หนิงเหยาบอกให้เฉินผิงอันกลับไปที่หัวกำแพงเมืองก่อน เอ่ยเตือนเขาคำหนึ่งว่าเดินทางระวังด้วย
ต่งฮว่าฝูรู้สึกว่าประโยคนี้เกินความจำเป็นไปสักหน่อย
พูดจาโผงผางตรงไปตรงมาคือนิสัยของต่งฮว่าฝูมาโดยตลอด
เฉินซานชิวยิ้มกล่าว “ระหว่างบุรุษและสตรี หากไม่มีคำพูดที่เกินความจำเป็นบ้างเลย แบบนั้นคงยุ่งยากแน่”
ต่งฮว่าฝูพยักหน้ารับเพื่อแสดงให้รู้ว่าเขาเห็นด้วย จากนั้นก็ถามว่า “เจ้าเคยมีโอกาสได้พูดจาเกินความจำเป็นบ้างไหม?”
เฉินซานชิวเลียนแบบเถ้าแก่รองด้วยการคลี่ยิ้มบางๆ ส่งไปให้อีกฝ่าย
ต่งฮว่าฝูกลัวว่าเถ้าแก่รองจะจำแค้นจดลงบนบัญชี แต่กลับไม่เคยกลัวเฉินซานชิวที่แม้แต่ยามหลับฝันก็ยังยากจะเป็นพี่เขยของตน ดังนั้นจึงเอ่ยประโยคที่เป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะว่า “การที่พี่สาวของข้าได้เป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน คงไม่ใช่ว่าจงใจหลบหน้าเจ้าหรอกกระมัง? หากเป็นเช่นนี้จริงก็เกินไปหน่อยแล้ว วันหน้าข้าจะช่วยพูดให้เจ้าเอง น้ำใจมิตรสหายเล็กน้อยแค่นี้ ข้ายังพอมีอยู่บ้าง”
เฉินซานชิวส่ายหน้า “ไม่จำเป็น พี่สาวของเจ้าเป็นคนตรงไปตรงมา ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่มีทางจงใจทำอะไรหรอก”
ชอบคนคนหนึ่ง มักจะเห็นว่าเขาดีไปเสียทุกอย่าง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ตั้งแต่สวมกางเกงเปิดเป้า เฉินซานชิวก็รู้สึกมาโดยตลอดว่าพี่สาวของต่งน้อยที่เป็นเพื่อนบ้านกัน ไม่ใช่ว่าอยู่ในสายตาของตนแล้วนางถึงจะเปลี่ยนมาเป็นดี แต่เป็นเพราะนางดีจริงๆ
ก็เหมือนครั้งแรกที่เฉินซานชิวเห็นคำว่าเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ (เปรียบเปรยถึงหนุ่มสาวที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก) บนหน้าหนังสือก็รู้สึกทันทีว่านั่นเป็นคำกล่าวที่ทำให้คนประทับใจที่สุดในใต้หล้า อะไรที่บอกว่าทะเลสาบกว้างใหญ่ราบเรียบเหมือนผิวกระจก ภูเขายามฤดูใบไม้ร่วงเป็นสีแดงดุจเปลวเพลิงอะไรพวกนั้น ล้วนชิดซ้ายไปเลย
หากจะบอกว่าต่งปู้เต๋องดงามมากแค่ไหน อันที่จริงนางไม่ได้งามพิลาสอะไรขนาดนั้น
เพียงแต่ว่าตลอดหลายปีมานี้ยิ่งเฉินซานชิวดื่มเหล้ามากเท่าไรก็ยิ่งชอบนางมากเท่านั้น
ตอนที่เฉินผิงอันยังไม่มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ หลายครั้งที่ลงจากหัวกำแพงเมืองไปเข่นฆ่าศัตรูก่อนหน้านี้ ขอแค่เฉินซานชิวเก็บกระบี่บนสนามรบของตัวเองก่อนเวลา ก็มักจะต้องวิ่งไปมองดูต่งปู้เต๋อที่เปิดศึกอยู่ไกลๆ มีครั้งหนึ่งที่สถานการณ์อันตราย เฉินซานชิวจึงลงมือช่วยเหลือ หลังจบเรื่องต่งปู้เต๋อเอ่ยขอบคุณ แต่กลับยังเอ่ยประโยคตรงไปตรงมาทิ่มแทงใจ เป็นครั้งที่สองที่ต่งปู้เต๋อบอกกล่าวกับเฉินซานชิวแล้ว นางบอกว่าทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ ทั้งยังเป็นคนสนิทคุ้นเคย เป็นสหายกัน ช่วยเหลือบนสนามรบนั้นได้ แต่ขอร้องเฉินซานชิวว่าอย่ามีความคิดว่าจะครองคู่เป็นคู่บำเพ็ญตนบนภูเขากับนาง นางต่งปู้เต๋อแค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ขนลุกขนชันไปทั่วร่าง ครั้งนั้นเฉินซานชิวกลับไปถึงนคร ดื่มเหล้าไปแล้วระหว่างทางที่กลับบ้านก็เดินไปผลักกำแพงชนต้นไม้อีกรอบ
เฉินผิงอันบาดเจ็บไม่น้อย ไม่เพียงแต่เนื้อหนังเอ็นและกระดูกที่สภาพน่าเวทนาจนแทบไม่อาจทนมอง จุดที่ยุ่งยากที่สุดก็คือปราณกระบี่ที่กระบี่บินทั้งหลายของผู้ฝึกกระบี่ทิ้งเอาไว้ รวมไปถึงบาดแผลที่ได้จากวัตถุแห่งชะตาชีวิตด้านการโจมตีของเผ่าปีศาจจำนวนมาก
แต่ความมีชีวิตชีวากลับไม่ลดน้อยลงเลย ตรงกันข้ามกลับเพิ่มมากขึ้น นานมากแล้วที่หนิงเหยาไม่ได้เห็นเฉินผิงอันที่มีดวงตาใสกระจ่างขนาดนี้
ตอนนี้ฟ้าดินขนาดเล็กร่างกายมนุษย์ ลมปราณปนกันยุ่งเหยิงวุ่นวาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายไปเสียทั้งหมด มีทั้งข้อดีและข้อเสีย หลี่เอ้อเคยบอกว่าเจิ้งต้าเฟิงผู้เป็นศิษย์น้องเคยไปพิศดูกรอบป้ายบนซุ้มก้ามปูแล้วเกิดแรงบันดาลใจ กลับมาจึงมาบอกให้เขาฟัง ความหมายคร่าวๆ ก็คือร่างมนุษย์ก็คือซากปรักสนามรบโบราณแห่งหนึ่ง ดังนั้นสี่คำที่บอกว่าไม่แสวงหาสิ่งนอกกายก็ใช่ว่าจะเป็นถ้อยคำที่บอกให้ฝึกฝนจิตใจซึ่งเป็นสิ่งเลื่อนลอยไปเสียทั้งหมด
ดังนั้นตอนนี้ตัวของเฉินผิงอันเองจึงเป็นดั่งสนามประลองยุทธแห่งหนึ่ง เรื่องของการสาวดึงเส้นไหม รวมไปถึงเส้นทางการใช้ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์มาสยบปราณวิญญาณของผู้ฝึกตนนั้น เป็นสิ่งที่เฉินผิงอันพอจะถนัดอยู่พอดี
เก็บกระบี่ยาวที่ได้รับความเสียหายซึ่งไม่รู้ประวัติความเป็นมามาได้เล่มหนึ่ง เดิมทีตัวของกระบี่ยาวเล่มนี้ไม่ได้มีความลี้ลับมากนัก ก็แค่ว่าพอมาอยู่ในมือแล้วมีน้ำหนักมาก คาดว่าวัตถุดิบที่นำมาใช้หลอมกระบี่คงจะไม่เลว พอจะมีค่าเป็นเงินเทพเซียนได้บ้าง
เมื่ออยู่ในยุทธภพของแคว้นเล็กๆ ใต้อาณัติทั้งหลายของแจกันสมบัติทวีป นี่ก็น่าจะถือเป็นศาสตราวุธเทพอย่างสมชื่อชิ้นหนึ่งแล้ว แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำก็ยังต้องกริ่งเกรงอยู่หลายส่วน
เฉินผิงอันขี่กระบี่นำกลับทิศเหนือไปก่อน เลือกเส้นทางที่ขบวนทัพของเผ่าปีศาจมีเบาบางแล้วออกหมัดระหว่างทางเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่ได้ตรงไปที่หัวกำแพงเมือง แต่ขี่กระบี่ไปยังจุด ‘ขีดแนวนอน’ ที่สูงที่สุดของอักษรคำว่าเหมิ่ง(猛)แล้วนั่งขัดสมาธิลงไป หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาสองสามอึก มองสถานการณ์บนสนามรบในระยะใกล้ครู่หนึ่ง ครั้นจึงสงบจิตใจบำรุงลมปราณพลางทำแผลอย่างคล่องแคล่วไปด้วย
อักษรใหญ่ทุกตัวที่สลักไว้บนกำแพงเมือง ขีดที่เป็นเส้นแนวนอนล้วนเป็นสถานที่ฝึกตนที่ยอดเยี่ยมแทบทั้งหมด
แต่เมื่อมาถึงช่วงเวลาของศึกฝูงมดโจมตีเมือง สถานที่ตามธรรมชาติสำหรับผู้ฝึกกระบี่พวกนี้กลับมักจะกลายเป็นสถานที่แห่งความตายของพวกเขาเสมอ
ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่สามารถฝึกตนอยู่ที่นี่ได้หลายปีจะต้องมีพลังพิฆาตสูงมาก อีกทั้งยังเชี่ยวชาญวิธีการรักษาตัวรอดมากที่สุด
ห่างจากข้างกายเฉินผิงอันไปไม่ไกลก็มีผู้ฝึกกระบี่วัยชราคนหนึ่งกำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ อีกฝ่ายไม่ได้ลุกขึ้นมาต้อนรับ เฉินผิงอันจึงไม่ได้ส่งเสียงรบกวนการบำรุงกระบี่และฝึกตนอย่างสงบของอีกฝ่าย
ดูจากรูปโฉมของผู้เฒ่าก็น่าจะเป็นอินเฉินผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่อยู่ในหน้าที่หกของสมุดปิ่งเปิ่น อายุมากแล้ว แต่คอขวดยากจะฝ่าไปได้ จึงหยุดอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดมาโดยตลอด นิสัยดุร้าย คือคนโดดเดี่ยวที่ไร้ญาติขาดมิตร ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แทบทุกคนล้วนมีสหายสนิท หากไม่ยังมีชีวิตอยู่ก็รบตายไปแล้ว แต่สรุปก็คือต้องมีสหายอยู่บ้างสักสองสามคน แต่อินเฉินกลับไม่เคยมี ขอแค่อยู่ในสนามรบ จิตสังหารจะรุนแรงอย่างมาก อีกทั้งหากออกกระบี่ก็ชอบที่จะไม่แบ่งศัตรูหรือคนกันเอง ดังนั้นแม้จะสังหารปีศาจได้มาก แต่คุณความชอบที่สะสมมาได้กลับไม่เคยเป็นความชอบที่ยิ่งใหญ่ ยังสู้ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองอายุน้อยหลายคนไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะคุณความชอบหลายอย่างของเขาล้วนถูกลบทิ้ง ชื่อเสียงของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอินเฉินก็ยิ่งแย่ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครยินดีที่จะเข้าใกล้ตัวประหลาดที่แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ฝ่ายตัวเองก็ยังสังหารไปด้วย
ผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นทุกคนที่อยู่บนสมุดเจี่ยเปิ่น ปิ่งเปิ่น ทุกหน้ากระดาษล้วนมีคำอธิบายที่ไม่เหมือนกันจากผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานเขียนระบุเอาไว้ หากความคิดเห็นของผู้ฝึกกระบี่ในคฤหาสน์หลบร้อนมีมากเกินไป ก็จะแทรกกระดาษเพิ่มเข้าไปสองสามแผ่น
เกี่ยวกับอินเฉินที่ลำดับรายชื่ออยู่สูงอย่างถึงที่สุดในสมุดปิ่งเปิ่น กลับกลายเป็นว่ามีความเห็นอยู่น้อยนิด มีเพียงโฉวเหมียวกับหลินจวินปี้ที่เขียนกันแค่ไม่กี่ประโยค เป็นประโยคที่แตกต่างจากความเห็นของคนทั่วไปในกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างสิ้นเชิง
หากจะบอกว่าการทำร้ายคนอื่นโดยไม่ทันระวังล้วนเป็นสิ่งที่เซียนกระบี่ทุกคนต้องเคยทำ พวกคนที่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์อย่างไม่ตั้งใจ ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องแบกรับคำด่า แต่กับอินเฉินนั้นไม่เหมือนกัน หลายๆ ครั้งการออกกระบี่อย่างดุดันของผู้เฒ่าได้ผ่านการคิดคำนวณมาอย่างแม่นยำแล้วว่าต้องมีผู้ฝึกกระบี่หลายคนที่ตายไปด้วย
หากอิงตามการแบ่งหน้าที่ของสายอิ่นกวาน ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอินเฉินแค่ต้องเฝ้าพิทักษ์อยู่จุดเดิม ไม่ต้องออกจากเมืองไปเข่นฆ่า
เฉินผิงอันทำแผลให้กับบาดแผลน้อยใหญ่เสร็จแล้วก็เรียกยันต์ขจัดสิ่งสกปรกแผ่นหนึ่งออกมากำจัดคราบเลือดอย่างว่องไว ถึงอย่างไรก็เป็นแขกของที่นี่ ต่อให้เจ้าของบ้านจะไม่มีรอยยิ้มให้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่แขกจะทำตัวไร้มารยาท
ผู้เฒ่าลืมตาขึ้น เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เด็กอย่างเจ้านี่ก็เล่นสนุกเก่งจริงๆ ผู้ฝึกยุทธของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ข้าเคยพบเห็นมาบ้าง คนอื่นออกหมัดต้องถูกกระบี่บินหรือไม่ก็สมบัติอาคมกดกำราบ เจ้ากลับดีนัก ดันข่มกำราบตัวเอง”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสอินช่างมีสายตาที่ดี”
ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “ไม่ได้เรียกเจ้าว่าใต้เท้าอิ่นกวาน ในใจไม่รู้สึกยอกแสลงบ้างรึ?”
เฉินผิงอันตอบ “ไม่เลย”
อินเฉินมองไปยังเส้นแนวหน้าของสนามรบ ทางทิศเหนือของแม่น้ำสายยาวสีทอง มีหนิงเหยาคอยช่วยเหลือ มีผู้ฝึกกระบี่ทางทิศใต้ที่รับหน้าที่เปิดขบวนรบ อินเฉินหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ทุกครั้งที่ได้เห็นพวกผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์เหล่านี้ ก็ทำให้ปณิธานของคนหดหายลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ คนจะเปรียบเทียบกับคนได้อย่างไร”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกกระบี่จำนวนมากกว่านี้ยามเห็นผู้อาวุโสอินก็ต้องรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน”
อินเฉินเองก็เคยเป็นหนึ่งในผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์ อีกทั้งยังเป็นคนที่โดดเด่นอย่างถึงที่สุดอีกด้วย ความมีหน้ามีตาของเขาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ในปีนั้นก็น่าจะเทียบเท่าได้กับเกาเหย่โหว ซือถูเหว่ยหรันในทุกวันนี้
เรื่องของการหลอมกระบี่ เขาสามารถทำได้อย่างราบรื่น ฝ่าทะลุขอบเขตราวกับผ่าลำไม้ไผ่มาตลอดทาง กระทั่งถึงก่อกำเนิดถึงได้หยุดนิ่ง คิดไม่ถึงว่าพอหยุดก้าวนี้จะกินเวลายาวนานหลายร้อยปี
อินเฉินพูดเสียงเย็นชา “เศษสวะนอกจากแหงนหน้ามองคนอื่น แอบน้ำลายไหลแล้ว ยังจะทำเรื่องที่มีประโยชน์อะไรได้อีก? ยกตัวอย่างเช่นข้า เวลาตลอดทั้งปีได้แต่นั่งเฉยๆ อยู่ตรงนี้ นั่งจนเปลี่ยนจากเศษสวะหนุ่มมาเป็นเศษสวะแก่”
คนคนหนึ่งที่เวลาอำมหิตขึ้นมาแม้แต่ตัวเองก็ยังด่าได้ หากพูดถึงแค่เรื่องทะเลาะกันด้วยฝีปาก ย่อมไม่มีใครเป็นศัตรูด้วยได้อย่างแน่นอน
เฉินผิงอันถาม “บุรุษถือกระบี่ก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสอินมองรากฐานของเขาออกหรือไม่?”
อินเฉินหลุดหัวเราะพรืด “อิ่นกวานแต่ละรุ่นด้อยลงทุกที เด็กน้อยจากต่างถิ่นอย่างเจ้าขอบเขตก็ไม่สูง อาศัยความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งถึงได้เป็นนกพิราบยึดรังนกกางเขน ได้คฤหาสน์หลบร้อนของผู้อาวุโสเซียวสวิ้นไปครอง เอกสารคดีลับมีมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าแม้แต่รายงานเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังไม่รู้? ต่อให้ไม่รู้จัก แต่จะเดาไม่ออกเลยหรือ?”
เฉินผิงอันไม่ถือสาคำพูดเหล่านี้ เจ้าด่าของเจ้าไป ข้าก็ถามของข้าไป เขาเอ่ยหยั่งเชิงต่ออีกว่า “คือลูกรักแห่งสวรรค์อันดับร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่? ลำดับขั้นพอๆ กับจู๋เชี่ย หลีเจิน?”
อินเฉินเองก็เจ้าถามของเจ้าไป ข้าด่าของข้าต่อ “ตอนนั้นข้าคาดว่าตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยามพูดถึงผู้อาวุโสเซียวสวิ้น ไม่ว่าคำพูดไม่น่าฟังอะไรก็คงมีหมดกระมัง? ไอ้พวกมีแม่ให้กำเนิดไม่มีพ่อคอยสั่งสอน หากข้าเป็นผู้อาวุโสเซียวสวิ้น ตีกำแพงเมืองปราณกระบี่แตกเมื่อไหร่จะลากพวกผู้ฝึกกระบี่ที่เคยด่าข้าออกมาให้หมด ใครที่กล้าด่าต่อหน้าก็มีชีวิตรอดได้ ใครที่ไม่กล้าด่าก็ต้องไปตายซะ แบบนี้ถึงจะสาแก่ใจ ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ปีศาจใหญ่หย่างจื่อสังหารเซียนกระบี่ที่เดินทางไปทิศใต้ผู้นั้นอย่างทารุณ เจ้าเองที่พิจารณาเพื่อส่วนรวมก็คงโดนด่าไปไม่น้อยเหมือนกันกระมัง? รสชาติเป็นเช่นไร? หากมีโอกาสอีกครั้ง เจ้าจะยังปล่อยให้พวกผู้ฝึกกระบี่ที่รนหาที่ตายเหล่านั้นไปตายเสียให้จบเรื่องหรือไม่?”
เฉินผิงอันเอ่ย “อาเหลียงเคยบอกกับข้าว่า คนคนหนึ่งหากไม่ต้องตายได้ ก็ห้ามตายเด็ดขาด หากโดนด่าแค่ไม่กี่คำแล้วจะสามารถช่วยคนได้ไม่น้อย จะมีการค้าไหนที่คุ้มค่ามากกว่านี้อีกหรือ? ข้าว่ามีน้อยมากเลยล่ะ”
อินเฉินหุบปากเงียบทันที
ไม่ใช่รู้สึกว่าเหตุผลของคนหนุ่มถูกต้องอะไรมากมาย คนละเรื่องกันเลย
อิ่นกวานหนุ่มผู้นี้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง เป็นศิษย์น้องเล็กของจั่วโย่ว หรือแม้กระทั่งมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส เรื่องอะไรพวกนี้อินเฉินไม่เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย มีเพียงเกี่ยวข้องกับเจ้าอาเหลียงผู้นั้น อินเฉินพลันรู้สึกหัวโตเท่ากระด้งขึ้นมาทันใด
นั่นเป็นเพราะเวลาเมื่อร้อยกว่าปีก่อน อินเฉินถูกเจ้าตะพาบชาติสุนัขนั่นหลอกตุ๋นจนเปื่อย อีกฝ่ายเหมือนจับแกะตัวอวบอ้วนมาได้ก็ถอนขนมันจนเกลี้ยงเกลา ถอนขนแกะอวบอ้วนเสร็จแล้วก็เปลี่ยนมาเป็นแกะผอม พอแกะผอมไม่เหลือแล้ว คาดว่าเจ้าแกะอ้วนนั่นน่าจะมีทรัพย์สมบัติเพิ่มกลับคืนมาได้หลายส่วนแล้ว ดีมาก ถ้าอย่างนั้นก็ไปถอนขนมันอีกรอบ หากอาเหลียงใช้แค่วิธีการพวกนี้ อินเฉินคงไม่แยแสสักเท่าไร แต่ไอ้หมอนั่นกลับสามารถมานั่งยองอยู่ข้างกายเขาแล้วพร่ำพูดกับตัวเองได้ตั้งนานหลายชั่วยาม เพียงเพื่อ ‘ได้พูดคุยกับเทพเซียนผู้เฒ่าอินหนึ่งประโยค ถึงจะไม่เสียเที่ยวที่มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่’ ตอนนั้นอินเฉินอดไม่ไหวด่าอีกฝ่ายไปคำหนึ่งว่าไสหัวไป ผลคืออีกฝ่ายเปลี่ยนสีหน้าเสียอย่างนนั้น กดเขาลงพื้นแล้วรัวหมัดใส่เสียน่วม
ตอนที่อาเหลียงจากไปต้องเรียกว่าสีหน้าปลอดโปร่งโล่งสบาย แล้วยังทำท่าประจำตัวอย่างการเอาสองมือเสยผม ทิ้งไว้ประโยคหนึ่งว่า ‘สะใจจริงๆ ทะเลาะกันตีกัน น้อยๆ ใหญ่ๆ รวมแล้วแปดร้อยกว่าครั้ง แต่ทุกครั้งก็ยังชนะทั้งหมด’
ตอนนั้นอินเฉินนอนเหม่ออยู่บนพื้นอยู่นาน
หลังจากนั้นมาอาเหลียงผู้นั้นก็มักจะมาหาเทพเซียนผู้เฒ่าอินบ่อยๆ พูดสวยหรูว่ามาคุยเล่นผ่อนคลายอารมณ์ แล้วถือโอกาสเพิ่มชัยชนะให้ตัวเองครั้งสองครั้งไปด้วย
พอนึกถึงอาเหลียงผู้นั้น อินเฉินกลับไม่ได้มีแค่ความไม่พอใจไปเสียทั้งหมด เพราะถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่เคยถามกระบี่กันอย่างจริงๆ จังๆ มาก่อน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุรุษผู้นั้นที่คุยโวว่ายามตนอยู่ในใต้หล้าไพศาลมีพวกสตรีที่ดีมาชอบอย่างไรบ้าง เพียงแต่ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่เคยพูดชื่อของสตรีให้อินเฉินได้ยินแม้แต่ชื่อเดียว ทว่าคำพูดจริงจังบางประโยคของอาเหลียงกลับพุ่งตรงไปที่คอขวดก่อกำเนิดของเขาอินเฉิน
ไม่ว่านิสัยของอินเฉินจะแย่แค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ยังเห็นแก่น้ำใจในส่วนนี้
อินเฉินอาจจะไม่รู้จักการวางตัวเป็นคน แต่คนดีกับคนเลว เขาก็ยังแยกแยะได้อย่างชัดเจน
และบางครั้งก็เพราะว่าแยกแยะได้ชัดเจนเกินไป จึงกลับกลายเป็นคร้านที่จะทำตัวเป็นคนดี