เฉินผิงอันไม่คิดได้คืบจะเอาศอก เขาดื่มเหล้าอึกใหญ่ เตรียมจะปล่อยให้ผังหยวนจี้ได้อยู่คนเดียวอย่างสงบไป
ผังหยวนจี้กลับหันมาถามว่า “เฉินผิงอัน เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกว่าเจ้าสมน้ำหน้าข้านิดๆ ล่ะ?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างตกตะลึง “นี่เจ้าก็มองออกด้วยหรือ? ข้าคนนี้ความสามารถอย่างอื่นไม่มี แต่เรื่องเก็บซ่อนอำพรางกลับมีความสามารถลึกล้ำอย่างถึงที่สุด พี่ผัง เจ้าช่างสายตาดียิ่งนัก”
ผังหยวนจี้กล่าวอย่างสงสัย “คิดจริงหรือนี่?”
เฉินผิงอันพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “จริงไม่จริงอะไรกัน ในเรื่องแบบนี้พวกเราคือคู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยาก ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้ามาหาเจ้าเพื่อดื่มเหล้า ทำให้ในใจเจ้าไม่สบอารมณ์ แล้วข้าก็สบายใจแล้วอย่างนั้นหรือ”
ผังหยวนจี้ถอนหายใจ เอ่ยอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “ข้าขอให้เจ้าไสหัวไปไกลๆ”
เฉินผิงอันกระโดดลงมาจากราวรั้ว ยิ้มกล่าว “พูดแบบนี้กับใต้เท้าอิ่นกวานได้แค่ครั้งนี้เท่านั้นนะ ห้ามให้มีครั้งต่อไป นิสัยรังแกคนดีที่พูดง่าย ไม่ควรจะมีอยู่”
ผังหยวนจี้พลันเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ข้าคงไม่ลงจากหัวกำแพงเมืองไปเข่นฆ่าศัตรูแล้ว”
เฉินผิงอันที่อยู่ในระเบียงหันตัวกลับมา ยิ้มกล่าว “ขอแค่เจ้าไม่กลัวเสียงด่าและเสียงนินทาของคนภายนอกที่จะมีมากกว่าเดิม ถ้าเช่นนั้นอยู่กับข้าเจ้าก็ไม่ต้องกังวลอะไร สายอิ่นกวานใหม่ไม่มีกฎเรียกร้องให้ผู้ฝึกกระบี่จะต้องออกจากหัวกำแพงไปสังหารปีศาจ”
ผังหยวนจี้มีสีหน้าขมขื่น พลันเอ่ยอย่างรันทดว่า “เป็นคู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากจริงๆ ด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เมื่อไหร่ที่เจ้าสามารถเลียนแบบนิสัยที่รู้จักหาความสุขจากความทุกข์ได้อย่างหลินจวินปี้ การฝึกฝนจิตใจก็ถือว่ามีความสำเร็จเล็กๆ แล้ว”
ผังหยวนจี้นั่งเหม่ออยู่ที่เดิม
การถามกระบี่ระหว่างใต้หล้าเปลี่ยวร้างกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ยังคงดำเนินต่อไป
แต่ช่วงเวลาระหว่างนี้ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับทำเรื่องหนึ่งที่นอกเหนือจากการถามกระบี่ หย่างจื่อปีศาจใหญ่ยอดเขา สตรีที่สวมชุดมังกรสวมมงกฎผู้นั้นได้หวนกลับคืนมาที่สนามรบอีกครั้ง นางลอยตัวสูงอยู่กลางอากาศ ในมือหิ้วคนผู้หนึ่งที่ร่อแร่ใกล้ตาย คือเซียนกระบี่ท่านหนึ่งที่คอยหยุดยั้งการกรีฑาทัพขึ้นเหนือของกองทัพใหญ่อยู่ในพื้นที่ใจกลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หยางจื่อกับหวงหลวนที่มีลำดับศักดิ์เท่าเทียมกันต่างก็มีผลเก็บเกี่ยว เพียงแต่เซียนกระบี่สองท่านที่หวงหลวนดักฆ่ากลับไม่เหลือแม้แต่กระดูก จิตวิญญาณแหลกสลายสิ้น ทว่าหยางจื่อกลับจับตัวเซียนกระบี่มาเป็นๆ
บนสนามรบวันนั้น นิ้วทั้งห้าของหยางจื่อจิกหัวของเซียนกระบี่ที่ใกล้ตายเอาไว้แน่น นางยืนอยู่ไม่ห่างจากกระแสธารปราณกระบี่สองเส้นเท่าไรนัก อันดับแรกก็ร่ายถึงรากฐานชาติกำเนิดของเซียนกระบี่ท่านนี้ก่อน บอกว่าเขาทำเรื่องอะไรลงไปบ้างในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จากนั้นภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน หยางจื่อก็เลาะเลือดเนื้อของเซียนกระบี่ผู้นั้นออกมา ขั้นตอนนี้เชื่องช้ามาก สูบเอาเลือดเนื้อออกก่อน แล้วจึงบีบกระดูกเส้นเอ็นให้แหลกสลาย ตามมาด้วยเลาะเอาโอสถทองเม็ดหนึ่งออกมาบดขยี้ไปทีละส่วน ก่อนจะสังหารทารกก่อกำเนิดไปทีละนิด สุดท้ายถึงได้ดึงเอาจิตวิญญาณแต่ละส่วนของเซียนกระบี่ออกมาสะเทือนให้แหลกสลาย
หลังจากที่หย่างจื่อปรากฎกาย
กระบี่บินของสายอิ่นกวานก็ส่งข่าวไปทั่วทุกมุมของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกทั้งยังเป็นกระบี่บินเล่มที่สลักคำว่า ‘อิ่นกวาน’ อีกด้วย
ไม่อนุญาตให้เซียนกระบี่หรือผู้ฝึกกระบี่คนใดถามกระบี่หยางจื่อโดยพลการ
ภายหลังเซียนกระบี่ใหญ่หลายท่านส่งกระบี่บินเป็นการส่วนตัวมาที่คฤหาสน์หลบร้อน สอบถามว่ายังคงรักษาค่ายกลกระบี่เอาไว้ แต่อนุญาตให้พวกเขาร่วมมือกันหยุดยั้งการกระทำของหย่างจื่อได้หรือไม่
กระบี่บินของสายอิ่นกวานตอบกลับมาว่า ยังคงไม่อนุญาตให้เซียนกระบี่ใหญ่คนใดออกกระบี่โดยพลการ ระวังว่าพวกปีศาจใหญ่ยอดเขาซึ่งมีหวงหลวนเป็นหนึ่งในนั้นจะกำลังเฝ้าตอรอกระต่าย วิธีการเช่นนี้เป็นหลุมพรางอย่างเห็นได้ชัด มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งกว่าอาจเป็นจุดตายยิ่งกว่าปีศาจใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาทั้งห้าลูกก่อนหน้านี้ ตำแหน่งที่หย่างจื่อผู้นั้นยืนอยู่พิถีพิถันยิ่งนัก ค่อนไปทางด้านหลังเล็กน้อย การที่นางยืนค่อนไปทางด้านหลังเช่นนี้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าสามารถเอาชีวิตเซียนกระบี่ใหญ่ท่านสองท่านของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปได้ง่ายๆ
หากสงครามนี้ลุกลามออกไป พลังการต่อสู้สูงสุดของทั้งสองฝ่ายพากันลงสนามรบ ไม่ว่าทั้งสองฝ่ายจะเสียหายแค่ไหนก็ล้วนจะต้องผลักดันขั้นตอนการทำสงครามครั้งนี้ให้รุดหน้าไปเร็วขึ้น
พวกน่าหลันเซาเหว่ย เยว่ชิง เหยาเหลียนอวิ๋นต่างก็อดทนข่มกลั้นไม่ออกกระบี่ แต่ความอัดอั้นในใจของทุกคนต้องมีไม่น้อยอย่างแน่นอน
แม้แต่เยว่ชิงก็ยังสบถด่ามารดาไปคำหนึ่ง
เหยาเหลียนอวิ๋นยิ่งสีหน้ามืดทะมึน
ก่อนหน้านี้เจ้าประมุขตระกูลเหยาท่านนี้มีสีหน้าสดชื่นอยู่ทุกวัน การออกกระบี่ในแต่ละครั้งล้วนปลดปล่อยฝีมืออย่างเต็มคราบสาสมใจ เรียกได้ว่าเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ พวกเซียนกระบี่ทั้งหลายเชื่อฟังคำสั่งจากสายอิ่นกวาน
ทว่าพวกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งกลับเดือดดาลเจ็บแค้น กลับกลายเป็นว่าออกกระบี่ไปก่อนเซียนกระบี่ ทันใดนั้นกระบี่บินหลายสิบเล่มก็ถามกระบี่เข้าหาปีศาจใหญ่หย่างจื่อ
หากไม่เป็นเพราะเซียนกระบี่ใหญ่หลายท่านลงมือขัดขวางทันที ไม่แน่ว่าคงมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถึงร้อยกว่าเล่มที่พากันพุ่งเข้าหาปีศาจใหญ่ตนนั้น หากเป็นเช่นนี้ก็มีแต่จะยิ่งทำให้กระบี่บินมากกว่าเดิมตามออกไป ถึงเวลานั้นตลอดทั้งค่ายกลกระบี่ก็จะเกิดการคลายตัวแตกแยกตามไปด้วย
และการรับมือของหย่างจื่อผู้นั้นก็ยิ่งทำให้ทุกคนประหลาดใจ หลังจากเห็นพวกเซียนกระบี่ใหญ่ขัดขวางการถามกระบี่ นางไม่เพียงแต่ไม่ทำลายกระบี่บินเล่มใดที่ขยับมาประชิดกาย ยังบังคับกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองซึ่งเสียการควบคุมให้เข้ามาใกล้เซียนกระบี่ที่มีสภาพน่าเวทนาจนมิอาจทนมองได้ผู้นั้น ราวกับจงใจให้เซียนกระบี่ที่ใกล้ตายท่านนี้ได้ทักทายกับผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ทั้งหลาย สุดท้ายนางถึงโยนกระบี่บินสามสิบเก้าเล่มให้กลับคืนมาที่หัวกำแพงเมือง ปล่อยให้มันกลับคืนสู่ค่ายกลกระบี่ได้อย่างปลอดภัย
สุดท้ายหย่างจื่อกระเทือนเศษซากจิตวิญญาณของเซียนกระบี่ที่เหลืออยู่ในมือทิ้งไป แล้วพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “กำแพงเมืองปราณกระบี่ตัวดี เซียนกระบี่ที่พลังพิฆาตทะยานฟ้าตัวดีทั้งหลาย แต่ละคนเห็นคนจะตายกลับไม่ยอมช่วยเหลือ กลับกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ตัวเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่ยอมทุ่มสุดชีวิตอย่างไม่เสียดาย ถึงอย่างไรก็ยังยินดีจะออกกระบี่มากกว่า ฝ่ายแรกเสียดายชีวิตข้านั้นเข้าใจ แต่ความโง่เขลาของฝ่ายหลังข้ากลับนับถือ!”
หลังจากนั้นมาจิตใจคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เหมือนจะซับซ้อนยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่อิ่นกวานเซียวสวิ้นทรยศออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ออกหมัดทำร้ายจั่วโย่วให้บาดเจ็บสาหัสเสียอีก
สายของอิ่นกวานที่เดิมทีสามารถบัญชาการณ์บนหัวกำแพงเมืองได้ราบรื่นขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มเกิดการติดขัดตรงนี้เล็กน้อย ตรงนั้นนิดหน่อย
บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยามที่ผู้คนพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวก็มีถ้อยคำเคียดแค้นเจ็บปวดที่มาจากใจจริงเกิดขึ้น
‘ไม่ต้องให้ใต้เท้าอิ่นกวานเช่นเจ้าเสี่ยงอันตราย ไม่ได้ให้เจ้าไปตาย แล้วทำไมถึงไม่ยอมช่วย?! ผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเรายินดีตาย เหตุใดถึงไม่ยอม?’
จากนั้นก็เริ่มเปลี่ยนแปลงกลายเป็นถ้อยคำอีกมากมาย
‘วันนี้เซียนกระบี่ท่านนั้นยอมสละชีวิตและมหามรรคาก็จะต้องออกกระบี่สังหารศัตรูในพื้นที่ใจกลางใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้จงได้ แต่กลับยังไม่ช่วย วันหน้าเมื่อฝูงมดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาโจมตีเมือง ขอแค่อาจมีหลุมพราง ใต้เท้าอิ่นกวานจะช่วยผู้ฝึกกระบี่คนใดบ้างล่ะ?’
‘แม้แต่ปีศาจใหญ่ตนนั้นก็ยังเคารพคนที่ออกกระบี่เผชิญความตายอย่างกล้าหาญ คิดไม่ถึงว่าคนของพวกเรากันเองกลับเย็นชาแล้งน้ำใจถึงเพียงนี้ วางแผนคิดคำนวณไปเสียทุกเรื่อง อิ่นกวานที่เป็นเช่นนี้มีประโยชน์ต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ หรือ? เทียบกับการกระทำของอิ่นกวานคนก่อนได้จริงๆ หรือ อย่างน้อยที่สุดก่อนที่ฝ่ายหลังจะทรยศก็ยังกล้าลงสนามรบด้วยตัวเอง ศึกใหญ่แต่ละครั้งก็สังหารเผ่าปีศาจไปนับไม่ถ้วน!’
เมื่อมีถ้อยคำพวกนี้ปรากฏขึ้นก็หมายความว่าต้องมีความคิดที่มากกว่านั้นซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของใจคน
เฉินผิงอันเดินกลับมาถึงนอกห้องโถงใหญ่ก็เจอกับพวกซ่งเกาหยวน เฉากุ่นและเสวียนเซินสามคนที่เพิ่งเก็บกระบี่กลับมาจากหัวกำแพงเมืองพอดี ต่อไปก็ถึงคราวที่ผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นสามคนอย่างหลัวเจินอี้ สวีหนิงและฉางไท่ชิงที่ต้องไปออกกระบี่ที่หัวกำแพงเมืองบ้างแล้ว
สีหน้าของซ่งเกาหยวนและเฉากุ่นต่างก็มืดทะมึน
เสวียนเซินอายุน้อยที่สุด แต่กลับเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เข้าใจอะไรได้มากที่สุด เขายังพอจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ข้าแนะนำว่าอย่าให้พวกหลัวเจินอี้สามคนไปที่หัวกำแพงเมืองเลยดีกว่า หนึ่งเพราะจะต้องถูกโดดเดี่ยว หลายๆ ครั้งกลับกลายเป็นว่าจะถูกผู้ฝึกกระบี่คนอื่นแย่งชิงสนามรบ ประสิทธิผลการออกกระบี่ของพวกเราแทบไม่มี นอกจากนี้แม้พวกเขาจะไม่ได้ตำหนิพวกเราสามคน แต่ยามที่เอ่ยถึงใต้เท้าอิ่นกวานกลับไม่มีคำพูดดีๆ แล้วก็ไม่คิดจะกริ่งเกรงอะไรเลยด้วย”
ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานสองกลุ่มแรกที่ไปสังหารปีศาจบนหัวกำแพงเมือง ส่วนใหญ่ล้วนกลับมาพร้อมอาการบาดเจ็บ ทว่าคราวนี้พวกเสวียนเซินสามคนกลับปลอดภัยดี ไม่มีความเสียหายใดๆ เลย
หลัวเจินอี้สามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูใช้สายตาสอบถามอิ่นกวานหนุ่ม
ไปหรือไม่ไป ยังคงเป็นใต้เท้าอิ่นกวานที่ต้องเป็นคนตัดสินใจ
เฉินผิงอันหันหน้ามาเอ่ย “ถึงอย่างไรก็ยังต้องไป”
หลัวเจินอี้พยักหน้า แล้วขี่กระบี่จากไปพร้อมกับผู้ฝึกกระบี่อีกสองคน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลำบากแล้ว”
สีหน้าของเฉากุ่นอ่อนระโหย “พวกเราไม่ลำบากเลยสักนิด”
เฉินผิงอันเอ่ยปลอบใจ “แบบนี้ต่างหากถึงเรียกว่าลำบากอย่างแท้จริง”
รอยยิ้มของเฉากุ่นฝืดเฝือน ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ทุกคนกลับเข้าไปในห้องโถงใหญ่แล้วนั่งลงบนตำแหน่งของตัวเอง
หลินจวินปี้กล่าวอย่างจนใจ “ทั้งไม่สามารถพูดกับทุกคนอย่างเปิดเผยได้ว่าการค้าขายระหว่างพวกเรากับเรือข้ามฟากแปดทวีปในใต้หล้าไพศาลแตกต่างไปจากเดิมแล้ว พวกเราหวังว่าจะลากสงครามครั้งนี้ให้ยืดเยื้อออกไป มากพอที่จะผลาญทรัพย์สมบัติของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ ต่อให้เป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตยอดเขาทั้งหลายก็ยังต้องเสียดาย พวกเราอนุมานวางแผนกันมานานขนาดนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะพอมองเห็นความหวังที่จะชนะนิดๆ ได้เป็นครั้งแรก แล้วเหตุใดทุกอย่างที่ทำมาถึงได้เสียเปล่าเพราะวิธีการต่ำช้าของหย่างจื่อผู้นั้น”
เสวียนเซินกล่าวอย่างอัดอั้น “เดิมทีมีผู้ทำหน้าที่ฆ่าคนไปฆ่าคนโดยเฉพาะ ผู้ที่ไปฆ่าคนแทนผู้มีหน้าที่ฆ่าคน ก็เหมือนการไปตัดไม้แทนที่ช่างไม้ใหญ่มากฝีมือ”
เฉากุ่นพยักหน้าเอ่ยคล้อยตาม “คนที่ตัดไม้แทนช่างไม้ใหญ่ น้อยนักที่จะไม่ทำให้ตัวเองบาดเจ็บ”
หลินจวินปี้ยิ้มขื่นเอ่ยว่า “พวกเจ้าใช้ถ้อยคำของอริยะกันอย่างส่งเดช อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่ถ้อยคำที่ปลอบใจคนได้ด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่พูดถึงความหมายดั้งเดิมของอริยะ พูดถึงแค่การนำมาใช้ที่นี่เวลานี้ก็ถือว่ามีท่วงทำนองที่แตกต่างออกไป”
เซียนกระบี่โฉวเหมียวที่พูดน้อยอย่างถึงที่สุดก็เอ่ยถ้อยคำที่มาจากประสบการณ์ของตัวเองเช่นกัน “เรื่องจริงที่ตาเห็นคือเรื่องจริง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ความจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยากยิ่งที่จะใช้เหตุผล”
การทะเลาะเบาะแว้งที่ผู้คนเถียงกันไม่เลิกราในหลายๆ ครั้ง ไม่ได้อยู่ที่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งไร้เหตุผลอย่างสุดโต่ง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็มีเหตุผลอย่างสุดโต่ง แต่อยู่ที่ว่าเหตุผลของแต่ละคนต่างก็มีความมากน้อยและความผิดความถูก
หลินจวินปี้ถาม “สถานการณ์นี้สามารถคลี่คลายได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “แน่นอน”
“จะทำอย่างไร?”
“ทำให้แน่ใจก่อนว่ามันมิอาจแก้ไขได้”
ทุกคนต่างอึ้งงันกันไปหมด
มีเพียงหลินจวินปี้ที่คล้ายจะเข้าใจ
รอกระทั่งผังหยวนจี้กลับมานั่งที่แล้ว
เฉินผิงอันจึงใช้เสียงในหัวใจพูดกับคนสามคน เซียนกระบี่โฉวเหมียว หลินจวินปี้ ผังหยวนจี้
เซียนกระบี่โฉวเหมียวปฏิเสธไปโดยตรง
ส่วนผังหยวนจี้ที่กำลังอยู่ในอารมณ์อัดอั้นจึงคร้านที่จะพูดแม้แต่คำเดียว
หลินจวินปี้ถาม “ใต้เท้าอิ่นกวาน ทั้งๆ ที่ท่านเป็นคนลากตัวปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนนั้นออกมาได้ เหตุใดถึงจะต้องแบ่งคุณความชอบที่ใหญ่เทียมฟ้านี้มาให้กับพวกเราสามคน?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คลี่คลายสถานการณ์อย่างไรล่ะ หากคุณความชอบอยู่ที่ตัวข้าคนเดียว ทุกวันนี้จะมีคนเชื่อไหม? ต่อให้เชื่อ แล้วอย่างไรล่ะ? ใช่แล้ว รอกระทั่งจิตใจของพวกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ดิ่งลงเหวแล้ว ยกตัวอย่างเช่นมีคนจับกลุ่มกันมาโวยวายนอกคฤหาสน์หลบร้อน เซียนกระบี่โฉวเหมียวที่ขอบเขตสูงที่สุดก็รับหน้าที่เดินขึ้นหัวกำแพงเมือง หิ้วหัวปีศาจใหญ่ตนนั้นนำไปส่งเป็นของขวัญกลับคืนแก่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง”
ผังหยวนจี้เอ่ย “หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นอย่างนี้ ข้าก็ควรจะตอบตกลงดื่มเหล้าแล้วเมาให้ตายอยู่ข้างนอกไปซะ”
กวอจู๋จิ่วไม่รู้ว่าอาจารย์กำลังพึมพำอะไรกับใครอยู่
น่าจะกำลังปรึกษาธุระกันกระมัง
สุดท้ายกวอจู๋จิ่วก้มหน้าลงมองวัตถุจื่อชื่อและวัตถุฟางชุ่นสองชิ้นบนโต๊ะที่นางมีหน้าที่ดูแล ต่างก็เป็นการแสดงความเคารพจากถ้ำซานสุ่ยฝูเหยาทวีป
วัตถุจื่อชื่อที่เป็นแท่นฝนหมึกโบราณชิ้นนั้นคือแท่นฝนหมึกที่มีลายมังกรขุยหลงกัดแท่นฝนหมึก แกะสลักตัวอักษรว่า ‘เมฆคล้อยน้ำตระหง่าน วาสนาอักษรลึกล้ำ’
ส่วนพัดกลมที่มีประกายแสงเรืองรองไหลริน ตัวอักษรด้านบนก็ยิ่งมีกลิ่นอายแห่งความงาม ‘คลื่นน้ำดุจแสงทองพริบพราว จันทร์กลมโตกระจ่างดุจก้อนหยก ผู้เฒ่าโง่เขลาฝันว่าได้เยือนตำหนักดวงจันทร์ ตัดกิ่งกุ้ยที่ไหวเพยิบ เพราะทุกคนต่างพูดว่า แสงจันทร์ที่สาดส่องไปยังโลกมนุษย์จะมีมากกว่า คืนนี้ดวงจันทร์กลมโตเป็นที่สุด แสงตะเกียงส่องจากนับร้อยนับหมื่นเรือน’
อาจารย์แอบมาพูดกับนางเป็นการส่วนตัวว่า ขอแค่สะสมคุณความชอบทางการสู้รบไว้ได้บ้าง สมบัติสองชิ้นนี้ พวกเราสองอาจารย์และศิษย์ก็สามารถเก็บเอาไว้เองได้
ต่งปู้เต๋อพลันเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “ลวี่ตวน พัดที่เป็นวัตถุฟางชุ่นชิ้นนั้น ข้าหมายตาไว้นานแล้ว”
กวอจู๋จิ่วถาม “หากเฉินซานชิวเคยถือไว้ในอ้อมอกมาก่อน พี่หญิงต่งท่านจะยังต้องการอีกหรือไม่?”
ต่งปู้เต๋อหัวเราะเสียงเย็น “เฉินซานชิวคิดจะเห็นพัดชิ้นนี้ เจ้าก็ต้องชนกำแพงของคฤหาสน์หลบร้อนให้แตกเพื่อเปิดทางให้มันก่อน”
กวอจู๋จิ่วยื่นมือข้างหนึ่งมาตบหน้าผากตัวเอง พูดอย่างลำพองใจว่า “วิชาหัวเหล็กนี้ของข้าร้ายกาจนักล่ะ ขนาดอาจารย์ก็ยังสู้ไม่ได้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ต้องคิดแข่งกันเรื่องนี้ จำไว้ว่านี่ไม่ใช่สุดยอดเคล็ดวิชาของสำนักอะไร เป็นวิชาเจ้าที่บรรลุมาได้เอง”
กวอจู๋จิ่วพยักหน้ารับ “วิชากระบี่มารคลั่งชุดนั้นของศิษย์พี่หญิงใหญ่ บวกกับสุดยอดวิชานี้ของข้า วันหน้าล้วนสามารถสร้างชื่อเสียงเลื่องลือได้!”
เฉินผิงอันโบกมือ จับจ้องม้วนภาพวาดที่อยู่บนพื้นต่อไป
กวอจู๋จิ่วลูบคลำหัวน้อยๆ ของตุ๊กตาหิมะตัวน้อย ยิ่งนานก็ยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ แล้ว
เฉินผิงอันพลันเอ่ยถาม “ลู่จือใกล้จะกลับมาภูเขาห้อยหัวแล้วใช่ไหม?”
หลินจวินปี้พยักหน้ารับ “หากไม่ผิดไปจากที่คาด ก็น่าจะกลับมาวันนี้พร้อมกับเส้าอวิ๋นเหยียน”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “โฉวเหมียว ไปภูเขาห้อยหัวกับข้าหน่อย”