคน พวกเขาต่างก็ไม่กล้าใช้เสียงในใจสื่อสารกัน แต่ดูจากสายตาของแต่ละคนแล้วก็ล้วนมองออกถึงความกังวลเสี้ยวหนึ่ง
การจัดวางเก้าอี้ในห้องโถงมีข้อพิถีพิถันใหญ่เป็นพิเศษ
รากฐานของสำนัก ขนาดเล็กใหญ่ของเรือข้ามทวีปและการค้ามากน้อย ชื่อเสียงส่วนบุคคลของตัวแทนเรือข้ามทวีปแต่ละลำ ล้วนดูเหมือนว่าจะผ่านการคิดคำนวณมาหมดแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นป๋ายซีสังเกตเห็นว่าเรือข้ามฟาก ‘หนันจี’ ของธวัลทวีป ผู้ดูแลคือผู้ฝึกตนคอขวดโอสถทองที่ไม่มีชื่อเสียงอะไร แต่ไหนแต่ไรมาก็มักจะทำการค้าในระดับกลางๆ เท่านั้น เวลาปกติยามไปมาหาสู่กับพวกผู้ดูแลของเรือข้ามฟากลำอื่นก็ถือว่าเป็นคนที่พูดจาไม่ค่อยมีน้ำหนักนักบนโต๊ะเหล้า แต่วันนี้การจัดที่นั่งของเขากลับได้รับการปฏิบัติอย่างมีมารยาทสูงสุด เพราะบรรพบุรุษถ้ำซานสุ่ยบ้านตนเคยเปิดเผยความลับสวรรค์ให้ฟังมาก่อน ป๋ายซีถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วคนผู้นี้คือผู้ฝึกตนพรรคยันต์ขอบเขตหยกดิบที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำ การที่มาทำการค้าข้ามทวีปกับภูเขาห้อยหัว จุดประสงค์ไม่ได้อยู่ที่การทำการค้ากับที่นี่ แต่ทุกครั้งเขาจะแอบไปทำการค้าที่ลึกลับอำพรางอย่างแท้จริงกับร่องเจียวหลง ใช้เงินเทพเซียนแลกเปลี่ยนมาด้วยโอกาสในการสกัดดึงปราณมังกรผ่านเวทลับเฉพาะของเขา พอไปถึงธวัลทวีปก็จะเปลี่ยนปราณมังกรนั้นให้กลายเป็นยันต์ล้ำค่าที่ซุกซ่อนแก่นแท้ของปราณมังกรเอาไว้ แล้วนำไปขายให้กับสกุลหลิวธวัลทวีปด้วยราคาที่สูงเทียมฟ้า
ท่านบรรพบุรุษต้องการให้ป๋ายซีระมัดระวังเรื่องความเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องจงใจผูกมิตรกับคนผู้นี้ เพียงแต่ยามที่พบเจอหน้ากันก็ให้ระวังสีหน้าและคำพูดคำจาให้ดี
ป๋ายซีกล้าแน่ใจเลยว่า ‘ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตโอสถทอง’ ที่มองดูแล้วสีหน้านิ่งสงบ แท้จริงแล้วในใจต้องรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรอย่างแน่นอน
สุดท้ายเมื่อทุกคนพากันนั่งลงเรียบร้อย
เซียนกระบี่สิบกว่าท่านที่ออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่นั่งบนเก้าอี้ทางฝั่งขวามือ เมื่อเทียบกับทางฝั่งซ้ายมือที่เก้าอี้ค่อนข้างเบียดชิดกันแล้ว ทางฝั่งนี้จะมีพื้นที่ว่างมากกว่า เซียนกระบี่ของทวีปหนึ่งจึงนั่งลงตรงข้ามกับผู้ดูแลเรือข้ามฝากของทวีปนั้นๆ ได้พอดี
ดังนั้นจนกระทั่งบัดนี้ ผู้ดูแลสิบกว่าท่านถึงได้เริ่มมองประเมินคนหนุ่มผู้นั้น
แขกทุกคนที่มานั่งอยู่ที่นี่ แต่ละคนล้วนเป็นจิ้งจอกเฒ่าที่มีคัมภีร์การค้าเป็นของตัวเอง ทำการค้าจนโชกโชนทะลุปรุโปร่งแล้ว ก่อนหน้านี้อาจมีคนให้ความสนใจคนผู้นี้ไม่มากก็น้อย เพราะพื้นที่ห้องโถงกลางของเรือนชุนฟานกว้างขวาง มีเสาหลายต้น กลอนคู่บทโคลงคู่ก็ยิ่งมีมากกว่า และคนหนุ่มผู้นั้นก็แหงนหน้าชื่นชมตัวอักษรในแผ่นป้ายคำโคลงพวกนั้นอยู่ตลอดเวลา
เทพเซียนผู้เฒ่าห้าขอบเขตบนจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างอู๋ฉิว ถังเฟยเฉียนก็ยิ่งสังเกตพิจารณาคนหนุ่มที่จู่ๆ ก็โผล่มาผู้นี้อย่างละเอียด เพียงแต่ว่าพอมองตื้นลึกของอีกฝ่ายออกคร่าวๆ แล้วก็ให้รู้สึกมึนงงไม่เข้าใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างจริงๆ ในใจเริ่มมีความคิดบางอย่าง จึงกลายเป็นว่ามองคนหนุ่มที่มีรูปโฉมอ่อนเยาว์ผู้นั้นเป็นเซียนกระบี่ที่เชี่ยวชาญด้านการอำพรางภาพบรรยากาศเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย
โต๊ะสี่เซียนที่อยู่ด้านล่างกรอบป้าย เก้าอี้สองตัวที่อยู่ข้างโต๊ะ เว้นว่างไว้ไม่มีคนนั่ง
แต่กลับมีแผ่นหยกชิ้นหนึ่งวางไว้บนโต๊ะสี่เซียน ดูจากตำแหน่งของแผ่นหยกที่วางเอาไว้ค่อนข้างใกล้กับฝั่งของผู้ดูแลเรือจากใต้หล้าไพศาล
ไม่เพียงแค่อู๋ฉิวเท่านั้น แทบทุกคนต่างก็เริ่มมีการคาดเดา หรือว่าสองตำแหน่งนี้จะเป็นหานไหวจื่อผู้ฝึกกระบี่เซียนเหรินของสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่ได้นั่งตัวหนึ่ง จากนั้นคนสุดท้ายก็คือเซียนกระบี่ใหญ่ที่เชิญให้มาช่วยหนุนหลัง อย่างเช่นน่าหลันเซาเหว่ย? หรืออาจเป็นหนึ่งในเจ้าประมุขสามแซ่อย่างต่ง เฉิน ฉีที่ลำดับเป็นรองยิ่งกว่า? คงไม่ถึงขั้นเอาเซียนกระบี่มากมายขนาดนี้มาช่วยหนุนหลังให้ในรวดเดียวหรอกกระมัง?
น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้หากคิดจะได้ข่าวจากทางกำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นเรื่องยากเกินไป
อีกทั้งไม่ว่าใครก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือทำเรื่องนี้โดยพลการ
ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ที่พูดง่ายอย่างซุนจวี้เฉวียนก็ยังปิดประตูไม่ต้อนรับแขกนานแล้ว ภายหลังก็ยิ่งตรงไปที่หัวกำแพงเมือง ทุกคนที่อยู่ในจวนหากไม่ติดตามเซียนกระบี่ท่านนี้ไปที่หัวกำแพงเมืองก็เก็บตัวเงียบไม่ออกไปไหน เคยมีคนรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ จากนั้นก็แอบออกจากจวนมา ไม่นานเท่าไรก็ตายไป
ดังนั้นข่าวที่ตอนนี้แพร่สะพัดอยู่ในภูเขาห้อยหัวจึงมีแค่ข่าวที่ทางกำแพงเมืองปราณกระบี่คิดว่าไม่จำเป็นต้องปิดบัง
เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อย เซียนกระบี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็นั่งประจำที่กันนานแล้ว
เซียนกระบี่ที่แตกต่างย่อมมีนิสัยที่แตกต่าง ท่านั่งแตกต่าง กลิ่นอายแตกต่าง
ต่อให้เป็นอู๋ฉิวก็ยังสัมผัสได้ถึงความกดดันที่ชวนให้หายใจไม่ออก
โดยไม่ทันรู้ตัว พวกเขาแต่ละคนก็มานั่งคุมเชิงกับเซียนกระบี่สิบกว่าท่านที่นั่งเรียงอยู่ฝั่งตรงข้าม
ประเด็นสำคัญคือเซียนกระบี่บางท่านที่เห็นได้ชัดว่ามาจากใต้หล้าไพศาล ทว่าคืนนี้แต่ละคนกลับภาคภูมิใจที่ตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เว้นจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและอุตรกุรุทวีปแล้ว ผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจบนเรือข้ามฟากของอีกหกทวีปที่เหลือ ก่อนหน้านี้เมื่อได้เจอกับเซียนกระบี่จากบ้านเกิดตัวเองที่ออกมารับรองแขก อันที่จริงพวกเขาต่างก็รู้สึกทรมานกันมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงที่นี่จะยิ่งทรมานเข้าไปอีก
เพราะถึงอย่างไรตัวแทนสิบกว่าคนของเรือข้ามทวีปใหญ่ทั้งหมด ต่อให้เคยเห็นคลื่นลมมรสุมมามากแค่ไหน แต่ใครเล่าจะเคยผ่านสถานการณ์เช่นนี้กับตัวเองมาก่อน?
เซียนกระบี่แต่ละคนล้วนทำตัวเป็นคนใบ้กันไปหมด
ต้องรู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วมีเพียงช่วงเวลาก่อนหน้าที่เซียนกระบี่จะตัดสินเป็นตายกับคนอื่นเท่านั้นถึงจะเกิดขึ้นได้
ในเมื่อจะใช้กระบี่บินตัดหัวคน ยังจำเป็นต้องพูดอะไรกับคนตายอีกเล่า?
ในห้องโถงกลาง
เจ้าของเรือนชุนฟานอย่างเซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนนั่งติดกับประตูใหญ่ ไม่เอ่ยคำใด อันที่จริงตำแหน่งของเขาก็บอกให้รู้แล้วว่าเขาย่อมไม่ใช่คนที่จะเปิดปากพูดเป็นคนแรกในคืนนี้อย่างแน่นอน
เยี่ยนหมิงและน่าหลันไฉ่ฮ่วนก็ไม่มีท่าทีว่าจะเปิดปากสักนิด
เซียนกระบี่ทุกคนต่างเงียบงัน
หมี่อวี้ เว่ยจิ้น ซุนจวี้เฉวียน เกาขุย หยวนชิงสู่ เซี่ยซงฮวา ผูเหอ ซ่งพิ่น เซี่ยจื้อ ลี่ไฉ่ เส้าอวิ๋นเหยียน
และยังมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดอีกสองท่านอย่างเยี่ยนหมิง น่าหลันไฉ่ฮ่วน
ผู้ดูแลเฒ่าบางคนที่ยิ่งแก่ก็ยิ่งขี้ขลาดเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาจากหน้าผากแล้ว
คงจะไม่ได้ถูกซ้อมจนเละเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งหรอกกระมัง?
มีผู้ดูแลบางคนแอบชำเลืองตามองตำแหน่งประธานสองตัวที่ยังว่างเปล่าอยู่อย่างระมัดระวัง
แล้วก็มีผู้ดูแลที่มองประเมินคนหนุ่มซึ่งยืนอยู่ข้างเสาต้นใหญ่ที่ห่างไปไกลด้วย
คนหนุ่มผู้นั้นดันหันมาสบตาเขาพอดี ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ ให้ผู้ดูแลคนนี้
ผู้ดูแลเฒ่ายิ้มอย่างฝืดฝืน สีหน้าแข็งทื่อไปเล็กน้อย
คนหนุ่มไม่พูดก็ยังไม่เท่าไร แต่พอเปิดปากกลับเหมือนเอาภูเขาทุ่มลงใส่ทะเลสาบ ก่อให้เกิดลูกคลื่นโถมตัวน่าตะลึง
เขาก้าวเดินอย่างไม่รีบไม่ร้อน ระหว่างที่เดินมายังตำแหน่งประธานก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “ในเมื่อมาถึงกันครบแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เริ่มคุยธุระกันเถิด”
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ พวกเซียนกระบี่ที่เดิมยังมีท่าทีเกียจคร้านก็เริ่มยืดเอวนั่งหลังตรง
พอเขาเดินไปยังตำแหน่งประธานที่อยู่ทางฝั่งขวามือของโต๊ะสี่เซียน
หมี่อวี้เป็นคนแรกที่ลุกขึ้นยืน
เซียนกระบี่อีกสิบเอ็ดท่าน ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดสองท่านก็ลุกขึ้นแทบจะเวลาเดียวกัน
ทำเอาพวกคนสิบกว่าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตกใจรีบลุกขึ้นอย่างพร้อมเพียงกัน บางคนที่ลุกช้ากว่าคนอื่นไปเสี้ยวหนึ่งยังถึงขั้นนึกอยากจะตบบ้องหูตัวเองแรงๆ สักสองที
แต่ละคนไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ ยังคงรู้สึกเหมือนตกลงไปท่ามกลางเมฆหมอก แต่ก็มิอาจสกัดขวางมาดที่ทำให้คนตกใจตายแล้วยังไม่ชดใช้ของเซียนกระบี่ฝั่งตรงข้ามได้
หลังจากที่คนหนุ่มนั่งลง เซียนกระบี่ทุกคนถึงได้นั่งกลับลงไป
คนหนุ่มยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาเคาะโต๊ะเบาๆ แผ่นหยกแผ่นนั้นพลิกกลับด้านแล้วร่วงลงสู่ผิวโต๊ะอีกครั้ง เผยให้เห็นอักษรโบราณสองคำว่า ‘อิ่นกวาน’
ในห้องโถงใหญ่เงียบสงัดจนถึงขั้นหากเข็มตกก็คงได้ยินกันทั่ว
คนทำการค้าทุกคนที่มาเยือนภูเขาห้อยหัวเพื่อแสวงหาความร่ำรวยต่างก็มองผ่านแผ่นหยกนั้นไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นทุกคนก็กลั้นหายใจทำสมาธิ รู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
คนหนุ่มที่ในที่สุดก็เปิดเผยฐานะตัวเองคนนั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอแนะนำตัวสักหน่อย ข้าชื่อว่าเฉินผิงอัน คือใต้เท้าอิ่นกวานคนใหม่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่”