(ผู่กงอิงหรือดอกแดนดิไลออน ดอกไม้แห่งความสุขและความหวัง)
การที่เฉินผิงอันกล้าปรากฏตัว นอกจากข้างกายมีลู่จือหนึ่งในสิบเซียนกระบี่ใหญ่อันดับสูงสุดแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ยืนอยู่ด้วยแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นยังเป็นเพราะเฉินฉุนอันจะมาที่นี่ด้วย
สมมติว่าเป็นการเข่นฆ่าในขอบเขตที่ไม่ค่อยต่างกันเท่าไร เซียนกระบี่เชี่ยวชาญการสังหารคน แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะถนัดช่วยเหลือคน
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนหัวกำแพงเมือง การลอบโจมตีครั้งนั้น หมี่อวี้ขัดขวางเลี่ยจี่ผู้ฝึกกระบี่ที่มีขอบเขตและตบะเท่ากันอย่างสุดกำลังความสามารถแล้ว แต่หมี่อวี้ก็ยังช้าไปเสี้ยวหนึ่ง
แต่เมื่อมีเฉินฉุนอันอยู่ด้วยก็ต้องปลอดภัยหายห่วงอย่างแน่นอน
หลังจากที่เฉินฉุนอันเอ่ยไปแล้วก็ไม่ให้โอกาสปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนนั้นได้พูดจาไร้สาระอีกแม้แต่นิดเดียว ฟ้าดินพลันแปรเปลี่ยน
จิตวิญญาณของเฉินผิงอันสะท้านไหว ร่างทั้งร่างคล้ายมีกายธรรมที่ใหญ่จนหาที่สิ้นสุดไม่ได้ปรากฏขึ้นมา แล้วจึงพลัน ‘บินทะยาน’ ไปถึงจุดที่สูงที่สุดของม่านฟ้า มากพอจะหลุบตาลงต่ำแล้วมองเห็นทั่วทั้งอาณาเขตของใต้หล้าไพศาลได้ เพียงแต่ไม่รอให้เฉินผิงอันได้มอง เวลาเพียงชั่วพริบตากายธรรมใหญ่ยักษ์กลับถูกบีบให้หดตัวเป็นดวงจิตเมล็ดงาที่เล็กยิ่งกว่าฝุ่นผง ไม่เพียงแต่หวนกลับคืนมายังฟ้าดิน ยังผลุบหายเข้าไปในพื้นที่ที่เล็กอย่างถึงที่สุดบนเส้นลายมือ
รอกระทั่งเฉินผิงอันคืนสติได้อย่างสมบูรณ์ หันกลับไปมอง ในมหาสมุทรความคิดก็มีคาถาบทหนึ่งลอยขึ้นมา ‘เต๋านั้นช่างเลื่อนลอย เหมือนมีเหมือนไม่มี ลึกล้ำยาวไกล สอดผสานกับความว่างเปล่า ช่างเลื่อนลอยว่างเปล่า’
ที่แท้ด้านหลังของเฉินผิงอันก็มีลูกกลมๆ ขนาดมโหฬารลอยตัวอยู่ เป็นสีขาวหิมะใสกระจ่าง ส่องแสงเรืองรอง พอจะมองเห็นตำหนัก หอเก๋ง ศาลาได้อย่างเลือนราง และยังมีต้นกุ้ยฮวาขนาดใหญ่ ที่แท้นั่นก็คือกุ้ยฮวาที่ปลูกอยู่ในดวงจันทร์
เปรียบเทียบร่างของเฉินผิงอันกับสิ่งที่อยู่ด้านหลังเขาแล้ว ขนาดของทั้งสองฝ่ายก็คงเหมือนเมล็ดข้าวที่อยู่ในถ้วยขาว
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา มองออกไปไกล จุดที่สายตามองเห็นมีเพียงดวงตะวันกลมโตลอยอยู่กลางอากาศ ใหญ่โตมโหฬารอย่างยิ่ง เป็นสีเหลืองทองตลอดทั้งร่าง แล้วก็ไม่มีวัตถุอย่างอื่นอีก
ดวงอาทิตย์ดวงนี้แผ่เส้นแสงสีทองออกมาอย่างต่อเนื่อง การเกิดและการดับแปรปรวนไม่มีขั้นตอนแน่นอน ความเร็วสูงอย่างถึงที่สุด
แล้วก็มีจุดสีดำหนึ่งจุด กับรอยเปื้อนสีดำหนึ่งรอยที่ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง
มีเส้นแสงเล็กละเอียดสีขาวหิมะเป็นเส้นๆ พุ่งวาบผ่านไปมา และมันก็สามารถสะบั้นเส้นแสงสีทองเหล่านั้นให้ขาดคาที่ได้
น่าจะเป็นการจับคู่เข่นฆ่าระหว่างลู่จือกับปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยาน ‘เปียนจิ้ง’ ผู้นั้นกระมัง
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ คิดว่าจะนั่งขัดสมาธิปล่อยจิตวิญญาณให้จมจ่อมอยู่ภายใน จากนั้นก็เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ตนยังไม่ได้ตั้งชื่อออกมา ใช้ฟ้าดินขนาดเล็กมาคุมเชิงกับฟ้าดินขนาดเล็ก อาศัยสิ่งนี้มาสัมผัสกับการโคจรของมหามรรคาในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ให้มากขึ้น
คิดไม่ถึงว่าจะมีฝ่ามือของคนผู้หนึ่งกดลงมาบนไหล่ เขายิ้มเอ่ยว่า “ความรู้จำพวกนี้ หากสัมผัสเร็วเกินไปกลับจะกลายเป็นไม่ดี ไม่ได้กลัวว่าเจ้าจะแอบเรียนรู้เอาไป เพียงแต่เพราะมรรคาของวิชาอภินิหารจากหนึ่งในกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเจ้า ไม่ใกล้เคียงกับวิชานี้ของข้า”
เฉินผิงอันจึงล้มเลิกความคิด หันกลับมาประสานมือคารวะผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อท่านนั้นอย่างนอบน้อม
เฉินฉุนอันพยักหน้ารับ ยิ้มเอ่ย “ข้าจะถือเสียว่าเป็นเด็กรุ่นหลังของลัทธิขงจื๊อคารวะผู้อาวุโส ไม่ใช่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งมาถามความรู้กับสายหย่าเซิ่งเช่นข้า จึงไม่คารวะกลับคืนเจ้าแล้ว”
หลังจากเฉินผิงอันยืดตัวขึ้นแล้วก็กล่าวอย่างเขินอายว่า “ได้แต่กล้าขอความรู้ มิกล้าถามความรู้”
เฉินฉุนอันโบกมือ “ในเมื่อเจ้าและข้าต่างก็แซ่เฉิน ก็เท่ากับว่ามีต้นกำเนิดเดียวกันเพียงแต่แยกย้ายกันไปคนละสาย แซ่เป็นเช่นนี้ สายวิชาความรู้ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องต้นข่ายในถ้ำสวรรค์หลีจู สกุลเฉินอิ่งอินแห่งนาตยทวีปก็ติดค้างน้ำใจเจ้า ดังนั้นข้าถึงได้ดึงเจ้าให้มาชมศึกอยู่ไกลๆ สามารถทำความเข้าใจกับมาดของเซียนกระบี่ได้กี่ส่วนก็ล้วนถือเป็นความสามารถของเจ้า ข้าไม่ป้องกันเฉินผิงอันแห่งเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลี แต่ต้องป้องกันซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้น รวมไปถึงลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่เขาสั่งสอนออกมา ‘จริงดังที่คาด’ เลยใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ่งรู้สึกละอายใจ
เฉินฉุนอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งดึงเอาหมี่อวี้เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่อยู่นอกฟ้าดินเข้ามาในฟ้าดินแห่งนี้
จากนั้นเฉินฉุนอันก็เอ่ยเตือนว่า “เห็นไม่ชัด? ไม่สู้เจ้าลองท่องจุดประสงค์วิชาความรู้ของอาจารย์เจ้าดู ไม่แน่ว่าการมองเห็นอาจจะชัดเจนขึ้นหลายส่วน”
เฉินผิงอันจึงเริ่มท่องอยู่ในใจ
อยู่กับผู้อาวุโสบางคน ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มากเกินความจำเป็นเลยด้วยซ้ำ
จิตใจมีสมาธิไม่วอกแวก โดยไม่ทันรู้ตัวเขาก็นั่งขัดสมาธิลงแล้ว มือสองข้างกำเบาๆ วางไว้บนหัวเข่า
นั่งลงสัมผัสปณิธานแห่งโบราณกาลอันยิ่งใหญ่ ห่างไปไกลดวงอาทิตย์ขึ้นดวงจันทร์ลาลับ
เฉินฉุนอันนั่งตัวตรงอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า ได้ยินความรู้ของซิ่วไฉเฒ่าที่ตัวเองถูกใจก็คลี่ยิ้มบางๆ
อย่าว่าแต่ฟังเสียงในหัวใจของเฉินผิงอันเลย เฉินฉุนอันอยากได้ยินอะไรก็ได้ยิน ต่อให้เป็นความคิดของเฉินผิงอัน ขอแค่เฉินฉุนอันอยากจะดึงออกมามองก็สามารถมองเห็นได้ตามใจปรารถนา
หลังจากนั้นเซี่ยซงฮวาและเส้าอวิ๋นเหยียนที่ได้รับกระบี่บินส่งข่าวก็ขี่กระบี่พุ่งทะยานมาอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ แหวกผ่าทะเลที่มีคลื่นน้ำนับไม่ถ้วนจนมาพบเรือข้ามฟาก ‘อ่างกระเบื้อง’ ของถ้ำซานสุ่ย จากนั้นก็ทยอยกันถูกเฉินฉุนอัน ‘เชิญเข้ามา’ ในฟ้าดินของตะวันจันทรา
เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบสามคนที่ทยอยกันมาถึงต่างก็ไม่มีความคิดจะออกกระบี่ ตอนนี้ต่างคนต่างยืนกันคนละฝั่งเพื่อช่วยคุมหลังให้ลู่จือ
หมี่อวี้ค่อนข้างจะรักษากฎ เขาจ้องสนามรบเขม็ง ที่ไม่ช่วยก็เพื่อไม่ให้ช่วยจนเสียเรื่อง ขอแค่ลู่จือไม่ตกเป็นรอง ตีให้ตายเขาก็จะไม่ยอมลงมือเด็ดขาด
เส้าอวิ๋นเหยียนที่มาถึงเป็นคนที่สองไม่เสียแรงที่เป็นเจ้าของเรือนชุนฟาน ถึงกับใช้แก่นตะวันวิญญาณจันทราที่มีเปี่ยมล้นอยู่ในฟ้าดินมาหลอมกระบี่ของตนทันที
เซี่ยซงฮวาที่เข้ามาในฟ้าดินตะวันจันทราเป็นคนสุดท้าย เมื่อเทียบกับหมี่อวี้และเส้าอวิ๋นเหยียนแล้ว เห็นได้ชัดว่านางผ่อนคลายสบายอารมณ์มากกว่า พอเข้ามาก็ชำเลืองตามองสนามรบ รู้สึกว่าไม่ต้องให้ตนช่วยเหลือก็เริ่มขี่กระบี่เตร็ดเตร่ไปรอบๆ
เห็นเพียงน้อยนิดก็อนุมานไปได้ไกล นี่ก็คือนิสัยของเซียนกระบี่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หมี่อวี้มองดูเหมือนเป็นคนเอ้อระเหยลอยชาย แต่ความเป็นจริงแล้วกลับเป็นคนที่ยึดถืออยู่ในกรอบมากที่สุด เส้าอวิ๋นเหยียนเชี่ยวชาญการคิดคำนวณ เน้นย้ำในเรื่องชื่อเสียงเกียรติยศมากที่สุด ส่วนเซี่ยซงฮวานั้นมีนิสัยที่อิสระเสรีมากที่สุด
เฉินฉุนอันเอ่ย “น้ำลดหินผุดแล้ว ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนนั้นสูญเสียร่างจริง เรือนกายของเปียนจิ้งผู้นี้ถูกนำมาเป็นที่พักพิงของจิตหยางกายนอกกาย วิธีการที่ใช้จิตหยินซ่อนอำพรางอยู่ร่างในเปียนจิ้งของปีศาจใหญ่เป็นเวทอภินิหารลับเฉพาะอย่างหนึ่ง ดังนั้นถึงได้กล้าไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ขอแค่คนผู้นี้ไม่ไปยืนอยู่บนหัวกำแพงเมือง แม้แต่เฉินชิงตูก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึง เจ้าค้นพบได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ข้าเดิมพันติดต่อกันสามครั้ง ก่อนหน้านี้เดิมพันว่าควรจะออกจากคฤหาสน์หลบร้อนติดตามเรือข้ามฟากบางลำออกมาจากภูเขาห้อยหัวดีหรือไม่ แล้วค่อยเดิมพันว่าท่ามกลางเรือข้ามฟากเหล่านั้น สรุปแล้วเป็นเรือลำใดที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด สุดท้ายเดิมพันว่าท่านอาจารย์ผู้เฒ่าจะรู้สึกว่าข้ากำลังเล่นเป็นเด็กๆ หรือไม่ จะยินดีเดินทางออกมาจากทักษนิยาตยทวีปโดยไม่สนความเหนื่อยยากหรือไม่ หากท่านอาจารย์ผู้เฒ่าไม่มา ต่อให้ข้าเดิมพันถูกสองครั้ง แต่ก็ยังถือว่ามาเสียเที่ยวอยู่ดี”
เฉินฉุนอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ลองเล่าอย่างละเอียดทีสิ ไม่ต้องคิดว่าเมื่อเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘เดิมพัน’ แล้วก็จะรู้สึกไม่ดีที่จะเปิดปาก ความรู้บนโลกใบนี้ พูดได้ดีพูดได้ถูกคือความยากอย่างแรก แต่สามารถทำให้คนนอกเรียนรู้ได้อย่างง่ายดาย เห็นแล้วรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม คิดแล้วลงมือปฏิบัติได้ กลับยากยิ่งกว่ายาก”
เฉินผิงอันกำลังจะเปิดปาก
ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนนั้นฝืนรับกระบี่หนึ่งของลู่จือมาแล้วกลับแหวกอากาศพุ่งกระโจนเข้ามาใส่ทางด้านของเฉินฉุนอันกับเฉินผิงอัน
กายธรรมของอีกฝ่ายใหญ่มากราวกับขุนเขาที่กดทับลงมาเหนือศีรษะ
แต่เฉินฉุนอันที่เป็นอริยะของฟ้าดินแห่งนี้กลับไม่คิดจะปรายตามอง เพียงยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไปก็สามารถตบให้ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานครึ่งๆ กลางๆ เพราะไม่รู้แม้กระทั่งว่าร่างจริงของตัวเองอยู่ไหนกลับคืนไปยังสนามรบ ไม่เพียงเท่านี้ เรือนกายใหญ่โตมโหฬารนั้นยังกระแทกเข้าไปในดวงอาทิตย์สีทองจนดวงอาทิตย์ยุบลงไป ร่างถูกกักอยู่ในดวงอาทิตย์ที่เป็นดั่งเตาหลอมลาวาสีทองขนาดใหญ่ ต่อให้ปีศาจจะคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ดึงร่างตัวเองขึ้นมา พุ่งห่างออกไปหลายพันจั้งแล้วก็ยังถูกแสงสีทองเหล่านั้นโรมรันพันไปทั่วร่าง แล้วกระชากกลับมายัง ‘พื้นดิน’ อย่างรุนแรงอีกครั้ง
ลู่จือไม่ได้ฉวยโอกาสนี้ออกกระบี่ต่อ เพียงแค่มองดูอย่างเฉยเมย ปล่อยให้ปีศาจใหญ่ตนนั้นหลุดพ้นพันธนการมาก่อนแล้วค่อยเข้าไปเข่นฆ่ากับอีกฝ่ายอีกครั้ง
สำหรับเรื่องนี้เฉินฉุนอันก็ยิ่งไม่ถือสา
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อเพียงแค่ยิ้มบางๆ รับฟังคนหนุ่มเล่าความมหัศจรรย์ของการเดิมพันทั้งสามครั้งอย่างละเอียด
กลับไปถึงคฤหาสน์หลบร้อนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็โยนเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งเพื่อตัดสินใจว่าควรจะติดตามเรือข้ามทวีป ‘อ่างกระเบื้อง’ ออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือไม่
ออกหัวก็คือทำเรื่องนี้ ออกก้อยก็คืออยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนต่อ รอให้อีกฝ่ายลงมือก่อน
ก่อนจะทำเช่นนี้จิตหยินของเฉินผิงอันออกจากร่าง ขณะเดียวกันก็ใช้วิชาหยุดเพ่งพิศอันตื้นเขิน แต่กลับสามารถช่วยสลัดความคิดบางอย่างทิ้งไปได้ ผลคือเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นออกหัว
ตามแผนการเดิมของเฉินผิงอัน เขาควรจะอยู่ต่อที่คฤหาสน์หลบร้อน
ดังนั้นจึงเกิดลังเลใจ ยื่นมือไปกดเงินร้อนน้อยเหรียญนั้น แล้วให้กวอจู๋จิ่วเดาว่าเป็นหัวหรือก้อย สุดท้ายเฉินผิงอันก็เลือกออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
ฟังมาถึงตรงนี้ เฉินฉุนอันก็ยิ้มบางๆ “แรกเริ่มสุดเจ้าคิดจะใช้สิ่งนี้มาวิเคราะห์ว่าตัวเองโชคดีหรือไม่ดี? หากโชคดี ถ้าอย่างนั้นนับแต่วันนี้ไปก็ต้องระวังว่าดวงจันทร์เต็มดวงแล้วต้องกลายเป็นจันทร์เสี้ยว หากโชคไม่ดี เดาไม่ถูกเดิมพันผิด กลับมีหวังว่าเรื่องดีๆ จะมาเยือน?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง ข้ายังคงไม่ชอบทำการค้าที่ขาดทุน ไม่ได้กำไรนั้นได้ แต่ขาดทุนไม่ได้จริงๆ”
เฉินฉุนอันยิ้มเอ่ย “พูดต่อสิ”
เฉินผิงอันยังคงไปหาคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจของภูเขาห้อยหัวในตอนนี้มาครั้งหนึ่ง นั่นก็คือเจินจวินลัทธิเต๋าที่เคยพบเจอกันหนึ่งครั้ง ก่อนที่ศิษย์พี่ใหญ่จั่วโย่วจะจากไปเคยบอกว่า ปีนั้นหลังจากที่เขาออกกระบี่ที่ร่องเจียวหลง คนผู้นี้ก็ได้หนวดเจียวหลงมาไม่น้อย เป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ศิษย์น้องเจ้าไปหาเขาขอให้เขาช่วย ย่อมไม่ยาก หากเขาไม่ตอบตกลง เจ้าก็บอกให้เขารอศิษย์พี่ย้อนกลับภูเขาห้อยหัวมาคุยเหตุผลกับเขาได้เลย
บวกกับที่สายลับที่ทั้งฝ่ายกำแพงเมืองปราณกระบี่และชุยตงซานสอดแทรกไว้ที่ภูเขาห้อยหัว ยามที่เรือข้ามฟากลำสุดท้ายออกไปจากเรือนชุนฟาน เฉินผิงอันก็เอาสมุดบันทึกรายละเอียดของผู้โดยสารทั้งหมดที่ขึ้นลงเรือข้ามฟากทุกลำมาดู
ก่อนจะหวนกลับไปยังเรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัวอย่างเงียบเชียบ เฉินผิงอันเรียก ‘นักเล่นหมากล้อมระดับแคว้น’ หลายคนของสายอิ่นกวานที่เชี่ยวชาญการวางแผน การฝ่าสถานการณ์คับขันซึ่งมีหลินจวินปี้ เสวียนเซินเป็นหนึ่งในนั้นให้มาช่วย
คัดกรองเอาเรือข้ามฟากสิบลำที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันออกมาก่อน อู๋ฉิว ถังเฟยเฉียน รวมไปถึงเจียงเกาไถแห่ง ‘หนันจี’ ของธวัลทวีป ป๋ายซีแห่ง ‘อ่างกระเบื้อง’ ของฝูเหยาทวีป ไต้เฮาแห่ง ‘ไท่เกิง’ ของธวัลทวีป หลิ่วเซินแห่ง ‘หนีซาง’ หลิวอวี่แห่ง ‘ฝูจง’ หลิวเสียทวีป และเรือของทักษินาตยทวีปกับของอุตรกุรุทวีปอีกแห่งละลำ ยังรวมไปถึงเรือข้ามฟากของตระกูลติงแห่งนครมังกรเฒ่าด้วย
คนที่น่าสงสัยที่สุดกลับกลายเป็นว่าอาจจะไม่น่าสงสัยที่สุด
อันที่จริงแรกเริ่ม เฉินผิงอันกับพวกหลินจวินปี้ต่างก็ไม่คิดว่าเรือข้ามทวีปอ่างกระเบื้องของถ้ำซานสุ่ยจะต้องเป็นสายที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างซ่อนตัวไว้ในใต้หล้าไพศาล
นอกจากเลือกเรือข้ามฟากสิบลำเหล่านี้ออกมาแล้ว ยังมีผู้โดยสารเรือข้ามฟากที่น่าสงสัยอีกสามสิบสองคน
เฉินฉุนอันถาม “เปียนจิ้งผู้นี้ระมัดระวังตัวอย่างมาก น่าจะไม่ควรเป็นคนหนึ่งในนั้นถึงจะถูก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้ไม่มีคนผู้นี้อยู่จริงๆ ตามบันทึกในเอกสารดั้งเดิม ผู้ฝึกกระบี่เปียนจิ้งแห่งราชวงศ์เส้าหยวนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หลังออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาแล้วก็พักอาศัยอยู่ที่สวนดอกเหมยช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นจึงออกไปจากภูเขาห้อยหัว แต่กลับไม่ได้ไปพร้อมพวกเหยียนลวี่ เจี่ยงกวนเฉิง แต่เลือกที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวฝูเหยาทวีปเพียงลำพัง อันที่จริงเรือข้ามฟากลำแรกสุดที่ข้ากับเซียนกระบี่ลู่จือไปเยือนก็คือ ‘หนีซาง’ ของหมี่อวี้ลำนั้น แต่หลังจากตรวจสอบดูแล้วกลับไม่เจออะไร ถึงได้ติดตามมาที่เรือข้ามฟากอ่างกระเบื้อง พอขึ้นเรือมากลางทางก็ใช้วิธีการที่โง่ที่สุด นั่นคือเดินไปทั่วๆ นับจำนวนคน พบว่ามีคนเพิ่มมาคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังไม่กล้าแน่ใจว่าบนเรือจะต้องมีปีศาจใหญ่ซ่อนตัวอยู่อย่างแน่นอน ยิ่งไม่กล้าแน่ใจว่าถ้ำซานสุ่ยจะต้องสมคบคิดกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างมานานแล้ว”
เฉินฉุนอันพยักหน้ารับ จากนั้นก็ยิ้มถามว่า “ไม่ไปเยือนเรือข้ามฟากของเซียนกระบี่เซี่ย ก็เพราะวางใจในตัวแจกันสมบัติทวีปกับอุตรกุรุทวีปมากเลยหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า เอ่ยตอบ “เพราะเชื่อว่าสมองของปีศาจใหญ่ตนหนึ่งต้องฉลาดมากพอ ไม่ถึงขั้นแหวกหญ้าให้งูตื่น วาดงูเติมขาให้กับสถานการณ์ใหญ่อันดีเยี่ยมในใบถงทวีปที่ปีศาจใหญ่สองตนใช้ชีวิตแลกเปลี่ยนมา”
เฉินฉุนอันถามอีก “ที่แท้ก็ไม่กังวลสักนิดเลยว่าข้าหากเดินทางมาเสียเที่ยวแล้วจะโกรธ เพราะจะพูดเรื่องใบถงทวีปกับข้าสินะ? ไม่เคยทำการค้าที่ขาดทุนจริงๆ ด้วย”
เฉินผิงอันเอ่ย “ขออาจารย์ผู้เฒ่าโปรดเชื่อในสายตาของแจกันสมบัติทวีปสักครั้ง การเดิมพันยิ่งใหญ่ที่แท้จริงก็เป็นแจกันสมบัติทวีปของข้าที่เดิมพันก่อนใครและเดิมพันไว้ใหญ่ที่สุด!”
เฉินฉุนอันเงียบไปครู่หนึ่งก็คลี่ยิ้มอย่างปลาบปลื้ม “ประเสริฐ”
หมี่อวี้ยังคงแสร้งทำท่าว่าช่วยคุมหลังให้ลู่จือต่อไป ดวงตะวันลอยอยู่กลางอากาศ ประเด็นสำคัญคือเหมือนอยู่ใกล้ในระยะประชิด ลำพังเพียงแค่ความร้อนแผดเผานั้นก็ทำให้จิตใจของหวี่อวี้วุ่นวายได้แล้ว
เส้าอวิ๋นเหยียน ‘ได้คืบแล้วเอาศอก’ อาศัยโอกาสนี้กอบเอาลาวาสีทองกลุ่มหนึ่งที่สาดกระเซ็นมาไว้ในมือ ไม่กล้าให้สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง ได้แต่ประคองให้ลอยตัวอยู่เหนือฝ่ามือเท่านั้น จากนั้นก็เอนฝ่ามือลงเล็กน้อย เทรดลงบนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอย่างระมัดระวัง
เซี่ยซงฮวาที่สะพายกล่องไม้ไผ่ไว้ด้านหลังถามเสียงดัง “อาจารย์ผู้เฒ่าเฉิน ขอแก่นตะวันวิญญาณจันทราให้ข้าบ้างได้หรือไม่? แบบที่ให้แล้วไม่ต้องเอาคืนน่ะ!”
เฉินฉุนอันเงยหน้ายิ้มกล่าว “เซียนกระบี่เซี่ยเก็บเอาไปได้ตามสบายเลย”
เฉินฉุนอันมองหมี่อวี้ที่อยู่ว่างงานไม่ทำอะไรแล้วยิ้มเอ่ย “เซียนกระบี่หมี่ ขอข้ายืมกระบี่พกของเจ้าสักหน่อยได้หรือไม่?”
หมี่อวี้รีบปลดกระบี่ประจำกายลงมาทันที
เฉินฉุนอันยื่นมือกวักหนึ่งครั้ง กระบี่ก็ถูกกำอยู่ในมือ ชักกระบี่ออกจากฝัก ดึงชายแขนเสื้อขึ้น สะบัดแสงจันทร์ที่เข้มข้นราวกับน้ำเส้นหนึ่งออกมา “เดิมทีวิญญาณดวงจันทร์นี้ก็มาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างอยู่แล้ว”
ผู้เฒ่าประกบสองนิ้วปาดไปบนตัวกระบี่ช้าๆ บนกระบี่ปรากฏรอยเว้ารอยหลุมที่เล็กจนแทบมองไม่เห็น แสงจันทร์ที่เข้มข้นนั้นราดรดลงไปบนหลุมทั้งหลายตามปลายนิ้วที่ปาดไป
จิตวิญญาณของหมี่อวี้ส่ายไหว อีกนิดก็เกือบจะน้ำตาคลอ อีกทั้งยังเป็นความรู้สึกที่มาจากใจจริงอีกด้วย
ไม่ต้องพูดถึงว่าระดับขั้นของกระบี่พกตนถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีทางเพิ่มระดับขึ้นสูงได้ ประเด็นสำคัญคือเฉินฉุนอันผู้รอบรู้กลับยังลงมือช่วยหลอมกระบี่ให้ตนด้วยตนเอง! เส้าอวิ๋นเหยียนที่คว้าตรงนั้นหยิบตรงนี้ แอบหลอมกระบี่อย่างลับๆ ล่อๆ ผู้นั้นจะเทียบได้หรือ? เซี่ยซงฮวาที่ขอแก่นตะวันวิญญาณจันทราไปอย่างผึ่งผายจะเทียบได้หรือ?