ชั่วขณะนั้นในห้องก็มีแต่เสียงเปิดหน้าหนังสือ เจ้าของเรือแต่ละลำย่อมเชี่ยวชาญด้านคิดบัญชีการค้าอยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรก็เป็นความถนัด เป็นความสามารถประจำตัวของพวกเขา
พอได้รับเจตจำนงจากใต้เท้าอิ่นกวาน เซียนกระบี่จึงจากไปกันเกินครึ่ง
ลี่ไฉ่ ขู่เซี่ย หยวนชิงสู่ เซี่ยจื้อ ซ่งพิ่น ผูเหอต่างก็กลับไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่กันแล้ว
หมี่อวี้ เกาขุยกลับยังอยู่ต่อ
เส้าอวิ๋นเหยียนยังคงนั่งอยู่ตรงหน้าประตู เซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ เมื่ออยู่ในเขตอิทธิพลบ้านตัวเอง คนที่ยอมทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลเช่นนี้กลับมีให้เห็นไม่บ่อยนัก
เซี่ยซ่งฮวายังต้อง ‘คุ้มกัน’ เรือข้ามฟากลำหนึ่งของธวัลทวีปให้ออกไปจากภูเขาห้อยหัวด้วยตัวเอง แน่นอนว่าย่อมไม่ออกไปจากเรือนชุนฟานทั้งอย่างนี้
คำพูดของเซียนกระบี่ท่านหนึ่งจะเอาไว้แค่ข่มขู่คนอย่างเดียวได้อย่างไร?
เยี่ยนหมิงและน่าหลันไฉ่ฮ่วนแน่นอนว่ายังจำเป็นต้องอยู่ต่อ ในอนาคตการไปมาหาสู่กับเหล่าพ่อค้าอย่างเป็นรูปธรรมย่อมต้องการให้ทั้งสองท่านนี้ร่วมมือกับเส้าอวิ๋นเหยียน คอยทำการค้าสอดประสานกับเรือข้ามฟากของแปดทวีปที่เรือนชุนฟานแห่งนี้
การค้าที่เรือนชุนฟานในคืนนี้นับว่าไม่เล็กเลยจริงๆ
อาณาเขตแปดทวีปของใต้หล้าไพศาล ราชวงศ์ สำนักบนภูเขาและตระกูลเซียนชนชั้นสูงน้อยใหญ่หลายร้อยแห่ง ในอนาคตต่างก็ต้องมีความเคลื่อนไหวเพราะบทสนทนาในค่ำคืนนี้
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนตำแหน่งประธานตลอดเวลา คอยดื่มเหล้าที่หมี่อวี้มอบให้ ไม่เอ่ยเร่งรัดเจ้าของเรือลำใด
มือหนึ่งถือกาเหล้า อีกมือหนึ่งกำเป็นหมัดเบาๆ แล้วก็คลายออก
บางทีในห้องนี้คนที่เกลียดแค้นเฉินผิงอันมากที่สุดอาจจะเป็นน่าหลันไฉ่ฮ่วน
และการที่เกาขุยยังอยู่ต่อก็เพียงแค่เพราะเรื่องเดียว สังหารน่าหลันไฉ่ฮ่วน!
เกลียดแค้นมากนัก แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ส่วนใหญ่แล้วสาเหตุมักเป็นเพราะมีความหวาดกลัวมากกว่าความเกลียด
ความหวาดกลัวที่เพิ่มพูนขึ้นของน่าหลันไฉ่ฮ่วนเกิดขึ้นเพราะถ้อยคำในใจที่อิ่นกวานหนุ่มเอ่ยกับนาง “คนนอกพวกนี้ข้ายังสามารถจูงจมูกให้พวกเขาทำการค้าด้วยได้ แค่คนกันเองที่ในมือกุมอำนาจแท้จริงคนหนึ่ง ข้าจะอดทนไม่ได้เลยหรือ? ไม่มีเหตุผลเช่นนี้หรอก น่าหลันไฉ่ฮ่วน ข้ารับรองกับเจ้าเลยว่า ไม่มีทางทำให้กำลังทรัพย์ของตระกูลน่าหลันต้องเสียเปรียบมากนัก หากโชคดียังจะได้กำไรอีกด้วย เพียงแต่เรื่องของโชคชะตานั้น ข้ากลับรับรองอะไรไม่ได้แล้ว”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนเองก็กล้ารับรองเรื่องบางอย่าง นางคิดว่าตัวเองควรจะพูดคุยกับอิ่นกวานหนุ่มอย่างจริงใจแบบแท้จริงแล้ว
เพียงแต่ว่ามันไม่เพียงแต่ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์จนตรอกของนางในเวลานี้ได้ กลับกลายเป็นทำให้นางต้องเจอกับความหวาดกลัวที่ใหญ่หลวงที่สุด เกาขุยยังคงไม่ออกไปจากเรือนชุนฟาน ยังคงนั่งดื่มเหล้าเงียบๆ อยู่ห่างไปไม่ไกล เหล้าที่เขาดื่มไม่ใช่เหล้าหมักตระกูลเซียนของเรือนชุนฟาน แต่เป็นเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่
น่าหลันไฉ่ฮ่วนสงบจิตใจแล้วเริ่มคิดวิเคราะห์รายละเอียดทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบของการพูดคุยธุระในค่ำคืนนี้ พยายามที่จะทำความเข้าใจคนหนุ่มให้มากขึ้น
ก่อนหน้านี้นางไม่เคยพูดคุยสมาคมกับเฉินผิงอันหรือเถ้าแก่รองผู้นี้อย่างแท้จริงมาก่อน เพียงแต่ว่าพอเขากลายเป็นใต้เท้าอิ่นกวาน ทั้งสองฝ่ายถึงได้คุยธุระกันครั้งหนึ่ง ซึ่งการคุยครั้งนั้นก็ไม่ชวนให้เบิกบานใจสักเท่าไร
น่าหลันไฉ่ฮ่วนคิดถึงประโยคสุดท้ายของอิ่นกวานหนุ่มที่เหมือนคำพูดสรุปแบบตอกปิดฝาโลงขึ้นมาได้
การเอาจริงเอาจังกับการตีความตัวอักษรของบัณฑิต ช่างน่ากลัวจริงๆ
ตามความเคยชินของใต้หล้าไพศาล เดิมทีควรเป็น ‘ใช้ความรู้สึกทำให้ซาบซึ้งใจ ใช้เหตุผลทำให้เข้าใจ’ แต่ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันกลับพูดว่า ‘ใช้เหตุผลทำให้เข้าใจ ใช้ความรู้สึกทำให้ซาบซึ้งใจ’
ความรู้สึก ก็คือความสัมพันธ์ควันธูป คือสิ่งที่คนทำการค้าเรือข้ามฟากของเก้าทวีปล้วนลืมเลือนกันไปแล้ว กลับเป็นกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ยังคงจดจำไม่เคยลืม
เหตุผล ก็ยิ่งเรียบง่าย คือเซียนกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ใช้กระบี่บินตัดหัวคน
หลังจากนั้นถึงจะเป็นการใช้ทรัพย์สินเงินทองมาทำให้คนหวั่นไหวซึ่งเป็นวิธีการธรรมดาสามัญและหน้าเลือดที่สุด ทุกคนนั่งลงคุยกัน ต่างก็พูดจากันดีๆ ทำการค้าร่วมกันดีๆ
เพียงแต่ว่าอันที่จริงการข่มขู่ที่อำมหิตที่สุดของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ ไม่ใช่การที่เซียนกระบี่ตั้งท่าว่าอาจสังหารคนได้ทุกเมื่อ แต่เป็นการตัดขาดที่พุ่งตรงไปยังผลประโยชน์ของตัวเจ้าของเรือบางคน
หากไม่พูดถึงน้ำใจ กฎเกณฑ์การซื้อขายหรือกิจการของสำนักใดๆ ก็ตาม เฉินผิงอันเลือกที่จะจับคู่เข่นฆ่ากับคู่ต่อสู้โดยตรง ยกตัวอย่างเช่นการที่เขายกเรื่องจวนสวนตัวในแถบภูเขาตี่ลี่แห่งอุตรกุรุทวีปของอู๋ฉิว ถังเฟยเฉียน รวมไปถึงชื่อเสียงของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนทั้งสองท่านนี้มาพูดขู่
ทำให้อยู่ไม่สู้ตาย
แน่นอนว่าก็ยังมีชีวิตของเจียงเกาไถแห่ง ‘หนันจี’ และหลิ่วเซินผู้ดูแลเรือข้ามทวีป ‘หนีซาง’
บอกว่าให้ตายก็ต้องตาย
อย่ามาคุยเรื่องรากฐานสำนัก หรือคุยเรื่องโรคร้ายซ่อนแฝงที่เกิดขึ้นหลังจากพลิกโต๊ะไม่ทำการค้าอะไรพวกนั้นกับข้า ขอแค่ใครก็ตามที่ลุกขึ้นจากที่นั่ง ถ้าอย่างนั้นคนที่ต่อจากนี้กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่จะเป็นปฏิปักษ์ด้วย จะวางยาให้ถูกโรคของพวกเจ้า ก็มีเพียงใครบางคนที่อยู่ตรงหน้าอิ่นกวานหนุ่มเท่านั้น
คุยเรื่องพวกนี้กับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ลูกศิษย์ผู้สืบทอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหลานชนชั้นสูงที่ทระนงตนของใต้หล้าไพศาล บางทีอาจไม่เพียงแต่คุยกันไม่รู้เรื่อง กลับจะยังแตกหักกันอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย
แต่การพูดคุยเรื่องนี้กับพ่อค้าที่ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนเต็มตัวมานานแล้วเหล่านี้ กลับได้ผลที่สุด
เส้นแบ่งที่แท้จริง แน่นอนว่ายังคงเป็นสมุดทั้งหลายที่หมี่อวี้เอาออกมา
หากไม่มีของพวกนี้ ต่อให้เฉินผิงอันจะวางแผนร้อยพันตลบ รอกระทั่งเจ้าของเรือหลายสิบคนออกไปจากเรือนชุนฟานและภูเขาห้อยหัว นอกจากเฉินผิงอันจะทำให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องถูกคนเคียดแค้นเปล่าๆ แล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ อีก บางทีเขาอาจจะยังเป็นอิ่นกวานต่อไปได้ แต่อำนาจทางการเงินของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับต้องตกมาที่มือของนางและเยี่ยนหมิงอีกครั้ง
สีหน้าของน่าหลันไฉ่ฮ่วนกลับคืนมามีสีสันได้หลายส่วน ในที่สุดก็รู้แล้วว่าควรจะอยู่ร่วมกับอิ่นกวานหนุ่มอย่างไร
หากพูดถึงแค่รูปโฉมบุคลิกภาพ น่าหลันไฉ่ฮ่วนก็คือสาวงามคนหนึ่งอย่างแท้จริง
ดังนั้นหมี่อวี้จึงหันมามองนางแวบหนึ่ง
แล้วหมี่อวี้ก็ส่ายหน้า สายตาฉายแววเวทนาระคนดูแคลน ไม่มองน่าหลันไฉ่ฮ่วนอีก เพียงหลับตาทำสมาธิต่อไป
หากจะบอกว่าน่าหลันไฉ่ฮ่วนเป็นสตรีที่อาศัยแค่รูปโฉมก็สามารถทำให้บุรุษหวั่นไหวได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นหมี่อวี้ก็คือบุรุษที่ลำพังแค่เนื้อหนังมังสาภายนอกก็ทำให้สตรีสบายตาสบายใจได้เช่นกัน
สตรีก่อกำเนิดที่ในใจเคียดแค้นและทุกข์ทนขมขื่นอย่างถึงที่สุดเห็นภาพนี้เข้า ‘โดยบังเอิญ’ พยับหมอกในใจก็ลดหายไปได้หลายส่วน
หลังจากบุรุษใจดำที่ควรจะถูกมีดแร่เนื้อเถือหนังเป็นพันเป็นหมื่นครั้งผู้นี้เอ่ยประโยคระยำที่สมควรถูกฟ้าผ่านั่นออกมาแล้วก็ไม่ได้มองนางอีกเลย ส่วนใหญ่สายตาล้วนไล่ไปตามเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม และทุกครั้งก็จงใจมองข้ามนางไป
หากในใจของหมี่อวี้ไม่มีนางอยู่ เขาจะจงใจทำเช่นนี้หรือ?
แล้วนับประสาอะไรกับที่ปีนั้นน่าหลันไฉ่ฮ่วนก็เคยทุ่มเทใจให้หมี่อวี้ แต่นางเองก็ไม่อาจได้เป็นศาลาใกล้น้ำที่ได้ยลจันทร์ก่อน กลายเป็นคู่รักเทพเซียนแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ร่วมกับเขาเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
พอคิดอย่างนี้ สตรีผู้นั้นก็รู้สึกว่าตนเหนือกว่าน่าหลันไฉ่ฮ่วนไประดับหนึ่ง
พอมองหมี่อวี้อีกครั้ง สีหน้าเคร่งขรึมระคนเปลี่ยวเหงา เขาหันหน้ามองไปยังทัศนียภาพงดงามของหิมะใหญ่ที่อยู่นอกประตู เหม่อลอยไร้คำพูด
เมื่อเทียบกับความสง่างามที่แสร้งทำยามที่เอาเหล้าไปส่งให้อิ่นกวานหนุ่มดั่งสุนัขรับใช้ของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้แล้ว ก็ราวกับคนละคนกันเลย
อยู่ดีๆ นางก็พลันรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจ ตอนนี้เป็นถึงเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนแล้ว หมี่อวี้เจ้ายังอยู่บ้านเกิดตัวเองด้วยนะ ยังต้องทนรับความไม่เป็นธรรมแบบนี้อีกหรือ
แม้ว่าคนอย่างหมี่อวี้ผู้นี้จะสมควรตายจริงๆ
แต่นางก็ยังคงชอบเขาอยู่ดี
และทั้งสองเรื่องนี้นางก็มิอาจตัดสินใจได้เอง ช่างน่าจนใจยิ่งนัก
เฉินผิงอันเท้าคางด้วยมือข้างเดียวอยู่ตลอดเวลา จ้องมองเบาะแสต่างๆ ที่ปรากฏออกมาจากสีหน้าอาการสารพัดอย่างของทุกคนอยู่ตลอดเช่นนี้ หลังจากสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่กะน้ำหนักแรงไฟได้อย่างดีเยี่ยมของหมี่อวี้แล้ว เขาก็อดนับถืออีกฝ่ายไม่ได้ คนที่ลุ่มหลงในรักก็ได้แต่ใช้ความลุ่มหลงมาทำให้ประทับใจ บุรุษใจดำที่มีพรสวรรค์น่าตะลึงอย่างหมี่อวี้นี้ หากการฝึกตนฝึกแค่ด้านความรักของชายหญิง เซียนกระบี่ใหญ่หมี่อวี้ของพวกเราท่านนี้ก็น่าจะอยู่ในมาตรฐานของขอบเขตบินทะยานแล้ว เทียบกับเจียงซ่างเจินแล้วก็พอจะประลองฝีมือวัดระดับสูงต่ำกันได้
เฉินผิงอันคิดว่าจะหาโอกาสช่วยระบายความแค้นให้กับสตรีที่ลุ่มหลงในรักผู้นี้ด้วยการซ้อมหมี่อวี้สักรอบ เอาเป็นโอกาสแบบที่ว่าเซียนกระบี่ยังเอาคืนเขาไม่ได้ด้วย
เซี่ยซงฮวากลัดกลุ้มเล็กน้อย นางอยากลองนั่ง ‘หนันจี’ ของเจียงเกาไถดู แต่เรือ ‘ไท่เกิง’ ของไต้เฮาก็ไม่อยากพลาดไปเหมือนกัน สายตาของเซียนกระบี่หญิงท่านนี้จึงเคลื่อนย้ายไปไม่หยุดนิ่ง ปณิธานกระบี่ที่อยู่ในกล่องไม้ไผ่ด้านหลังชักนำริ้วคลื่นให้เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดพัก เรื่องราวในเรือนชุนฟานยุติลงแล้ว แต่ตอนนี้นางกลับมีบุญคุณความแค้นส่วนตัวเพิ่มมาอีกหลายเรื่อง เรื่องนี้ไม่จบกันง่ายๆ แน่! เจ้าพวกคนของธวัลทวีปกลุ่มนี้ ไม่เพียงแต่เป็นคนแรกที่ลุกขึ้นมาพูดจา ถึงท้ายที่สุดยังดูเหมือนว่าคนที่อยากตายจะเป็นคนของธวัลทวีปที่มีมากที่สุดด้วย นี่เท่ากับตบหน้านางสองครั้งแล้ว ดูเว่ยจิ้นกับหยวนชิงสู่สิ แล้วก็ลองหันไปมองผู้ฝึกตนจากแจกันสมบัติทวีปและทักษินาตยทวีปที่อยู่ตรงข้ามพวกเขา แต่ละคนต่างก็ไว้หน้าสองคนนี้มากเลยไม่ใช่หรือ?
ทำไม เหล่าเหนียง (เป็นคำเรียกแทนตัวของผู้หญิง หากเป็นผู้ชายก็ใช้คำว่าเหล่าจื่อหรือข้าผู้อาวุโส ซึ่งคำว่าเหล่าจื่อ เหล่าเหนียงนี้หากผู้พูดมีอารมณ์ มีโทสะก็เทียบเท่ากับคำว่า กู ในภาษาไทย) เป็นสตรีแล้วไม่ใช่เซียนกระบี่รึ?!
ไต้เฮาอกสั่นขวัญผวา จำต้องเป็นฝ่ายเปิดปากใช้เสียงในใจสอบถามคนหนุ่มที่ดื่มเหล้าช้าๆ ผู้นั้นอย่างระมัดระวังว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ทางฝั่งของเซียนกระบี่เซี่ยนี้…?”
ไต้เฮาไม่กล้าเงยหน้ามองคนที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานด้วยซ้ำ มารยาทไม่มารยาทอะไร เขาที่จนตรอกไม่มีเวลามาสนใจแล้ว ไม่อย่างนั้นหากเขาเงยหน้าเซียนกระบี่ที่น่ากลัวอย่างเซี่ยซงฮวาที่แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบเผ่าปีศาจก็ฆ่าได้ง่ายๆ จะไม่ค้นพบเบาะแสเอาหรอกหรือ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ยังจำครั้งแรกในคืนนี้ที่ได้พบเซียนกระบี่เซี่ยได้หรือไม่ ตอนนั้นนางพูดอะไรกับคนบ้านเดียวกันอย่างพวกเจ้า เจ้าลองย้อนนึกความทรงจำดูให้ดี”
ในบรรดาเรือข้ามฟากทุกลำของธวัลทวีป ใครที่ขาดเงินมากที่สุด นางเซี่ยซงฮวาก็จะเป็นคุ้มกันเรือลำนั้นด้วยตัวเอง หากคุ้มกันได้ไม่ดีพอ ก็สามารถมาตำหนินางได้
ไต้เฮาผ่อนลมหายใจโล่งอก “ขอบคุณใต้เท้าอิ่นกวานที่ช่วยเตือน”
เว่ยจิ้นเลือกที่จะออกไปจากที่นี่คนสุดท้ายเพียงลำพัง ไม่ได้ไปพร้อมกับพวกลี่ไฉ่คล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่ได้เจตนา
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปส่งเซียนกระบี่เว่ยก่อน หมี่อวี้ เจ้ารับผิดชอบคอยไขข้อข้องใจให้แขกทั้งหลาย เรื่องไหนคุยรู้เรื่อง เรื่องไหนคุยไม่รู้เรื่องก็จดบันทึกเอาไว้ก่อน ข้ายังคงย้ำถ้อยคำที่มีมโนธรรมประโยคนั้น เมื่อนั่งลงแล้ว ทุกคนล้วนเป็นคนทำการค้า เข้าเมืองตาหลิ่ว ได้เงินมากหรือน้อย ล้วนอาศัยวิชาความสามารถของตัวเอง ข้าเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ในห้องโถงใหญ่ของเรือนชุนฟานวันนี้ กฎของการหาเงินมีแต่จะใหญ่ยิ่งกว่ายศอิ่นกวาน”
เฉินผิงอันมองไปยังหลิ่วเซินเจ้าของเรือข้ามฟาก ‘หนีซาง’ แล้วถึงมองไปยังหลิวอวี่ของเรือ ‘ฝูจง’ หลังจากเรียกชื่อพวกเขาแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “รบกวนเจ้าของเรือทั้งสองท่านช่วยบันทึกเนื้อหาการพูดคุยกันของทั้งสองฝ่ายให้ด้วย”