เผยเฉียนแทะเมล็ดแตงเสร็จก็เริ่มนับนิ้ว “อาจารย์พ่อของข้า ซานจวินเว่ย ห่านขาวใหญ่ ผู้ถวายงานโจวเฝย อันที่จริงภูเขาลั่วพั่วก็มีคนหน้าตาดีอยู่เยอะเหมือนกันนะ”
โจวหมี่ลี่ยื่นมือมาป้องปาก ขยับมาข้างหูเผยเฉียนแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “พรรคบนภูเขาใช้วิชาบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำก็สามารถหาเงินได้แล้วนะ เขาเคยบอกว่า อันที่จริงการหาเงินที่ง่ายที่สุดในใต้หล้านี้ก็คือการหาเงินเทพเซียนประเภทนี้ของพวกเทพธิดา”
เผยเฉียนดึงหูโจวหมี่ลี่ “คิดอะไรอยู่? อาจารย์พ่อของข้าจะหาเงินแบบนี้ได้อย่างไร?”
โจวหมี่ลี่เปลี่ยนคำพูดใหม่ “ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด!”
เผยเฉียนปล่อยมือ หัวเราะคิกเอ่ยว่า “แต่สามารถให้ห่านขาวใหญ่ ซานจวินเว่ยและโจวเฝยสามคนขายรูปลักษณ์ของตัวเองหาเงินมาได้ ไม่แน่ว่าเงินทองอาจไหลมาเทมาก็เป็นได้”
โจวหมี่ลี่รีบทำท่าเปิดหนังสือคัดตำรา
เผยเฉียนพยักหน้า “ได้สิ เดี๋ยวจะจดคุณความชอบของเจ้าลงในบัญชี”
จูเหลี่ยนพูดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ตอนนี้น่ะทำได้ สามารถเอาไปพูดในการประชุมของศาลบรรพจารย์คราวหน้าได้เลย”
เผยเฉียนรวมเสียงให้เป็นเส้นพูดกับพ่อครัวเฒ่า “ตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เจอเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ชื่อว่าหมี่อวี้ หน้าตาเขาก็พอใช้ได้ ก็แค่โง่ไปหน่อย มองดูสภาพจิตใจของเขาเห็นแต่ดอกไม้ผลิบานอยู่ทั่วทุกพื้นที่ เป็นคนหลายใจ ช่างน่าขำนัก มาหาเรื่องพวกเรา อาจารย์พ่อและห่านขาวใหญ่ต่างก็ไม่ได้ลงมือ แต่หมี่อวี้ผู้นั้นก็เกือบจะถูกอาจารย์ลุงใหญ่ปล่อยกระบี่หนึ่งเข้าใส่ อันที่จริงเขาเองก็สามารถทำความดีชดใช้ความผิดนะ ให้มาทำหน้าที่เป็นลูกศิษย์นักการอันดับหนึ่งของฝ่ายนอกภูเขาลั่วพั่วเรา รวมกับพวกห่านขาวใหญ่แล้วก็ครบสี่คนพอดี ช่วยภูเขาลั่วพั่วหาเงินได้มากพอแล้วก็สามารถกลับบ้านได้”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราต้องการเซียนกระบี่มาช่วยคุมสถานการณ์จริงๆ นั่นแหละ ต่อให้จะเป็นแค่ชั้นวางดอกไม้ที่สวยแต่รูปก็ได้เหมือนกัน”
จากนั้นจูเหลี่ยนก็พลันหัวเราะดังลั่น แล้วก็ไม่บอกต้นสายปลายเหตุแก่เผยเฉียนและโจวหมี่ลี่
ชุยตงซาน เป็นห้าขอบเขตบนแล้ว
น้องเว่ยป้อก็เป็นซานจวินขุนเขาเหนือห้าขอบเขตบน
ผู้ถวายงานโจวเฝย หรือควรเรียกว่าเจียงซ่างเจินก็ยิ่งเป็นขอบเขตเซียนเหริน ตอนนี้ยังเป็นถึงเจ้าสำนักของสำนักกุยหยก
หากบวกกับหมี่อวี้เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบเข้าไปอีกคน
ถึงอย่างไรสี่คนนี้ก็ไม่เคยเห็นว่าหน้าตาเป็นเรื่องสำคัญอยู่แล้ว หาเงินเทพเซียนด้วยวิชาบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ พวกเขาต้องไม่มีใครที่รู้สึกอึดอัดแน่นอน
จูเหลี่ยนเอนตัวไปด้านหลัง ชำเลืองตามองกลอนคู่ปีใหม่คู่เก่าที่อยู่ในห้องหลัก ถูกลมพัดตากแดดตากฝนมาหนึ่งปี ปกป้องเรือนมาหนึ่งปี อีกไม่นานก็จะต้องถูกเปลี่ยนแล้ว
จูเหลี่ยนเอ่ย “การเชิญกลอนคู่ของที่นี่ไม่ค่อยเหมือนกับบ้านเกิดของข้าสักเท่าไร ที่นั่นมีการเชิญสองครั้ง ช่วงฤดูใบไม้ผลิ เชิญกลอนคู่ขึ้นคาน คือการเชิญอย่างที่หนึ่ง บ้านเกิดของนายน้อยก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่าที่บ้านเกิดของข้ายังมีการเชิญอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือหนึ่งวันก่อนวันที่สองเดือนสอง จะต้องเชิญกลอนคู่ลงจากคาน นั่นก็คือการเชิญกลอนลงมา แล้วเชิญไปที่เตาไฟรอบหนึ่ง จึงจะถือว่าสร้างคุณความชอบอย่างสมบูรณ์แล้ว ตามคำกล่าวโบราณ กลอนคู่วันปีใหม่พวกนี้เป็นการอัญเชิญควันธูปอีกชนิดหนึ่งให้แก่เทพเซียนของฝ่ายต่างๆ จากนั้นก็ต้องเขียนกลอนอีกครั้งและเชิญกลอนอีกครั้ง จึงจะปกป้องฮวงจุ้ยของแต่ละครอบครัวเอาไว้ได้ ยังมีการแปะตัวอักษรฝูกลับหัวที่ต้องแปะไว้ในบ้าน ห้ามแปะไว้หน้าประตูใหญ่ เพราะความโชคดีความสุขมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว แต่ก็ยังไม่ถือว่าได้เข้ามาในบ้านจริงๆ บางครอบครัวบรรพบุรุษสะสมบุญกุศลเอาไว้ ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลจึงเที่ยงตรง แน่นอนว่าสามารถรั้งไว้ได้อยู่ แต่ก็มีบางส่วนที่รั้งไว้ไม่ได้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดจึงควรต้องเอาไปแปะไว้ในบ้าน”
เผยเฉียนกลอกตามองบน “ข้าอายุน้อยๆ ก็ออกท่องยุทธ มีสี่สมุทรเป็นบ้านแล้ว จะต้องรู้เรื่องพวกนี้ไปทำอะไร”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เผยเฉียนก็เอ่ยกับโจวหมี่ลี่เสียงเบาว่า “อันที่จริงแม้แต่ที่พักก็ยังไม่มี”
โจวหมี่ลี่พยักหน้ารับอย่างแรง “ล้วนเป็นอย่างนี้ ล้วนเป็นอย่างนี้กันหมด ร่อนเร่พเนจร ใช้คำว่าพเนจรได้ดีนัก ตรงความหมาย ตรงความหมายดีจริงๆ ข้าเองก็เป็นยุทธภพน้อยแห่งหนึ่ง แล้วก็ชอบไปเตร็ดเตร่พเนจรที่ทะเลสาบคนใบ้”
โจวหมี่ลี่ชูสองมือแกว่งไปแกว่งมาทำท่าทางประกอบ
เผยเฉียนชอบคุยกับโจวหมี่ลี่ก็อย่างนี้ เพราะว่าเวลาพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองตอนเด็กๆ นางไม่ต้องกลัวว่าจะอับอาย เพราะหมี่ลี่น้อยไม่เข้าใจถึงความแตกต่างของความร่ำรวยมีหน้ามีตากับความยากจนข้นแค้นเลยแม้แต่น้อย
เผยเฉียนกดหัวของหมี่ลี่น้อยแกว่งเป็นวงหนึ่งรอบ
แม่นางน้อยชุดดำให้ความร่วมมืออย่างดีเยี่ยม
จูเหลี่ยนเอ่ย “หมัดไม่ได้อยู่ที่น้ำหนัก”
เผยเฉียนถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เจ้ารู้สึกว่าข้าลงมือใส่เหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ผู้นั้นหนักหรือไม่?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “ไม่ถือว่าเบาแล้วล่ะ”
จูเหลี่ยนถามอีก “ถ้าอย่างนั้นออกหมัดไปเพื่ออะไร?”
เผยเฉียนคิดแล้วก็ตอบว่า “ใช้เหตุผล หาเงิน ช่วยนาง”
ไม่ว่าใครก็ไม่เข้าใจพี่หญิงซิ่วซิ่ว แต่เผยเฉียนกลับเข้าใจ
จูเหลี่ยนถามอีก “ต้นตอของหายนะอยู่ที่ไหน?”
เผยเฉียนตอบ “ในฐานะเทพวารี ตัวอยู่ในแม่น้ำลำธาร แต่ขนบธรรมเนียมกลับไม่เที่ยงตรง ไม่มีคุณธรรมจรรยาของคนในยุทธภพแม้แต่น้อย ใจคิดแต่จะผูกมิตรกับพวกเทพเซียนที่เป็นวีรบุรุษ แม้ว่าจะทำเรื่องที่ควรทำต่อชาวบ้านในอาณาเขตการปกครอง หรือต่อลมและน้ำในพื้นที่ของตน แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจแม้แต่น้อย”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ดีมาก เจ้าสามารถออกท่องยุทธภพเพียงลำพังได้แล้ว”
เผยเฉียนเหลือกตามองบนใส่ “ไม่มีคำอนุญาตจากอาจารย์พ่อ ข้าไม่มีทางลงจากภูเขาออกเดินทางไกลแน่”
โจวหมี่ลี่พยักหน้าคล้อยตาม “ยุทธภพข้างนอกโหดร้ายนักล่ะ โหดร้ายนักล่ะ!”
จากนั้นอาหารก็ถูกยกขึ้นโต๊ะ ไม่ถือว่ามากมายอุดมสมบูรณ์ แต่กลับหุงข้าวเอาไว้ไม่น้อย
มีเผยเฉียนนั่งร่วมโต๊ะด้วย ตำแหน่งประธานจำเป็นต้องเว้นว่างเอาไว้ ทุกครั้งที่เป็นช่วงฉลองปีใหม่ ยังต้องวางถ้วยข้าวและตะเกียบเอาไว้ด้วย
วันนี้ขณะที่ทั้งสี่คนกินข้าวร่วมกัน เพิ่งจะหยิบตะเกียบเตรียมจะกิน หร่วนซิ่วก็เดินจากโถงหน้าของร้านมาถึงเรือนหลัง ยืนอยู่ตรงธรณีประตู เอ่ยว่า “กินข้าวกันหรือ”
เผยเฉียนลุกขึ้นยืน “ฮ่าๆ มาเร็วไม่สู้มาได้จังหวะพอดี พี่หญิงซิ่วซิ่ว กินข้าวด้วยกันๆ ข้านั่งม้านั่งตัวเดียวกับท่าน”
หร่วนซิ่วยิ้มกล่าว “ได้เลย”
สือโหรวรีบลุกขึ้นหยิบถ้วยและตะเกียบ ขยับไปนั่งกับโจวหมี่ลี่
โจวหมี่ลี่ตักข้าวให้หร่วนซิ่วถ้วยใหญ่ ใช้ทัพพีกดให้ข้าวอัดแน่นอยู่ในถ้วย แล้วยกมาวางบนโต๊ะเบื้องหน้าหร่วนซิ่ว
หร่วนซิ่วลูบคลำศีรษะน้อยๆ ของนาง ทรุดตัวลงนั่ง หยิบตะเกียบขึ้นมา เห็นว่าทุกคนต่างก็ไม่มีท่าทีว่าจะขยับตะเกียบจึงยิ้มเอ่ย “กินข้าวกันสิ”
เผยเฉียนทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด ชำเลืองตามองไปยังโถงด้านหน้าของร้านยาสุ้ย
ที่นั่นมีเหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ที่โชคชะตาน้ำบนร่างบางเบา ร่างทองไม่มั่นคงมาเยือน
หร่วนซิ่วเอ่ย “หากรังเกียจคนผู้นั้น ข้าจะให้นางกลับจวนน้ำของแม่น้ำอวี้เย่ไปก่อนดีไหม? หรือไม่ก็ให้ไปคุกเข่าที่หน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว?”
เผยเฉียนส่ายหน้าแรงๆ “ไม่ต้องๆ”
จูเหลี่ยนเองก็ยิ้มเอ่ยว่า “กินข้าว กินข้าวกันก่อนเถอะ”
ภูเขาบรรพบุรุษของภูเขาลั่วพั่ว ที่ตั้งศาลบรรพจารย์ คือยอดเขาจี๋เซ่อ
ภูเขาเจินจูที่เนื่องจากตั้งอยู่ในตำแหน่งทิศตะวันออกสุด แล้วก็เพราะมีขนาดเล็กเกินไป จึงยังไม่เคยได้เริ่มการก่อสร้าง
ภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาไฉ่อวิ๋น ภูเขาเซียนฉ่าว ให้สำนักกระบี่หลงเฉวียนเช่าเป็นเวลาสามร้อยปี
ภูเขาฮุยเหมิงทางทิศเหนือที่อยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่วมากที่สุด ภูเขาหนิวเจี่ยวที่มีท่าเรือตระกูลเซียน ภูเขาจูซา ภูเขาหลังอ๋าว ยอดเขาเว่ยเสีย แท่นบูชากระบี่ที่อยู่ทางทิศตะวันตกสุดของกลุ่มภูเขา บวกกับภูเขาหวงหูที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่
อันที่จริงภูเขาลั่วพั่วก็มีภูเขาใต้อาณัติรวมถึงสิบเอ็ดลูกแล้ว
ภูเขาลั่วพั่วจึงเป็นดั่งต้นไม้ใหญ่ที่เรียกลมแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสกุลสวี่นครลมเย็นเคยมีความแค้นทั้งเก่าและใหม่กับภูเขาลั่วพั่ว พวกเขาย่อมไม่มีทางหยุดแน่นอน เพราะถึงอย่างไรตอนนั้นก็เป็นนครลมเย็นที่ไม่ดูสถานการณ์ให้ดีก็แบ่งเส้นขีดความสัมพันธ์กับต้าหลีอย่างชัดเจน ขายภูเขาจูซาออกไปโดยไม่สนใจราคาว่าสูงหรือต่ำ จึงตกมาอยู่ในมือของภูเขาลั่วพั่ว ก่อนที่จะแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กับสกุลหยวนเสาหลักของแคว้น นครลมเย็นไม่มีเวลามามัวสนใจเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าเมื่อสถานการณ์เริ่มมั่นคง ในใจก็เริ่มคันยิบๆ เพราะถึงอย่างไรภูเขาจูซาลูกหนึ่งก็ไม่ใช่ผลประโยชน์ที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ และยิ่งกังวลว่าภูเขาจูซาจะกลายเป็นหนามแหลมทิ่มตำใจฮ่องเต้หนุ่ม ใจจึงคิดอยากจะเอากลับคืนไป ดังนั้นสกุลสวี่จึงเคยไปพูดคุยกับเว่ยหลี่ผู้ว่าคนใหม่ของจังหวดหลงโจว แล้วก็เคยติดต่อกับรองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายซ้าย ขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาซึ่งอยู่ในจวนประจำท้องถิ่นและขุนนางประจำเมืองหลวงผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ในใจกลางของราชสำนักจึงทยอยกันมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว น่าเสียดายที่ต่างก็เจอกับตะปูสองตัวหนึ่งอ่อนหนึ่งแข็งจากจูเหลี่ยน
ยามที่เผชิญหน้ากับเว่ยหลี่ผู้ว่าคนใหม่ที่มีชาติกำเนิดมาจากเจ้าเมืองแคว้นหวงถิงซึ่งเป็นฝ่ายขึ้นเขามาเยือนด้วยตัวเอง จูเหลี่ยนเกรงอกเกรงใจอย่างยิ่ง แต่สำหรับขุนนางกรมพิธีการที่อาศัยเรื่องพิธีเซ่นบวงสรวงแวะมาคุยธุระที่ภูเขาลั่วพั่ว เขากลับไม่มีท่าทีกระตือรือร้นมากนัก
เพราะถึงอย่างเว่ยหลี่ก็ทำตามหน้าที่ เกี่ยวกับเรื่องของภูเขาจูซานั้น เขาไม่มีความลำเอียงแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าติดที่เรื่องศักดิ์ศรีหน้าตา อันที่จริงแค่ให้เจ้าเมืองขึ้นเขามาก็ถือว่ามีมารยาทมากพอแล้ว แต่เว่ยหลี่ก็ยังมาเยือนด้วยตัวเอง กลับกลายเป็นหยวนไหว้หลางของกรมพิธีการที่ตำแหน่งขุนนางไม่สูง แต่มาดกลับไม่เล็กผู้นั้น เป็นแค่ขุนนางผู้ช่วยหลางจง ขุนนางลำดับรองของหนึ่งกรมหนึ่งกอง พอมาถึงภูเขาลั่วพั่ว อ้าปากได้ก็บอกว่าต้องการจะไปดูที่ศาลบรรพจารย์บนยอดเขาจี๋เซ่อ จูเหลี่ยนจึงไม่มีสีหน้าดีๆ ให้เห็น แล้วก็เพราะเรื่องนี้ เจิ้งต้าเฟิงถึงได้หัวเราะเยาะเย้ยเว่ยป้อตลอดทั้งเดือน ทำเอาเว่ยป้อสะอิดสะเอียนแทบบ้า
ด้วยความโมโห เว่ยป้อจึงจะให้หยวนไหว้หลางของกรมพิธีการผู้นั้นถูกย้ายตำแหน่ง คิดจริงๆ หรือว่าซานจวินของหนึ่งทวีปจะไม่มีช่องทางใดๆ เลย?
แต่จูเหลี่ยนกลับห้ามไว้ บอกว่ามีคนโง่แบบนี้เป็นคู่ต่อสู้ถือเป็นเรื่องดี ต้องเลี้ยงเอาไว้ให้ดี
อันที่จริงชุยเหวยผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่ความกล้าหาญหดหายความขลาดกลัวเข้ามาแทนที่ผู้นั้น เป็นถึงคอขวดโอสถทอง ตามหลักแล้วชุยเหวยจะถามกระบี่ต่อแม่น้ำอวี้เย่ก็ได้เหมือนกัน
เพียงแต่จูเหลี่ยนรู้สึกว่าบุคคลที่มีความสามารถให้เอามาใช้งานเช่นนี้ หากเอาออกมาใช้งานเร็วเกินไปจะน่าเสียดายอย่างมาก สกุลสวี่แห่งนครลมเย็นไม่ได้มีค่ามากพอให้ภูเขาลั่วพั่วต้องรับมืออย่างหัวหมุน
ในอนาคตเมื่อชุยเหวยออกกระบี่ จำเป็นต้องมีตบะคอขวดก่อกำเนิด หรือถึงขอบเขตหยกดิบถึงจะได้ จะต้องออกกระบี่สำเร็จในคราวเดียว จำเป็นต้องให้คู่ต่อสู้ตายไปแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ส่วนชุยเหวยก็แค่หวนกลับมาอย่างเงียบเชียบเท่านั้น
แน่นอนว่าก่อนจะเป็นเช่นนี้ได้ยังมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง ชุยเหวยต้องยอมรับภูเขาลั่วพั่วได้จากใจจริง
ส่วนคำพูดของแม่นางน้อยหยวนเป่านั้น ความผิดมหันต์ของนางอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ว่ายังคงมองประเมินจิตใจคนและความกล้าหาญของคนต่ำเกินไป เสาคานที่แท้จริงของภูเขาลูกหนึ่ง เสาหลักกลางกระแสน้ำท่ามกลางกลียุค ล้วนให้ความสำคัญกับความเป็นความตาย แล้วก็สามารถลืมความเป็นความตายได้เช่นกัน
แล้วส่วนที่ถูกล่ะ ถูกที่ตรงไหน? ถูกตรงที่ว่าตัวแม่นางน้อยเองก็ยังไม่รู้เลยว่า หากไม่เป็นเพราะนางเห็นภูเขาลั่วพั่วเป็นภูเขาบ้านของตัวเอง ย่อมไม่มีทางเอ่ยคำพูดพวกนั้น ไม่มีทางคิดถึงเรื่องพวกนั้นได้อย่างแน่นอน
จูเหลี่ยนรู้ว่าใจคนทั้งลึกและทั้งยาวไกล
ขอแค่ภูเขาลั่วพั่วมีผู้ดูแลจูเหลี่ยน เจ้าขุนเขาเฉินผิงอันก็สามารถออกเดินทางไกลได้อย่างวางใจ ไม่กลัวหากจะต้องกลับมาช้า
ในห้องโถงหน้าร้านยาสุ้ย
เหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างกระวนกระวายใจ
เรื่องนำของขวัญมาขอขมา จวนวารีสามารถทำได้ เพียงแต่ว่าไม่ใช่ให้นางออกหน้าไปเยือนภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเอง แต่ต้องให้คนที่มีอำนาจรองจากนางเป็นผู้ไปเยือน อีกทั้งการที่มอบสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งของจวนวารีให้แก่ภูเขาลั่วพั่ว นางก็รู้สึกว่ามีความจริงใจมากพอแล้ว
ส่วนวิชาช่วยชีวิตที่ผู้เฒ่าคนนั้นมอบให้นางก่อนหน้านี้ นางไม่คิดเป็นจริงเป็นจังเลยด้วยซ้ำ
ไม่เพียงเท่านี้ นางยังได้เขียนฎีกาลับฉบับหนึ่งที่สามารถส่งตรงไปถึงมือเจ้ากรมพิธีการเอาไว้เรียบร้อยแล้วด้วย
ภูเขาลั่วพั่วมีภูตน้ำที่มีชาติกำเนิดจากแม่น้ำอวี้เจียงแคว้นหวงถิงอยู่ตนหนึ่ง มันถึงขั้นเรียกข้องราชามังกรใบหนึ่งออกมา พยายามจะสยบกำราบศาลเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ ข่มขวัญชาวบ้าน เกือบจะสร้างหายนะที่ทำให้ชาวบ้านในศาลตายอย่างอยุติธรรม
จูเหลี่ยนผู้ดูแลภูเขาลั่วพั่วยิ่งแล้วใหญ่ แค่เจอหน้ากันก็ทำตัวป่าเถื่อนไร้เหตุผล อยู่ดีๆ ก็ออกหมัดต่อยให้องค์เทพแห่งสายน้ำที่มีคุณความชอบต่อพื้นที่หนึ่งบาดเจ็บสาหัส
อันที่จริงก่อนจะส่งฎีกาฉบับนั้นออกไป เทพวารีของแม่น้ำชงตั้นที่เป็นเพื่อนร่วมงานเคยเกลี้ยกล่อมนางมาก่อนแล้ว บอกว่ารอให้คลื่นลมสงบจะดีกว่า สำหรับเทพวารีอย่างเจ้าและข้าแล้ว จึงจะถือว่าเหมาะสมที่สุด
แต่นางหรือจะยอมฟัง แล้วนับประสาอะไรกับที่สหายร่วมงานของแม่น้ำชงตั้นยังมีชาติกำเนิดเป็นภูตตนหนึ่งซึ่งอยู่ดีๆ ก็ได้ตำแหน่งเทพมา นางเคยเห็นเขาอยู่ในสายตาอย่างแท้จริงเสียเมื่อไหร่
ส่วนเรื่องราววงในบางอย่างที่วกวนอ้อมค้อมยิ่งกว่า เขาก็ยิ่งเป็นคนนอกสถานการณ์
หร่วนซิ่วมีชาติกำเนิดจากสำนักกระบี่หลงเฉวียน เป็นบุตรสาวโทนของอริยะหร่วนฉงก็จริง แต่หร่วนฉงผู้นั้นขึ้นชื่อเรื่องการรักษากฎ เขาจะยินดีงัดข้อกับกฎของภูเขาสายน้ำตลอดทั้งต้าหลีเพียงเพราะเรื่องนี้จริงๆ หรือ?
ก่อนที่เรื่องไม่คาดฝันจะเกิดขึ้น ทุกอย่างล้วนสมเหตุสมผล
กระทั่งตัวเองถูกจับตัวมายังตรอกฉีหลงของเมืองเล็กแห่งนี้ เหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ก็ยิ่งอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
สมกับคำว่าอยู่ไม่สู้ตายจริงๆ
คนทั้งโต๊ะเหมือนคนในครอบครัวปกติทั่วไปที่กินอาหารร่วมกันด้วยความปรองดอง
ส่วนเหนียงเนียงเทพวารีท่านนี้ก็เหมือนคนประคองถ้วยข้าวหัวขาดไว้ถ้วยหนึ่ง แล้วยังเป็นถ้วยที่ว่างเปล่า แม้แต่ข้าวก็ยังไม่มีให้กิน