ซูเจี้ยไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “คุณชายหลิวชอบซูเจี้ย เพราะเจ้าคือหลิวป้าเฉียวที่เป็นผู้ฝึกกระบี่มากพรสวรรค์แห่งสวนลมฟ้าซูเจี้ยก็ต้องซาบซึ้งในพระคุณของเจ้าหรือ?”
หลิวป้าเฉียวส่ายหน้า “ใต้หล้าไม่มีเหตุผลเช่นนี้ เจ้าไม่ชอบข้า ถึงจะถูกต้องแล้ว”
ซูเจี้ยปิดหนังสือ วางลงบนโต๊ะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “หากคุณชายหลิวรู้สึกผิดเพราะปีนั้นศิษย์พี่ของเจ้าถามกระบี่แล้วเอาชนะข้าได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็สามารถพูดกับคุณชายหลิวอย่างจริงใจได้ว่า ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้าไม่อาฆาตแค้นศิษย์พี่หวงเหอของเจ้า ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ ปีนั้นที่ข้าได้ถามกระบี่กับเขา ก็ยิ่งทำให้รู้ว่าไม่ว่าจะพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่หรือตบะและขอบเขตของหวงเหอก็ล้วนเหนือข้าไปไกล แพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว นอกจากนี้หากคุณชายหลิวรู้สึกว่าเมื่อข้าพ่ายแพ้ ถูกตัดชื่อออกจากศาลบรรพจารย์ กลายมามีสภาพอย่างในทุกวันนี้ แล้วจะรู้สึกเคียดแค้นภูเขาตะวันเที่ยง ถ้าอย่างนั้นคุณชายหลิวก็ยิ่งเข้าใจข้าผิดแล้ว”
สายตาของซูเจี้ยใสกระจ่าง “นับตั้งแต่เด็กมาข้าก็ฝึกตนอยู่บนภูเขา ไม่เคยมีความทรงจำใดๆ ต่อด้านล่างภูเขา ดังนั้นนับแต่ที่จำความได้ก็มองภูเขาตะวันเที่ยงเป็นบ้านเกิดเพียงหนึ่งเดียวมาโดยตลอด”
หลิวป้าเฉียวเอ่ยเสียงเบา “ขอแค่แม่นางซูยังเปิดร้านอยู่ที่นี่ต่อ ข้าก็จะจากไปเดี๋ยวนี้ และยังรับรองว่าต่อจากนี้ไปจะไม่มาตอแยแม่นางซูอีก”
ซูเจี้ยพูดอย่างฉุนๆ ปนขำ “บอกกับเจ้าแต่แรกแล้วว่า ข้าเปิดร้านหนังสืออยู่ที่นี่ และซื้อบ้านหลังเล็กๆ ไว้หลังหนึ่ง ข้าใช้เงินเก็บสะสมทั้งหมดที่มีไปหมดแล้ว ต่อให้ข้าอยากจะย้าย แต่จะย้ายไปไหนได้เล่า? หวังเพียงว่าคุณชายหลิวจะรักษาสัญญา”
หลิวป้าเฉียวพยักหน้ารับ “แน่นอน”
สุดท้ายหลิวป้าเฉียวก็ยังคงไม่ข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามา เพียงเอ่ยถามว่า “ขอข้านั่งอยู่บนธรณีประตูนี่สักพักได้หรือไม่? แค่แปบเดียวเท่านั้น”
ซูเจี้ยอ่อนใจอย่างยิ่ง
และหลิวป้าเฉียวผู้นั้นก็นั่งลงบนธรณีประตูจริงๆ
รอกระทั่งแสงสายัณห์ลากเงาคนให้ยาวขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดหลิวป้าเฉียวก็ลุกขึ้นแล้วจากไป
รวงข้าวที่สุกงอมก็คือคำว่าเจี้ย คนที่ชอบปลูกข้าวมีมากมาย
ชอบสตรีคนหนึ่งที่เป็นเช่นนี้ มีอะไรผิด
ในร้านหนังสือ ซูเจี้ยส่ายหน้า หวังเพียงว่าเรื่องประหลาดนี้จะจบลงเพียงแค่นี้
เรื่องที่หลิวป้าเฉียวชอบนาง อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นความลับอะไรในภูเขาตะวันเที่ยงและสวนลมฟ้ามานานแล้ว เพียงแต่ว่าซูเจี้ยไม่ได้ชอบเขาจริงๆ
ซูเจี้ยปิดประตูร้านหนังสือ กลับไปที่เรือนหลังเล็ก
ปีนั้นหลังจากการถามกระบี่ ซูเจี้ยสูญเสียทุกสิ่ง ยอดเขาแห่งหนึ่ง สถานะผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกที่อาจารย์มอบให้…
เป็นเหตุให้ทุกวันนี้ทั่วร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน ได้แต่มาหลบซ่อนตัวอยู่ในหมู่ชาวบ้าน
ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรคอะไรเลย เพียงแต่ว่านางรับมือกับเรื่องราวที่ทำให้ทุกข์ใจน้อยใหญ่เหล่านั้นมาได้อย่างยากลำบาก แล้วก็เดินผ่านมันมาได้
สำหรับภูเขาตะวันเที่ยง ก็เหมือนที่นางกล่าว ไร้ความเกลียดแค้น ถึงขั้นที่ว่ายังมีความรู้สึกผิดอย่างที่ไม่อาจปล่อยวางได้
สิ่งที่ยากจะปล่อยวาง มีเพียงแค่คนบางคนกับคำพูดบางคำพูดเท่านั้น
เกี่ยวกับลูกศิษย์คนสุดท้ายของหลี่ถวนจิ่ง หวงเหอเจ้าสวนลมฟ้าในทุกวันนี้ ซูเจี้ยกลับรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่มิอาจบรรยายได้ มักจะทำให้นางสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายอยู่เป็นประจำ
มิอาจเข้าใจ ย่อมยากที่จะปล่อยวาง
ปีนั้นหวงเหอที่อยู่บนหอเทพเซียนของศาลลมหิมะซึ่งเป็นสถานที่ในการถามกระบี่ทั้งสามครั้ง บุรุษผู้นั้นสะพายกล่องกระบี่ ด้านในบรรจุกระบี่เล็กไว้จนเต็ม แต่กลับไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต เขาแบ่งสมาธิมาควบคุมกระบี่เหล่านั้นได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
กระบี่หนึ่งแทงทะลุมือข้างที่ถือกระบี่ของซูเจี้ย ครั้งหนึ่งตัดสะบั้นเชือกแดงที่ผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอว สุดท้ายกระบี่บินสองเล่มแยกกันปักตรึงลงบนข้อมือสองข้าง
หลังจากที่ซูเจี้ยล้มลงและกำลังจะหมดสติ ภาพสุดท้ายก่อนที่นางจะหลับตาก็คือหวงเหอผู้นั้นเหยียบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้วขยี้เบาๆ
บุรุษที่เป็นดั่งขุนเขา แข็งแกร่งราวกับภูเขาตระหง่านไร้ศัตรูทัดทาน แต่กลับเลือดเย็นไร้น้ำใจนัก
ถึงขั้นที่ว่าต่อให้วันนี้ได้พบหลิวป้าเฉียว แท้จริงแล้วซูเจี้ยก็ยังใจสั่นไม่หาย เพราะเขาทำให้นางอดนึกไปถึงหวงเหอผู้นั้นไม่ได้ พอนึกถึงหวงเหอก็นึกถึงฝันร้าย นึกถึงตัวการนั้น
ซูเจี้ยเดินอยู่ในตรอกที่เงียบสงบ นางยื่นมือข้างหนึ่งออกมากอดไหล่ ราวกับว่าจะหาความอบอุ่นให้ตัวเอง
เดินไปเดินมา ซูเจี้ยก็หน้าซีดขาว เอนตัวเอาหลังแนบติดผนัง ก่อนจะยกมือขึ้นนวดคลึงหว่างคิ้วแรงๆ
ผ่านไปนาน ซูเจี้ยถึงยกหลังมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วเดินตรงไปที่เรือนหลังเล็ก
ซูเจี้ยไปถึงเรือนที่ตั้งอยู่สุดตรอก พอเปิดประตูออก นางก็ต้องอึ้งตะลึง จากนั้นน้ำตาก็พลันไหลอาบใบหน้า
อีกฝ่ายอยู่ในรูปลักษณ์ของสตรีที่ออกเรือนแล้ว แต่ก็เหมือนที่หลิวป้าเฉียวจำนางซูเจี้ยได้ในปราดเดียว ซูเจี้ยเองก็จำสตรีที่อยู่ตรงหน้าได้ในปราดเดียวเช่นกัน
ก็คืออาจารย์ที่พานางขึ้นเขาไปฝึกตน
แต่ไม่รู้เหตุใด ในทำเนียบศาลบรรพจารย์กลับไม่ได้บันทึกไว้เช่นนี้ ซูเจี้ยได้ย้ายไปอยู่ในสายของบรรพจารย์ท่านหนึ่งของภูเขาตะวันเที่ยง กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สายนั้นนานแล้ว
ส่วนอาจารย์ของนางกลับยังคงถูกบันทึกไว้ว่าไม่มีลูกศิษย์ ทว่าลำดับศักดิ์ของอาจารย์กลับไม่ต่ำ เพียงแต่ว่าชื่อเสียงไม่โดดเด่นนักในภูเขาตะวันเที่ยง
เมื่อก่อนทุกครั้งที่มีการประชุมกันในศาลบรรพจารย์ อาจารย์ของนางแทบไม่เคยปรากฏตัว เก้าอี้ที่ตำแหน่งอยู่ค่อนไปทางด้านหลังล้วนว่างเปล่ามาโดยตลอด เพราะว่าอาจารย์ชอบลงจากภูเขาไปท่องเที่ยว จากไปครั้งหนึ่งก็มักจะนานสิบปีหลายสิบปี
นางถอนเวทอำพรางตาออก ก็คือผู้ฝึกหญิงของภูเขาตะวันเที่ยงที่เข้าร่วมการประชุมในห้องทรงพระอักษรของต้าหลี ตอนนั้นนางนั่งอยู่ท้ายสุด ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครสนใจนางสักคน
รูปโฉมอ่อนเยาว์ แต่ไม่ถือว่างดงามสักเท่าไร
นางเดินมาหยุดอยู่ข้างกายซูเจี้ยที่น้ำตากลบตา ยื่นมือออกมาลูบศีรษะของซูเจี้ยเบาๆ ยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เด็กโง่ อาจารย์ก็แค่ออกจากภูเขาตะวันเที่ยงไปท่องเที่ยวไม่กี่ปี เจ้ากลับมีสภาพเช่นนี้แล้ว ทำไม ไม่มีอาจารย์อยู่ข้างกายก็กลายเป็นเด็กน้อยที่ไม่กล้าเดินตอนกลางคืนคนเดียวมาโดยตลอดเลยหรือ? หากรู้อย่างนี้ตั้งแต่แรกคงไม่ส่งเจ้าไปที่ยอดเขาอวี้ฮว่าแล้ว”
ดวงตาเรียวยาวคลอประกายน้ำของซูเจี้ยหยีลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว
ดูเหมือนว่าเมื่อมีอาจารย์อยู่ข้างกายนางก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกเลยจริงๆ กลายไปเป็นแม่นางน้อยที่ไร้ทุกข์ไร้กังวลอย่างในปีนั้นอีกครั้ง
สตรีผู้นั้นดึงมือกลับ บนข้อมือของนางรัดเชือกสีแดงไว้เส้นหนึ่ง
สตรีอยู่เพียงชั่วครู่ก็ลุกขึ้นจากไป
ไม่ได้บอกว่าจะพาซูเจี้ยกลับไปที่ภูเขาตะวันเที่ยงด้วยกัน ให้นางได้คืนสู่สถานะของผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ ยิ่งไม่ได้พูดว่าในอนาคตน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นจะตกเป็นของใคร
แต่ซูเจี้ยกลับรู้สึกว่าชีวิตที่เงียบสงบเช่นนี้ก็ไม่ได้ทุกข์ทรมานอย่างที่คิด แม้ว่าในใจจะมีความเสียดายมากมาย แต่ไปเฝ้าอยู่ที่ร้านหนังสือทุกวัน หาเงินเหรียญทองแดงมาได้ กลับทำให้จิตใจสงบได้มาก แน่นอนว่าไม่รวมถึงฝันร้ายนั้น
หลังจากที่สตรีจากไป นางก็กลับคืนสู่รูปโฉมของสตรีทั่วไปที่สวมชุดกระโปรงธรรมดาอีกครั้ง
สตรีจากไปได้ไม่นาน
เสียงประตูก็ดังขึ้น
ซูเจี้ยรีบวิ่งไปเปิดประตู เข้าใจผิดนึกว่าอาจารย์ย้อนกลับมา แต่แล้วซูเจี้ยก็ต้องผงะเซถอยหลัง เรือนกายโงนเงน
ซูเจี้ยที่จิตแห่งกระบี่ถูกทำลาย ขอบเขตถดถอยเหลือเพียงห้าขอบเขตล่างกลับเทียบสตรีชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ
บุรุษผู้นั้นยืนอยู่นอกประตู พูดเนิบช้าด้วยสีหน้าเย็นชา “ซูเจี้ย เจ้าน่าจะรู้ดีว่าวันหน้าหลิวป้าเฉียวจะต้องแอบมาหาเจ้าอีก ก็แค่ไม่ให้เจ้ารู้เท่านั้น ตอนนี้เจ้ามีสองทางเลือก หากไม่ไสหัวกลับภูเขาตะวันเที่ยงใช้ชีวิตอยู่รอดไปวันๆ ก็หาบุรุษสักคนแล้วแต่งงานกับเขา เป็นภรรยาที่ตั้งใจอบรมบุตรช่วยเหลือสามีไปซะ หากหลังจากนั้นหลิวป้าเฉียวยังคงไม่ถอดใจต่อเจ้า จนถ่วงรั้งการฝึกกระบี่ของเขา ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะทำให้เขาต้องถอดใจอย่างสิ้นเชิง”
ซูเจี้ยกัดริมฝีปากแน่นจนเลือดไหลซึม แต่นางกลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
คนผู้นี้ก็คือเจ้าสวนลมฟ้าที่ไม่รู้ว่าฝ่าด่านออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ หวงเหอ
หากไม่เป็นเพราะมีเซียนกระบี่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ หวงเหอก็น่าจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่อันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้แล้ว
หวงเหอพูดจบก็ขี่กระบี่จากไปทันที
หากไม่เป็นเพราะหลิวป้าเฉียวคือคนที่อาจารย์ให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด หวงเหอก็คร้านจะสนใจเรื่องความรักชายหญิงที่น่าเบื่ออย่างถึงที่สุดพวกนี้
หากไม่เป็นเพราะสวนลมฟ้าจำเป็นต้องมีคนอีกคนหนึ่งที่หากเขาหวงเหอเกิดเรื่องไม่คาดฝัน จะสามารถกลายเป็นเสาคานหลักได้ หวงเหอก็ถึงขั้นรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องสนใจหลิวป้าเฉียวด้วยซ้ำ
ทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ฝึกกระบี่เหมือนกัน เพียงแต่มหามรรคาแตกต่างห่างกันมากเกินไป
ครั้งนี้หวงเหอปิดด่านแล้วออกจากด่านได้สำเร็จ ก็ต้องรอให้บรรพจารย์บางท่านของภูเขาตะวันเที่ยงมาถามกระบี่ที่สวนลมฟ้า
สะกดรอยตามหลิวป้าเฉียวมาเป็นระยะทางยาวไกลกระทั่งมาถึงที่นี่ มีอยู่หลายครั้งที่หวงเหอเกือบอดไม่ไหวอยากลงมือใช้กระบี่ทุบให้หลิวป้าเฉียวสลบไปกลางทาง แล้วลากตัวเขากลับสวนลมฟ้า ให้เจ้าคนที่ใช้พรสวรรค์อย่างสิ้นเปลืองผู้นี้ปิดด่านไปสักหนึ่งร้อยปี
ซูเจี้ยปิดประตูอย่างคนที่จิตวิญญาณไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เอนหลังพิงประตู ตัวอ่อนยวบทรุดไปกองบนพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้น
หวงเหอที่เป็นดั่งวิญญาณร้ายตามติดผู้นั้น ต่อไปนางจะรับมืออย่างไร
อาจารย์ของซูเจี้ย สตรีผู้นั้นเพิ่งจะเดินออกจากประตูเมืองก็เงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วออกเดินทางต่อ ไม่ได้ไปยังภูเขาตะวันเที่ยง แต่ไปหาลูกศิษย์คนถัดไป
ส่วนสวนลมฟ้า หลายร้อยปีข้างหน้าก็ได้แต่หยุดชะงักอยู่ตรงนี้แล้ว
ศิษย์พี่ศิษย์น้องผูกปมแค้นต่อกัน
เหลือหวงเหอคนเดียวก็ดี เหลือหลิวป้าเฉียวคนเดียวก็ช่าง อย่างมากสุดก็แค่มีหลี่ถวนจิ่งคนถัดไปเท่านั้น
จุดที่น่าสนใจไม่ได้อยู่ที่ว่าซูเจี้ยไม่ชอบหลิวป้าเฉียว และวันหน้านางก็จะยังไม่ชอบอยู่ดี แต่อยู่ที่ว่าแม้กระทั่งตัวซูเจี้ยเองก็ยังไม่รู้ว่า คนที่นางชอบ แท้จริงแล้วคือหวงเหอ
หากหลิวป้าเฉียวและหวงเหอต้องมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายกันทั้งสองคน แน่นอนว่ายิ่งดี
ส่วนสตรีของภูเขาตะวันเที่ยงที่เมื่อหลายร้อยปีก่อนถูกหลี่ถวนจิ่งสังหารเองกับมือ ในความเป็นจริงแล้วก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของสตรีที่กำลังเดินเท้าอยู่ผู้นี้ นางเองก็เป็นเหมือนซูเจี้ยที่ต่างก็ไม่ได้รับการบันทึกชื่อว่าเป็นลูกศิษย์ของตน
และก็มีสตรีบางคนที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ที่ต่างก็มีความเกี่ยวข้องกับนาง
บางครั้งนางก็ทำเรื่องเล็กบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานะอาจารย์และศิษย์
ยกตัวอย่างเช่นว่าเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะได้พบเจอและชอบเฮ้อเสี่ยวเหลียงได้อย่างไร
ราชวงศ์จูอิ๋งในอดีตก็มีเรื่องเล็กเก่าแก่ปีมะโว้ขี้หมูราขี้หมาแห้งบางส่วน
โดยไม่ทันรู้ตัว โชคชะตาของวิถีกระบี่ในหนึ่งทวีปตลอดพันปีที่ผ่านมาก็ล้วนถูกนางเล่นอยู่ในฝ่ามือเช่นนี้ ไม่กล้าพูดว่าทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ต้องมีครึ่งหนึ่ง
นอกจากนี้นางยังเคยไปเยือนใบถงทวีป และทิ้งคำทำนายประโยคหนึ่งไว้ที่สำนักฝูจี
นางสะบัดชายแขนเสื้อ ยกข้อมือขึ้นเล็กน้อย ก้มหน้าลงมองแล้วก็หัวเราะ ก่อนจะถอนสายตากลับมา เดินหน้าต่ออีกครั้ง
คนฉลาดบนยอดเขามากมายก็เชี่ยวชาญเรื่องการวางแผนที่ซุกซ่อนเบาะแสให้ตามหา เพียงแต่ว่าเบาะแสเช่นนี้ ถึงอย่างไรแล้วก็เป็นแค่เส้นเบาะแส ง่ายที่จะขาดออก แค่ขาดก็สูญสิ้นไม่มีเหลือ
แต่บนโลกมีเพียงเส้นเส้นเดียวที่หากสำเร็จขึ้นมา ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ก็ยังยากที่จะตัดขาด แม้จะมองดูเหมือนว่าขาดออกแล้ว ทว่าแท้จริงแล้วกลับยังเป็นดั่งก้านบัวหักที่เหลือใย จะยังพัวพันไปตลอดชีวิต
เว้นเสียจากว่ามีคนที่วางแผนได้อย่างลึกล้ำยาวไกล อีกทั้งยังเชี่ยวชาญด้านการสาวเส้นไหมในจุดที่ละเอียดอ่อนอย่างถึงที่สุด ถึงจะมีหวังให้รับมือกับเงื่อนตายของสถานการณ์นี้ได้ดีหน่อย
หากกระชากต้นตอของเส้นเบาะแสขึ้นมา อีกทั้งยังไม่ใช่เซียนกระบี่ที่ออกกระบี่ อันที่จริงก็ไม่มีทางมีใครตายได้ แต่ส่วนมากแล้วมักจะอยู่ไม่สู้ตาย จากนั้นก็หวังให้ตัวเองตายๆ ไปจะได้จบสิ้นกัน
นางไม่เคยประเมินศัตรูของตัวเองต่ำ
ดังนั้นคนบางคนที่นางสนใจ นางจึงต้องฝังเส้นเบาะแสไว้หลายๆ เส้นหน่อย
พวกคนลุ่มหลงในรักบนโลก มักเป็นคนที่ชอบเรื่องของความเสียใจ หาความสุขได้จากความทุกข์ มีความสุขไปกับมัน ไม่เสียใจแล้วจะถือว่าเป็นคนที่ลุ่มหลงในรักได้อย่างไร
ความคิดของนางล่องลอยไปไกล
น่าเสียดายก็แต่ไม่ได้เจอกับศิษย์พี่มานานหลายปีแล้ว
คราวก่อนอันที่จริงอยู่ใกล้กันมากแล้ว ถึงขั้นเรียกได้ว่าเดินสวนไหล่ผ่านกันไป ช่วยไม่ได้ ขอแค่ศิษย์พี่มีใจคิดหลบเลี่ยงนาง ต่อให้นางเบิกตากว้างมองค้างจนตาบอด ต่อให้อยู่ใกล้ในระยะประชิดก็ไม่แน่เสมอไปว่านางจะจำเขาได้
ได้ยินว่าการปรากฏตัวครั้งก่อนของเขาอยู่ใกล้กับอารามกวานเต๋าของใบถงทวีป
ศิษย์พี่มีข้อหนึ่งที่ไม่ดี ยืมด้ายแดงบนข้อมือนางไป ชอบยืมแล้วไม่คืน
สตรีพลันเอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “คงไม่ใช่ว่าถูกใครจับได้แล้วกระมัง?”
แล้วนางก็ส่ายหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นไปไม่ได้แน่นอน เพิ่งจะกี่ปีเอง ไยต้องสนใจภูเขาตะวันเที่ยงเล็กๆ แห่งหนึ่งด้วย?”
……
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเนื้อตัวมอมแมมหลังค่อม ก่อนหน้านี้ไปลูบคลำมือน้อยๆ ที่ร้านเหล้าในเมืองเล็กมา โดนด่าขำๆ มาสองสามคำ จากนั้นก็มาเดินเตร็ดเตร่อยู่บนถนนเส้นที่ตั้งร้านตระกูลหยาง
เด็กหนุ่มสือหลิงซานที่เป็นทั้งลูกจ้างร้าน แล้วก็เป็นทั้งลูกศิษย์ของหยางเหล่าโถวนั่งอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน กำลัง ‘ลุยน้ำ’ หลอมจิตวิญญาณ จิตใจจ่อมจมอยู่ภายใน นั่งนิ่งอย่างสงบ กึ่งหลับกึ่งตาย
ซูเตี้ยนที่เมื่อเทียบกับสือหลิงซานผู้เป็นศิษย์น้องแล้วขยันฝึกตนมากกว่า วันนี้กลับไม่ได้ฝึกวิชาหมัดด้วยวิชาประหลาดนั้น แต่มานั่งอาบแดดอยู่ตรงหน้าประตู เห็นศิษย์พี่เจิ้งต้าเฟิงเดินเตร็ดเตร่มาใกล้ ซูเตี้ยนก็ลุกขึ้นยืน เจิ้งต้าเฟิงกวักมือเอ่ยว่า “แม่หนูซู เหตุใดถึงได้งดงามขึ้นอีกแล้วเล่า หากยังงามแบบนี้ต่อไป พอศิษย์พี่คิดว่าวันหน้าเจ้าต้องออกเรือน ในใจศิษย์พี่ก็ยิ่งรู้สึกช้ำชอกแล้ว”
เดินเข้ามาใกล้ซูเตี้ยน เจิ้งต้าเฟิงก็ตีอกชกตัวอย่างเจ็บปวดหัวใจ