กระโจมเจี่ยเซิน มู่จีที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่แต่กลับผู้นำของทุกคน
เป้ยเชี่ยลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของหลิวชา หลีเจินลูกศิษย์คนสุดท้ายของภูเขาทัวเยว่ อวี่ซื่อ จวินทาน หลิวป๋ายผู้ฝึกกระบี่หญิง
คนทั้งกลุ่มมาปรากฏตัวอยู่ทางด้านทิศใต้สุดของสนามรบที่ทั้งสองฝ่ายถามกระบี่กัน อวี่ซื่อนั่งยองอยู่บนพื้น สองนิ้วขยุ้มดินกำเล็กๆ ขึ้นมา บดขยี้เบาๆ พวกมันก็กลายเป็นผุยผง เขาปัดมือ ลุกขึ้นเอ่ยว่า “ปณิธานกระบี่ของทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกผลัดกันถอย สลับเปลี่ยนระดับขั้นกันไปมา ไม่ต่างจากที่คาดการณ์ไว้สักเท่าไร ก็เหลือแค่เรื่องดีๆ น้อยนิดเท่านี้แล้ว”
หลิวป๋ายขมวดคิ้ว “เหตุใดทั้งๆ ที่เป็นหลุมพราง แต่ก็ยังจะกระโดดลงไปให้จงได้ อีกอย่างก็ไม่ใช่แค่กระโจมเจี่ยเซินของพวกเราเท่านั้นที่รู้สึกว่าไม่เหมาะ แต่กระโจมแม่ทัพเจื่อจื่อก็ยังไม่สนใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน? ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินของฝ่ายพวกเราเข้าใจดีว่าถูกเล่นงาน มีคนรบตายไปกี่คนแล้ว? เอาแค่เมื่อวานก็เก้าคนเข้าไปแล้วกระมัง ต่อจากนี้ยังจะต้องมอบคุณความชอบทางการรบให้กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกมากเท่าไร? นี่คือการทำสงคราม มีสงครามที่ไหนที่ต่อให้ตายก็ยังต้องรักษาเกียรติ แต่กลับให้คนมีชีวิตอยู่ต้องเผชิญทุกข์! มู่จี นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เจ้ากลับมาถึงก็ไม่ยินดีจะพูดอะไรสักคำ หากว่าได้รับความไม่เป็นธรรมมาจากที่นั่นจริง ข้า หลีเจิน เป้ยเชี่ยล้วนสามารถพูดคุยกับอาจารย์ของตัวเองได้”
นางคือหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของโจวมี่ ติดตามอาจารย์ที่ถูกขนานนามว่า ‘มหาสมุทรแห่งความรู้’ ท่านนั้นศึกษาอ่านตำราพิชัยสงคราม จึงเคยชินกับการคิดเล็กคิดน้อยในทุกเรื่อง เชื่อมโยงให้ทุกเรื่องร้อยเรียงต่อกันมานานแล้ว
อวี่ซื่อเองก็เอ่ยว่า “มู่จี อย่าเก็บไว้ในใจคนเดียว อยู่กับพวกเรา ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้”
มู่จีกล่าว “ทางฝั่งของกระโจมเจี่ยจื่อเองก็ไม่ได้บอกสาเหตุที่เป็นรูปธรรม บอกเพียงแค่ว่าเมื่อผ่านการถามกระบี่ไปแล้ว ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายที่ต้องทำความดีลบล้างความผิดซึ่งรวมถึงหย่างจื่อ หวงหลวน จะต้องหิ้วหัวเซียนกระบี่กลับมาจากการดักฆ่าด้านหลัง โยนไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เพื่อมอบของขวัญกลับคืนให้หลังการถามกระบี่ให้จงได้”
หลิวป๋ายเอ่ยอย่างเดือดดาล “คืนของขวัญอะไร?! หรือว่าหากผู้ฝึกกระบี่เซียนดินไม่ตายกันไปอย่างเสียเปล่าก็จะหาหัวของเซียนกระบี่ที่หลบซ่อนตัวพวกนั้นออกมาไม่ได้? นี่มันคนละเรื่องกันเลย!”
มู่จีเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ก็นั่นน่ะสิ ข้าเองก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอยู่ที่นี่ จะต้องมีผู้ฝึกกระบี่ฝ่ายเรามากมายขนาดนั้นตายอยู่ที่นี่ และดูเหมือนว่าจะต้องตายสถานเดียวด้วย”
จวิ้นทานยิ้มกล่าว “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะยังทำอย่างไรได้อีก อย่างมากพวกเราก็ได้แต่เบิกตากว้างคอยมองดูอยู่อย่างนี้นั่นแหละ”
บนสนามรบที่ห่างไปไกลเบื้องหน้า
มีเซียนกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเผยร่างจริงสูงร้อยจั้งยืนอยู่บนสนามรบเพียงลำพัง มือสองข้างถือกระบี่ เงื้อกระบี่ฟันฉับลงบนพื้น
ม่านฟ้าเหนือน้ำตกค่ายกลกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่พลันมีสายฟ้าสีแดงสดหลายร้อยเส้นแลบปลาบสาดพุ่งลงมา ประหนึ่งองค์เทพพิโรธจึงใช้แส้สายฟ้าในมือฟาดโบยใส่พื้นดินตามอารมณ์
เซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เองก็หาวิธีรับมือ ใช้ทะเลเมฆปราณกระบี่สกัดขวางสายฟ้าเอาไว้ ป้องกันไม่ให้มันร่วงลงบนค่ายกลกระบี่แล้วพวกผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางทั้งหลายจะต้องเจอกับหายนะ
มีเซียนกระบี่หญิงของฝ่ายพวกเขาคนหนึ่งที่เรือนกายแบบบาง ไม่ได้พกกระบี่ประจำกาย เพียงแต่ว่าชายแขนเสื้อใหญ่สะบัดหมุนคว้าง เหนือพื้นดินในรัศมีหลายร้อยลี้ก็มีปราณกระบี่มารวมตัวกัน แล้วกลายเป็นกระบี่บินนับพันนับร้อยเล่มที่พากันสาดยิงเข้าใส่ค่ายกลกระบี่อันโอฬารที่ราวกับร่วงลงมาจากฟ้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เยว่ชิงเซียนกระบี่ใหญ่ที่อยู่บนหัวกำแพงใช้กระจอกเมฆบนฟ้าหนึ่งในกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมาคุมเชิงกับอีกฝ่าย
ท่ามกลางศึกใหญ่สองครั้งอย่างกระแสธารสมบัติอาคมและการถามกระบี่ของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีผู้ฝึกตนหลายคนที่เดิมทีที่ไร้แซ่ไร้นามได้ลุกผงาดขึ้นมาเพราะโชคชะตานำพา
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนหนึ่งที่เดิมทีไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ เป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิต พอปล่อยกระบี่ออกไป เดิมทีได้แค่เป็นตัวช่วยเสริมให้ค่ายกลกระบี่ของฝ่ายตัวเองครบจำนวนเท่านั้น คิดไม่ถึงว่ากลับได้รับปณิธานกระบี่บรรพกาลสองเส้นจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกทั้งระดับขั้นยังสูงมากอีกด้วย เด็กหนุ่มถูกกำหนดมาแล้วว่าจะได้ใช้สิ่งนี้มาเลื่อนขั้นสู่อันดับร้อยเซียนกระบี่ ทรัพยากรจำนวนมากจะถูกทุ่มลงมาบนร่างเขา ไม่แน่ว่าเมื่อไปถึงใต้หล้าไพศาลอาจกลายเป็นเมล็ดพันธ์วิถีกระบี่ที่มีความหวังว่าจะเปิดสำนักตั้งพรรคก็เป็นได้
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง เดิมทีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขาถือเป็นซี่โครงไก่ แต่กลับได้สร้างคุณความชอบทางการสู้รบที่น่าเหลือเชื่อ เมื่อเซียนกระบี่สองท่านของฝ่ายศัตรูทยอยกันออกกระบี่อย่างเต็มกำลังสองครั้ง เขาไม่เพียงแต่ช่วยเหลือผู้ฝึกกระบี่เซียนดินสองคนเอาไว้ได้ ยังทำให้วิชาอภินิหารกระบี่บินของเซียนกระบี่ฝ่ายตรงข้ามไปกระแทกชนลงบนค่ายกลกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างน่าประหลาดใจ ลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง ทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ได้รับความเสียหายติดต่อกันถึงสองคนในชั่วพริบตา กระบี่บินของพวกผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ต่ำกว่าเซียนดินลงมาก็ยิ่งได้รับความเสียหายสาหัสกันไปแถบใหญ่ จำต้องถอนตัวออกจากสนามรบโดยตรง
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองท่านนี้ได้รับคำสั่งให้ถอยออกจากสนามรบทันที หลังจากนั้นก็ถูกผู้อาวุโสขอบเขตบินทะยานท่านหนึ่งร่ายเวทอำพรางตาไว้ให้ แล้วกลับลงไปในสนามรบใหม่อีกหลายครั้งเพื่อรับมือกับการโจมตีเต็มกำลังจากเซียนกระบี่ใหญ่ฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะ
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดผู้ฝึกกระบี่โอสถทองท่านหนึ่งถึงสามารถคาดเดาการออกกระบี่ของเซียนกระบี่ได้ นอกจากกระโจมเจี่ยจื่อที่รู้ความจริงแล้ว พวกกระโจมทัพทั้งหลายอย่างกระโจมเจี่ยเซินล้วนไม่มีสิทธิ์ถามมากเกินความจำเป็น
นอกจากนี้คู่รักผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดคู่หนึ่งก็ได้ทยอยกันเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนท่ามกลางศึกใหญ่
หากไม่มี ‘ดาวประดับที่แสงสว่างเจิดจ้า’ เหล่านี้ การถามกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่จากใต้หล้าเปลี่ยวร้างในครั้งนี้ก็คือเรื่องตลกดีๆ นั่นเอง
เพราะความเร็วในการเกิดความเสียหายของผู้ฝึกกระบี่จากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่กระโจมทัพทั้งหลายอนุมานกันเอาไว้ กลับช้าว่าที่คาดการณ์อยู่มาก
มู่จีเอ่ย “ทำสงคราม สิ่งที่เอามาต่อสู้กันก็มีแค่คนกับเงินเท่านั้น ความเสียหายของผู้ฝึกกระบี่ฝั่งตรงข้ามน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็แค่น้อย ใช่ว่าจะไม่มีคนตายเสียเลย ต่อจากนี้ก็ต้องดูกันที่ด้านเงินเทพเซียนแล้ว อันที่จริงนี่เป็นกุญแจสำคัญยิ่งกว่าผู้ฝึกกระบี่เสียอีก ทุกวันนี้ปราณวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่กำแพงเมืองปราณกระบี่ขาดๆ หายๆ ส่วนใหญ่เริ่มเกิดลางว่าจะแห้งขอดแล้ว ปราณวิญญาณบนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ขุ่นคลั่กขนาดนี้ ทั้งสองฝ่ายก็อย่าหวังว่าจะดูดดึงเอามาได้ แต่พวกเรากลับอาศัยวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ของผู้อาวุโสสองท่านชักนำเอาปราณวิญญาณสองขุมจากตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้มารวมตัวกัน ยิ่งใหญ่เหมือนมหานที และพวกมันก็กำลังพากันไหลซัดกรากมาที่นี่อย่างต่อเนื่อง ทว่าเบื้องหลังกำแพงแห่งนั้นมีอาณาเขตใหญ่แค่ไหนกันเชียว จะสามารถสั่งสมปราณวิญญาณได้มากน้อยแค่ไหน? ยิ่งสงครามล่วงเลยไปเรื่อยๆ จะสามารถประคับประคองให้เซียนกระบี่ได้ลงมืออย่างเต็มกำลังสักกี่ครั้ง? เกี่ยวกับเรื่องนี้ กระโจมทัพอี่อู้ได้คำนวณอย่างแม่นยำมาไว้ก่อนนานแล้ว ขอแค่ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้ก็แค่ตายช้าหน่อย และถึงเวลานั้นก็มีแต่จะยิ่งตายเร็วมาก ตายเยอะมาก”
อวี่ซื่อยิ้มกล่าว “ยังมีความเป็นไปได้สูงด้วยว่าจะทรมานตัวเองจนตาย ตายไปอย่างเงียบเชียบ ต่อให้เรียกกระบี่บินออกมาก็ยังเก็บเอาไปไม่ได้”
หลิวป๋ายพูดเสียงหนัก “แต่เงื่อนไขคือต้องไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน! กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องไม่มีต้นกำเนิดปราณวิญญาณนอกเหนือจากที่คาดการณ์ไว้! ทว่านับตั้งแต่ทำสงครามครั้งนี้มา เรื่องไม่คาดฝันสำหรับพวกเรามีน้อยนักหรือ?!”
มู่จีพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ลองคำนวณกันดูคร่าวๆ เรือข้ามฟากแปดทวีปของใต้หล้าไพศาล ไม่ต้องพูดถึงของอุตรกุรุทวีปที่มีความเป็นไปได้ว่าจะควักเอาทรัพยากรครึ่งหนึ่งของทวีปตัวเองออกมา โชคดีที่เรื่องแบบนี้ก็มีแค่อุตรกุรุทวีปเท่านั้นที่ทำได้ ใบถงทวีปไม่มีเรือข้ามฟาก อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุดก็คือทักษินาตยทวีปกับหรดีฝูเหยาทวีป เรือข้ามฟากของฝูเหยาทวีปมีถ้ำซานสุ่ยเป็นผู้นำ พวกเขามีความแค้นในอดีตต่อกัน ย่อมไม่มีทางพูดคุยกันด้วยดีเป็นแน่ ตอนนี้ไม่แน่ว่าอาจจะกำลังช่วยพวกเราอยู่ด้วยก็ได้ ส่วนนาตยทวีปก็ไม่ค่อยกล้าทำตัวพูดง่ายสักเท่าไร ต่อให้พวกเจ้าของเรือเสียสติยินดีจะช่วยเหลือกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างสุดกำลังความสามารถ ก็ยังต้องดูว่าภูเขาสำนักของพวกเขายอมตอบตกลงหรือไม่”
มู่จีเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็พลันหัวเราะ “ยังดีที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยถนัดด้านการคบค้าสมาคมกับใต้หล้าไพศาล”
หลิวป๋ายเคยชินกับการพูดจาขัดคอคนอื่นแล้ว “แต่ถ้าเกิดหนึ่งในหมื่นขึ้นมาล่ะ? ถ้าเกิดว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่มีคนที่สามารถพูดโน้มน้าวเรือข้ามทวีปของแปดทวีปให้ช่วยชดเชยทรัพยากรที่ขาดแคลนให้แก่กำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเต็มที่ได้ล่ะ?!”
จวิ้นทานแหงนหน้ามองไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วหัวเราะเสียงหยัน “อาศัยอะไรมาโน้มน้าวล่ะ? อาศัยหน้าตาของเซียนกระบี่? คนใจดีที่มีเงินก้อนใหญ่ให้คว้าแต่ไม่คว้ามาจะมาเป็นคนดูแลเรือข้ามทวีปได้อย่างไร จะทำการค้ากับภูเขาห้อยหัวได้อย่างไร? หรือจะอาศัยให้เซียนกระบี่มอบเงินเทพเซียนให้คนอื่นด้วยตัวเอง? บังเอิญยิ่งนัก อันที่จริงสิ่งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ขาดแคลนมากที่สุดก็คือเงินเทพเซียนที่ปราณวิญญาณบริสุทธิ์มากที่สุดนี่แหละ”
มู่จีแหงนหน้ามองไปยังหัวกำแพงเมืองแล้วเอ่ยว่า “หากมีโอกาสก็อยากจะพบคนผู้นั้นดูสักครั้ง จะนั่งทบทวนกระดานกับเขาบนหัวกำแพงเมืองนั่นแหละ”
หลีเจินเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูว่าเขาจะมีชีวิตอยู่รอดถึงวันนั้นหรือไม่”
ความคิดเปล่งวาบขึ้นมาในหัวของหลิวป๋าย นางจึงกำลังจะเปิดปากพูด
มู่จีคล้ายจะคาดเดาความคิดของนางได้ จึงส่ายหน้าเอ่ยว่า “เรื่องไม่คาดฝันแน่นอนว่าต้องใช้เรื่องไม่คาดฝันมาแก้ไข ทางฝั่งของภูเขาห้อยหัว ใครบางคนไม่มีทางนิ่งดูดายอยู่ตลอดหรอก”
……
หมี่อวี้ปั้นตุ๊กตาหิมะไปแล้วยังแอบเด็ดดอกไม้ใบไม้ในสวนมาทำเป็นชุดดอกไม้ให้แม่นางคนหิมะสวมใส่ สีสันและรูปแบบล้วนเหมือนการแต่งกายของนางเมื่อคราพบกันครั้งแรก
พอมาถึงห้องโถงใหญ่ก็เห็นอิ่นกวานหนุ่มกำลังนั่งยองบนพื้นมองโต๊ะสี่เซียน หมี่อวี้เดินข้ามธรณีประตูเข้ามา เอนตัวพิงโต๊ะเล็กตัวหนึ่ง ถามอย่างประหลาดใจว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน แท้จริงแล้วโต๊ะสี่เซียนตัวนี้คือสมบัติล้ำค่าที่ซ่อนกลไกเอาไว้อย่างนั้นหรือ? ก็เลยคิดจะย้ายไปที่คฤหาสน์หลบร้อน?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ออกไปเดินเล่นกัน”
หมี่อวี้ยืดตัวขึ้นตรง ชำเลืองตามองโต๊ะสี่เซียนซ้ำอีกที ดูแล้วไม่น่ามีราคาค่างวดอะไรเลยนี่นา
ในฐานะหนึ่งในสี่จวนส่วนตัวขนาดใหญ่ของภูเขาห้อยหัว เรือนชุนฟานมีอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างยิ่ง ระเบียงทางเดินสลับซับซ้อน ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า และยิ่งมีชื่อเสียงด้านภูเขาจำลองก้อนหินประหลาด น้ำตกน้ำพุไหลริน เข้าคู่กับดอกไม้ใบหญ้าที่ช่วยส่งเสริมกันและกันให้โดดเด่น เฉินผิงอันกับหมี่อวี้เดินไปบนเส้นทางหินเรียบก้อนใหญ่ ไอน้ำแผ่อบอวล ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น
หมี่อวี้ถาม “ใต้เท้าอิ่นกวาน ขอให้ข้าได้พูดจาไร้สาระอีกสักสองคำ ปิดชามข้าวของตัวเองเอาไว้แน่น แล้วค่อยไปแย่งกินข้าวในชามของคนอื่น รสชาติจะอร่อยมากเป็นพิเศษ แต่คนกลุ่มนั้นไม่ใช่คนปกติทั่วไป หากมอบแต่ผลประโยชน์ให้ พวกเขาก็ยังไม่มีความจำกันอยู่ดีนั่นแหละ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จะโทษที่ข้าระดมพลยิ่งใหญ่ เรียกเซียนกระบี่มากมายขนาดนั้นให้มาช่วยหนุนหลัง แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ฆ่าใครสักคนอย่างนั้นหรือ?”
หมี่อวี้เอ่ย “ข้าหรือจะกล้า”
เฉินผิงอันอธิบาย “เซียนกระบี่สิบเอ็ดท่านมาเยือนภูเขาห้อยหัว ปราณสังหารเข้มข้นขนาดนั้น คือเรื่องจริงมิใช่แสร้งทำ พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย เซียนกระบี่จำเป็นต้องแสร้งทำท่าว่าจะฆ่าคนด้วยหรือ? แต่ถึงท้ายที่สุดกลับยังไม่เคยออกกระบี่เลยสักครั้ง เจ้าเชื่อหรือ?”
หมี่อวี้ตอบ “ไม่เชื่อ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เพราะฉะนั้นพวกคนอย่างอู๋ฉิว ป๋ายซีก็ยิ่งไม่มีทางเชื่อ อย่าเห็นว่าภายหลังพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน พ่อค้าแต่ละคนคล้ายกับว่ากลับคืนมายังฟ้าดินเล็กๆ ที่มีสมุดบัญชีกับรางลูกคิดอีกครั้ง แต่แท้จริงแล้วยังคงกังวลเรื่องความเป็นความตายอยู่ รายละเอียดมากมายเจ้าจำเป็นต้องใคร่ครวญเองให้มากๆ แล้วเจ้าก็จะค้นพบความจริงที่ข้าเอ่ยถึง ไม่ใช่เอาแต่สนใจพวกเจ้าของเรือหญิงทั้งหลายว่าตรงไหนดูดี ตรงไหนมีตำหนิ”
หมี่อวี้รู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย
นี่เป็นความเคยชินตามธรรมชาติ แล้วก็ถือว่าเป็นฟ้าดินเล็กๆ ของเขาเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่คิดเยอะมากแผนการเท่าใต้เท้าอิ่นกวาน คู่ต่อสู้ของเขาหมี่อวี้มีเพียงสตรีที่หน้าตาดีบนโลกใบนี้เท่านั้น
เฉินผิงอันหยุดเดิน หันหน้ามองไปยังศาลาริมน้ำที่อยู่ห่างไปไม่ไกล “หากไม่ฆ่าหลายๆ คน อย่างเช่นอู๋ฉิวที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เจียงเกาไถที่ตบะแท้จริงแข็งแกร่งที่สุด และป๋ายซีที่ผูกปมแค้นกับกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด แม้แต่พวกที่ขอบเขตต่ำที่สุด ชาติกำเนิดไม่มีค่าพอให้พูดถึงมากที่สุด ก็ล้วนต้องฆ่าให้หมด ฆ่าจนอีกฝ่ายรู้สึกว่าคนกลุ่มน้อยที่ไม่มีทางตายมากที่สุดกลับตายหมดแล้ว นั่นต่างหากถึงจะบีบให้อีกฝ่ายจนมุม ไร้ทางให้ถอยหนี ทั้งสภาพการณ์และสภาพจิตใจล้วนเป็นเช่นนี้”
บนภูเขาจำลอง หินภูเขาตะปุ่มตะป่ำ ระหว่างรอยแตกของหินมีต้นสนขนาดเล็กเขียวขจีงอกออกมาหลายต้น
เฉินผิงอันนั่งลงบนขั้นบันได “หากสถานการณ์ยังไม่ไปถึงขั้นนั้น ถ้าอย่างนั้นก็อย่าฆ่าใครสักคน เหลือไว้ก่อน จะฆ่าใคร ให้พวกเขาคาดเดากันเอาเอง เจ้าคอยดูเถอะ ขอแค่แสดงท่าทีบอกเป็นนัยเล็กน้อยก็ย่อมต้องมีคนฉลาดที่ช่วยฆ่าคนแทนข้า แล้วยังจะเป็นฝ่ายบอกกับข้าอย่างเป็นนัยเองว่า ใครที่ตายไปแล้วไม่มีราคามากที่สุด ไม่จำเป็นต้องให้เยี่ยนหมิง น่าหลันไฉ่ฮ่วนจ่ายเงินชดเชย ถึงขั้นที่ว่ายังไม่จำเป็นต้องให้เซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียนไปเอ่ยขอขมาด้วยซ้ำ ในเมื่อรู้สึกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จะต้องฆ่าคนเพื่อสร้างบารมีอย่างแน่นอน ในเมื่อเรือข้ามทวีปต้องมีคนหลายคนตายไปเพื่อจะได้มีคำอธิบายต่อ ‘อิ่นกวาน’ และเซียนกระบี่ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นสหายตายข้าไม่ตาย”
เฉินผิงอันชี้ไปยังต้นสนที่คดงอเหมือนเป็นโรคเหล่านั้น “มีชีวิตอยู่รอดได้ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร แต่อยู่ที่นี่ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้เป็นอย่างดีเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
หมี่อวี้พลันกระจ่างแจ้ง ความอัดอั้นน้อยนิดที่มีอยู่ในใจพลันเหมือนฝุ่นควันที่จางหาย
แต่เฉินผิงอันกลับเอ่ยว่า “ฆ่าคนไม่ใช่เรื่องที่สนุก พูดถึงแค่ความรู้สึก เจ้าของเรือที่นั่งเรียงแถวกันอยู่ในห้องโถงใหญ่พวกนั้นก็ควรต้องฆ่าให้หมดถึงจะสาแก่ใจ แต่หากคิดคำนวณดูให้มาก เลือกออกมาแค่คนเดียว เจ้าคิดว่าใครสมควรตายมากที่สุ? ป๋ายซี? ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่บรรพบุรุษถ้ำซานสุ่ยผู้นั้น อู๋ฉิว? ทำไมถึงสมควรตายล่ะ? เจียงเกาไถ หากไม่เป็นเพราะถูกข้าตอแยหาเรื่อง อีกทั้งเขาเองก็อยากจะช่วยช่วงชิงผลประโยชน์ที่มากที่สุดมาให้ตัวเองและเรือข้ามทวีปอีกแปดลำ จำเป็นต้องถึงขั้นฆ่าแกงกันเลยหรือ?”
หมี่อวี้เงียบไปครู่หนึ่ง เขาที่นั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นมาเสียงทุ้มหนักว่า “ใช้เงินของคนตายก็ยิ่งไม่สนุก แต่ทุกคนก็ยังเล่นกันอย่างสะใจ เล่นอย่างอารมณ์ดีมากเลยไม่ใช่หรือ? หากเปลี่ยนข้ามาเป็นใต้เท้าอิ่นกวาน ป่านนี้คงลงมือไปนานแล้ว แน่นอนว่าผลลัพธ์จะต้องเลวร้ายอย่างมาก”
เฉินผิงอันเอ่ยปลอบใจหมี่อวี้อย่างที่หาได้ยาก “แน่นอนว่าเซียนกระบี่ควรทำเรื่องที่เซียนกระบี่สมควรทำ หากข้าจำไม่ผิด ตอนที่เจ้าอายุเท่าข้าก็เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้ว จากนั้นตอนอายุหกสิบสี่ก็เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด อายุหนึ่งร้อยเก้าสิบหกปีฝ่าคอขวดก่อกำเนิดไปได้ ในความเป็นจริงแล้ว คุณสมบัติของเจ้าท่ามกลางเซียนกระบี่มากมายไม่ถือว่ารั้งท้ายเลยจริงๆ กลับกันยังถือว่าเป็นลำดับต้นๆ ได้อีกด้วย คุณสมบัติที่ดีเยี่ยมช่วยรับรองได้ว่าหมี่อวี้จะสามารถเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนที่เขาปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน ทว่าท่ามกลางขั้นตอนนี้ เจ้ากลับหันไปทำเรื่องที่คุ้นเคยที่สุดนอกเหนือจากการฝึกกระบี่แทน และเป็นเรื่องที่เจ้าชอบอย่างแท้จริง ผลลัพธ์ที่ได้ ในสายตาคนนอกไม่ถือว่าดี แต่ตัวเจ้าเองกลับไม่รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร อย่างมากสุดก็แค่รู้สึกละอายใจต่อพี่ชายอย่างหมี่ฮู่เท่านั้น”