ถึงท้ายที่สุด คนทั้งโต๊ะก็ถูกเจิ้งต้าเฟิงทำให้หมดความอดทน ตอนที่จากไปจึงไม่จ่ายเงิน
เจิ้งต้าเฟิงเรียกคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันคนหนึ่งให้นั่งลง คนคุ้นหน้าก็เรียกคนสนิทของตัวเองให้มาดื่มเหล้าด้วยกัน จากนั้นเจิ้งต้าเฟิงก็คิดจะเผ่นไปอย่างว่องไวดุจทาน้ำมันไว้ใต้รองเท้า
คิดไม่ถึงว่าสตรีออกเรือนแล้วจะตาแหลม ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “พี่ต้าเฟิง ท่านน่ะในกระเป๋าขาดเงิน หรือว่าในเป้าขาดไอ้จ้อนกันล่ะ หากขาดเงิน จ่ายค่าเหล้าไม่ไหว พวกเรามีความสัมพันธ์กันแบบใด ยกค่าเหล้าให้เปล่าๆ ก็ได้ แต่หากขาดไอ้จ้อน ข้าก็คงช่วยไม่ได้แล้วจริงๆ”
เจิ้งต้าเฟิงไม่หยุดเดิน แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
หวงเอ้อเหนียงตบโต๊ะดังลั่น “เจิ้งต้าเฟิง! ไสหัวกลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้ เต้าหู้ของเหล่าเหนียง ใจกล้ามากพอจึงไม่กลัวมีด ถ้าอย่างนั้นก็เชิญกินได้ตามสบาย (กินเต้าหู้/หลอกกินเต้าหู้ จะเปรียบเปรยหมายถึงการแตะอั๋ง ลวนลาม) แต่เงินค่าเหล้าท่านก็กล้าติดงั้นรึ? สวรรค์มอบความใจกล้าให้คนขี้ขลาดอย่างท่านตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ขนบธรรมเนียมของเมืองเล็ก แต่ไหนแต่ไรมาก็บริสุทธิ์เรียบง่ายอยู่เสมอ
เจิ้งต้าเฟิงหันตัวกลับมา เดินเอื่อยเฉื่อยมาถึงโต๊ะคิดเงิน พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ขาดเงินๆ มีตอนไหนที่ไม่ขาดเงินบ้างเล่า แต่อย่างอื่นน่ะไม่ขาดหรอก หวงเอ้อเหนียงเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ? พี่ต้าเฟิงที่ดุดันราวพยัคฆ์ร้าย ย่อมไม่ใช่ชื่อเสียงเลื่อนลอยแน่นอน”
หวงเอ้อเหนียงเอนตัวพิงโต๊ะ แทะเมล็ดแตง “ตอนนี้ทำไมถึงไม่ไปเล่นพนันแล้วล่ะ? ขึ้นเขาจัดการรังแม่หมูได้แล้วรึ?”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะหน้าเป็น “ข้าเล่นพนันก็เพื่อหาความสนุกไปอย่างนั้น ไม่เคยคาดหวังเงินทอง เจ้าเคยเห็นข้าชนะเดิมพันหรือไง?”
จากนั้นเจิ้งต้าเฟิงก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี “เงินนับพันนับหมื่นที่ได้มาจากโต๊ะพนันก็เป็นแค่คันนาริมคลอง เงินแห่งความเป็นความตาย หมุนเวียนอยู่ในกระเป๋าหกสิบปี เมื่อมีฝีมือ เงินที่ได้จากทักษะ สืบทอดกันไปสามรุ่น พื้นดินเท่าฝ่ามือ เงินไร่นา อยู่ได้หมื่นหมื่นปี”
หวงเอ้อเหนียงกลอกตามองบน “ชอบนักล่ะเวลาท่านแสร้งทำเป็นคนมีความรู้เนี่ย”
เจิ้งต้าเฟิงมองเสื้อผ้าของสตรีออกเรือนแล้ว ยื่นมือออกไป “น้องสาว เนื้อผ้าบนตัวเจ้านี่ซื้อมาจากร้านไหนกัน แน่นหนาขนาดนี้ ขอพี่ต้าเฟิงดูหน่อยสิ”
สตรีเพียงแค่แทะเมล็ดแตง ไม่หลบไม่เลี่ยง นางไม่เชื่อหรอกว่าไอ้หมอนี่จะกล้าลูบคลำเนื้อผ้าตรงหน้าอกตัวเองจริงๆ
แล้วก็จริงดังคาด เจิ้งต้าเฟิงหดมือกลับไปอย่างขลาดๆ แสร้งทำเป็นเช็ดโต๊ะพลางพูดบ่นไปด้วยเพื่อหาบันไดลงให้ตัวเอง “น้องสาว ไม่ใช่ว่าพี่ชายบ่นเจ้าหรอกนะ ไยไม่หัดหาลูกจ้างที่มือเท้าคล่องแคล่วมาบ้าง ดูผิวโต๊ะนี่สิ มันแผล็บขนาดนี้ แมลงวันบินมาเกาะคงขยับไปไหนไม่ได้แล้ว หากไม่ทันระวังจะไม่ถูกภูเขาใหญ่สองลูกทับตายหรอกหรือ?”
สตรีเพียงแค่หัวเราะเสียงเย็น “ยังมีหน้ามาเรียกข้าว่าน้องสาว? ท่านลองนับนิ้วคำนวณดูสิว่าไม่เคยมาอุดหนุนข้านานแค่ไหนแล้ว?”
เจิ้งต้าเฟิงฟุบตัวลงบนโต๊ะ หันหน้าไปมองโต๊ะเหล้าที่ผู้คนส่งเสียงพูดคุยกันจอแจ แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ทุกวันนี้ยังต้องอุดหนุนอะไรอีกเล่า ขาดเงินค่าเหล้าข้าแค่ไม่กี่ถ้วยก็ไม่เป็นไรหรอก”
สตรีฉวยโอกาสที่ชายฉกรรจ์หลังค่อมหันไปมองทางอื่น ดวงตาของนางแดงก่ำ เพียงแต่ไม่นานนางก็ปกปิดมันไว้ได้
ดูเหมือนว่าผ่านไปแค่ชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว
ตอนที่นางเพิ่งเปิดร้านนี้ยังเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง แล้วก็ดูงดงามกว่าตอนนี้ ไม่มีริ้วรอยที่หางตา มือสองข้างก็ยิ่งนุ่มนิ่ม หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ยามที่นางปลุกความกล้ายกเหล้าไปวางบนโต๊ะให้ลูกค้า ลูกตาของผีขี้เหล้าแทบทุกคนล้วนชำเลืองมองมาที่หน้าอกนาง มีเพียงบุรุษหนุ่มคนเดียวที่มองหน้าอกด้วย แล้วก็ชอบมองมือเล็กๆ ของนางด้วย เขาจะชอบพูดคำพูดน่าฟังมากมาย เป็นถ้อยคำสุภาพไพเราะเหมือนคำพูดในตำรา ฟังไม่เข้าใจ แต่กลับทำให้คนชื่นใจ
การที่ร้านสามารถอดทนจนผ่านพ้นวันเวลาแห่งความยากลำบากน่าอดสูเหล่านั้นมาได้ บุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ช่วยเหลือไว้มากมาย ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่มาดื่มเหล้าเท่านั้น
เพียงแต่ว่าปีนั้นช่วงเวลาที่นางงดงามมากที่สุด นางกลับเอาแต่ขุ่นเคืองอับอายกับถ้อยคำเหล่านั้น ทุกวันนี้อายุเยอะแล้ว รู้จักเรื่องราวทางโลกและนิสัยใจคอของคนมากขึ้นแล้ว และตัวนางเองก็ไม่น่ามองเหมือนเดิมอีกแล้ว
นางรู้สึกเพียงว่าเจิ้งต้าเฟิงไม่เหมือนบุรุษทั่วไป
อันที่จริงสายตาและปากของเขาก็ไม่ได้อยู่เฉย แต่มือกลับซื่อสัตย์อย่างมาก
ผ่านมานานมากสตรีถึงเพิ่งมารู้ภายหลังว่า ที่แท้นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าคนซื่อสัตย์อย่างแท้จริง
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้ากลับมา “ตามกฎเดิม ลงบัญชีไว้ ใช่แล้ว ขอเหล้าให้พี่ต้าเฟิงอีกชามสิ”
สตรีออกเรือนแล้วกระแทกชามลงบนโต๊ะ ไปตักเหล้ามารินใส่ชามด้วยตัวเอง นางหันหน้าเข้าหาไหเหล้า ตอนที่ก้มตัวลง นางก็รู้ว่าชายฉกรรจ์ต้องกำลังมองตนอยู่อย่างแน่นอน
หวงเอ้อเหนียงรินเหล้าแล้วกลับมายืนพิงโต๊ะคิดเงินอีกครั้ง มองชายฉกรรจ์ที่จิบเหล้าคำเล็กๆ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “คนกลุ่มของหลิวตาใหญ่กำลังหมายตาบ้านของท่าน ระวังหน่อย ไม่แน่ว่าครั้งนี้ที่กลับมาเมืองเล็กก็คงมาเพราะท่าน”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “ยังคงเป็นน้องสาวที่รู้จักเห็นใจคนอื่น”
“กำลังพูดเป็นการเป็นงานกับท่านอยู่นะ!”
หวงเอ้อเหนียงเพิ่มระดับน้ำเสียงเล็กน้อย ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “อย่าได้ไม่เก็บไปใส่ใจ ได้ยินว่าทุกวันนี้พอคนกลุ่มนี้มีเงิน ทำการค้าในเขตการปกครองก็ไร้กฎเกณฑ์อย่างยิ่ง เงินเมื่อตกไปอยู่ในมือของคนดี นั่นก็คือความกล้าแห่งวีรบุรุษ แต่เมื่ออยู่ในกระเป๋าของคนจำพวกนี้ก็คือฝีมือในการทำร้ายคน บ้านโทรมๆ ของท่านหลังนั้นแม้จะเล็กก็จริง แต่ก็ตั้งอยู่ในทำเลดี เดินไปทางทิศตะวันออกของเมืองเล็กก็คือสุสานเทพเซียน ตอนนี้กลายเป็นศาลบู๊ไปแล้ว หลายปีที่ผ่านมานี้มีขุนนางใหญ่กี่มากน้อยที่คอยวิ่งไปจุดธูปกราบไหว้ภูเขาที่นั่น? มีอำนาจมากบารมีขนาดไหน? ท่านไม่รู้เลยหรือ? แต่ข้าก็อยากโน้มน้าวท่านสักคำ หาคนซื้อที่เหมาะสมสักคนแล้วขายให้เขาไปเถอะ อย่าได้เก็บไว้ ระวังทางฝั่งที่ว่าการจะมาเปิดปากขอซื้อจากท่าน ถึงเวลานั้นหวังจะขายราคาสูงก็เป็นเพียงความเพ้อฝันแล้ว ราคามีแต่จะต่ำจนถึงฝ่าเท้า สรุปว่าท่านจะขายหรือไม่ขาย? ไม่ขาย ชีวิตวันหน้าจะสงบสุขได้หรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงอืมรับหนึ่งที
ดังนั้นหากจะให้พูดถึงเรื่องสกปรก เรื่องที่ชวนให้หงุดหงิดวุ่นวายใจ ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ละครอบครัวแต่ละครัวเรือน บ้านไหนบ้างที่จะไม่มีขี้หมาขี้ไก่เสียเลย? แต่หากจะพูดถึงความฉลาด ความจิตใจดี อันที่จริงพวกชาวบ้านก็มีคนที่เป็นแบบนั้นอยู่มากมาย แต่ละบ้านแต่ละเรือน ใครบ้างที่จะไม่มีข้าวสะอาดอยู่สักสองสามถ้วย?
สตรีพลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียใจ “ใกล้จะแก่กันแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มเอ่ย “ก็จริงนะ ตอนนี้เจ้าลูกกระต่ายบ้านเจ้าก็เป็นบัณฑิตแล้ว ได้ยินมาว่าได้ฉายาว่าซิ่วไฉน้อยด้วยหรือ? เป็นอย่างไร พี่ต้าเฟิงไม่เคยหลอกเจ้าใช่ไหมล่ะ เจ้าเด็กนั่นแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นวัสดุที่ดีชิ้นหนึ่ง คือเมล็ดพันธ์บัณฑิตของแท้แน่นอน กลอนคู่ในร้านเหล้าคงเป็นเจ้าเด็กนั่นเขียนสินะ เข้าท่าเข้าทีดีจริง น้องสาว เจ้าน่ะวันหน้าก็รอเสวยสุขเถอะ สมบัติตกทอดของวงศ์ตระกูลไม่ได้อยู่ที่เงินทอง แต่อยู่ที่การสะสมบุญคุณความดี”
หวงเอ้อเหนียงมองเขาแวบหนึ่ง
เจิ้งต้าเฟิงแสร้งทำเป็นเขินอาย ใช้ชามเหล้าบังหน้า “น้องสาว สายตานี้ของเจ้าไม่ค่อยปกติแล้วนะ ทำราวกับว่าพี่ต้าเฟิงไม่ได้สวมเสื้อผ้าออกจากบ้านอย่างนั้นแหละ”
หวงเอ้อเหนียงอ่อนใจเล็กน้อย
เรื่องสั่งสอนบุตรชาย นางต้องขอบคุณเขาจริงๆ ปีนั้นหญิงหม้ายอายุน้อยมีเจ้าขวดน้ำมันน้อย (เปรียบเปรยถึงตัวถ่วง ภาระ) อยู่ข้างกาย นางแทบจะเฉือนเนื้อตัวเองออกมาเพื่อให้ลูกชายได้กินอิ่มสวมใส่เสื้อผ้าอบอุ่นแล้วด้วยซ้ำ พอบุตรชายโตขึ้นมาอีกหน่อย นางก็ตัดใจด่าตีไม่ลง เด็กชายก็เลยเกเร แม้แต่คาบเรียนก็ยังกล้าโดด นางรู้สึกเพียงว่าเป็นแบบนี้ไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะสอนอย่างไร เกลี้ยกล่อมไปก็ไม่ฟัง ทุกครั้งเด็กชายล้วนตอบรับแต่ปาก แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็มักจะชอบลงคลองไปจับปลา ขึ้นเขาไปจับงูอยู่เป็นประจำ จากนั้นมีครั้งหนึ่งที่เจิ้งต้าเฟิงมาดื่มเหล้า ท่ามกลางคำพูดทะลึ่งตึงตังยาวเหยียดได้ซุกซ่อนประโยคหนึ่งเอาไว้ว่าหาเงินต้องมีไหวพริบ ปฏิบัติต่อคนอื่นต้องเป็นมิตรและใจกว้าง ไม่ควรปล่อยปละละเลยบุตรหลานมากเกินไป
หวงเอ้อเหนียงที่ฟังเข้าหูจึงตีสั่งสอนบุตรชายอย่างจริงจังไปรอบหนึ่ง ตีจนลูกชายกลายเป็นเด็กดี
หวงเอ้อเหนียงพลันเอ่ยว่า “หนึ่งใจสองเจตนา ไม่สามไม่สี่ คนห้าคนหก ยุ่งเจ็ดวุ่นวายแปด แปดเก้าไม่พ้นสิบ ก็คือคนขี้ขลาด”
นี่คือถ้อยคำที่เจิ้งต้าเฟิงเคยด่าคนตอนมาดื่มเหล้าที่ร้าน
อันที่จริงไม่ได้รุนแรงอะไร ฟังแล้วก็ไม่เจ็บไม่คัน
แต่หวงเอ้อเหนียงรู้สึกว่าน่าสนใจมากจึงจำเอาไว้ ด่าพวกสตรีออกเรือนแล้วที่ด่าคนก่อนแล้วค่อยข่วนหน้า กับด่าพวกบุรุษป่าเถื่อนทั้งหลาย ดูเหมือนว่าจะเป็นคนละแบบกัน
เจิ้งต้าเฟิงแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ กลับกลายเป็นเริ่มพูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเอง “ความกลุ้มของคนโสดคือต้องนอนหนาวอย่างเดียวดาย ยากจนขนาดไหน? ก็ถึงขนาดหนูยังหิว ต้องย้ายบ้านหนี ยุงกับเหาพอจะได้ดื่มเหล้าเล็กๆ แค่ไม่กี่คำ สะสมเงินแต่งเมียมากพอแล้ว แต่จะมีแม่นางคนใดยินดีมาอยู่ด้วยบ้าง”
หวงเอ้อเหนียงยิ้มถาม “แม่นางต้องอายุเท่าไร”
เจิ้งต้าเฟิงชำเลืองตามองสตรีออกเรือนแล้ว แล้วพูดกลั้วหัวเราะ “อายุน่ะหรือ ไม่มากไม่น้อยล้วนได้หมด แต่อะไรที่ควรใหญ่ก็ยังต้องใหญ่”
หวงเอ้อเหนียงขว้างเมล็ดแตงใส่ชายฉกรรจ์
เจิ้งต้าเฟิงขยับหลบ ยามที่ดื่มเหล้าหนึ่งชามหมดในที่สุด เขาก็วางชามเหล้าลง ตบหน้าตัวเอง จุ๊ปากพูด “สมกับคำว่าดื่มเหมือนปลายักษ์ดูดน้ำร้อยสาย เมาเหมือนขุนเขาหยกล้มครืน น้องสาว เจ้ามีบุญตาแล้ว”
หวงเอ้อเหนียงหลุดหัวเราะพรืด “ท่านมันกวนโอ้ยจริงๆ ดื่มเหล้าเมาตกไปในหลุมส้วม จมอึตาย หรือจะกินอิ่มจนตายก็ตามใจท่านเถิด”
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ย “ไปแล้วๆ วันหน้าต้องคืนเงินให้แน่นอน”
หวงเอ้อเหนียงพลันเอ่ยถาม “จะออกเดินทางไกลอีกแล้วหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงตอบ “ไม่ถือว่าไกลเท่าไร”
พื้นที่มงคลรากบัวแห่งนั้น จะบอกว่าใกล้ ก็ใกล้แค่ภูเขาลั่วพั่ว จะบอกว่าไกล อันที่จริงก็ไกลอยู่เหมือนกัน
หวงเอ้อเหนียงกดเสียงลงต่ำ “ยังเจอความยากลำบากไม่พอหรือไร ด้านนอกมีอะไรดีกันแน่?”
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้ากลับมา ยิ้มเอ่ยว่า “เคยอ่านเจอประโยคหนึ่งในตำรา บุปผาผลิบานรอบบ้านหวงสื่อเหนียง อันที่จริงสู้หวงเอ้อเหนียงไม่ได้”
หวงเอ้อเหนียงถาม “ไม่ไปไม่ได้หรือ? เงินค่าเหล้า ติดไว้ได้ตลอดเลยนะ”
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า สุดท้ายก็ยังเดินจากไป
สตรีจ้องมองชายฉกรรจ์ที่แผ่นหลังงองุ้มผู้นั้นค่อยๆ เดินจากไปไกล นางมองเห็นเขาได้ไม่ชัดอยู่นานแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงมาถึงร้านตระกูลหยาง มาช่วยเหลือชั่วคราว เพราะศิษย์น้องหญิงที่ฉลาดเกินวัยอย่างซูเตี้ยนกับศิษย์น้องชายที่ไร้ไหวพริบอย่างสือหลิงซานได้ออกไปฝึกประสบการณ์ข้างนอกกันแล้ว
ตอนนี้ในร้านจึงมีเพียงลูกหลานตระกูลหยางคนเดียวที่คอยดูแลกิจการ ทุกวันนี้เจิ้งต้าเฟิงหนังหน้าหนาขึ้นมากแล้ว ต่อให้จะยังไม่ได้รับการต้อนรับจากอาจารย์ แต่ถึงอย่างไรขอแค่อยู่ในร้านด้านหน้า ไม่ไปรบกวนท่านผู้เฒ่าที่เรือนด้านหลังก็พอ
ขยับเข้ามาใกล้ร้าน เจิ้งต้าเฟิงก็สลายกลิ่นเหล้าที่ติดตัวมาทิ้งอย่างเงียบเชียบ เข้ามาในร้าน ลูกจ้างอายุน้อยคนนั้นกำลังงีบหลับ ได้ยินเสียงเจิ้งต้าเฟิงขยับม้านั่งตัวเล็กก็ตื่นขึ้นมาแล้วหลับต่อ ลูกหลานตระกูลหยางผู้นี้รำคาญเจิ้งต้าเฟิงมาไม่ใช่แค่ปีสองปีแล้ว เขาคร้านจะตีสนิทกับอีกฝ่าย ชายโสดเฝ้าประตูคนหนึ่ง ออกจากบ้านเดินทางไกลรอบเดียวกลับต้องเอาชีวิตครึ่งหนึ่งไปทิ้งไว้ข้างนอก พอแอบดอดกลับมาก็มาทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูต่อ จะได้ดิบได้ดีสักแค่ไหนกัน? หากไม่เป็นเพราะนายท่านใหญ่ของตระกูลเคยเอ่ยประโยคไม่หนักไม่เบาอยู่หลายคำ เจิ้งต้าเฟิงที่เป็นชายเนื้อตัวสกปรกมอมแมมผู้นี้ก็อย่าได้หวังว่าจะอาศัยความสัมพันธ์น้อยนิดที่มีกับผู้เฒ่าเรือนหลังมาเป็นผู้ช่วยในร้านได้
ตลอดหลายปีมานี้ตระกูลหยางไม่ค่อยราบรื่นนัก พาให้ลูกหลานหลายสายของตระกูลหยางมีชีวิตไม่สมดังใจปรารถนาไปด้วย สี่แซ่สิบตระกูลในอดีต หากไม่นับสองสามตระกูลที่ย้ายบ้านไปอยู่เมืองหลวงต้าหลีโดยตรง ขอแค่ยังมีคนอยู่ในบ้านเกิดก็ล้วนไปเจริญรุ่งเรืองอยู่ในเขตการปกครองทั้งสิ้น ดังนั้นพวกคนที่อายุไม่มาก อีกทั้งยังพอจะมีปณิธานอยู่บ้างก็มักจะต้องรู้สึกอิจฉาตาร้อน นายท่านผู้เฒ่าสกุลหยางกลับแอบซ่อนความหมดอาลัยตายอยากเอาไว้ ไม่ยินดีจะสนใจ พวกลูกหลานที่ไม่ได้ความกลุ่มหนึ่ง อยากทำอะไรก็ตามใจเถิด
เส้นบรรทัดฐานต่ำสุดเพียงหนึ่งเดียวของนายท่านผู้เฒ่าก็คือตำรับยาของผู้เฒ่าหยางที่เรือนหลัง
แต่การค้านี้ ตลอดทั้งตระกูลได้ผ่านมือคนแค่สามคน เป็นคนสามรุ่นพอดี ไม่ต้องกังวลว่าจะชักหน้าไม่ถึงหลัง แค่นี้ก็เพียงพอมากแล้ว
พอมีลูกหลานมากเข้า คนที่เป็นประมุขดูแลตระกูลก็ชอบที่จะให้พวกคนที่ได้ดิบได้ดีมากกว่า พวกที่ไม่มีเงินก็เลี้ยงเอาไว้ ไม่มีทางหิวตาย ส่วนคนที่สามารถหาเงินได้ก็มีแต่จะยิ่งมีเงินมากกว่าเดิม
เจิ้งต้าเฟิงยกม้านั่งมานั่งอยู่หน้าร้าน อาบแดดอุ่นๆ ไม่ต้องเสียเงิน ไม่อาบก็เสียเปล่า ชมบุปผาชมจันทร์อยู่บนภูเขา ลงภูเขามาหาความครึกครื้นในตลาดของชาวบ้าน คือเรื่องดีสองอย่าง
เจิ้งต้าเฟิงแหงนหน้ามองดวงอาทิตย์ สวรรค์มองเห็นทุกเรื่องจริงหรือ?
มองอยู่อย่างนี้มานานมาก เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก มองนานเข้าก็ไม่รู้สึกแสบตา ไม่มีความรู้สึกอะไร ภายหลังเจิ้งต้าเฟิงเรียนวรยุทธจึงไม่คิดมากอีก
เจิ้งต้าเฟิงถอนสายตากลับ ยกมือตบเข่าตัวเองเบาๆ “ปีก่อนหวังว่าปีนี้จะดี ปีนี้ก็ยังสวมเสื้อผ้าฝ้ายขาดๆ ปีนี้ปรารถนาว่าปีหน้าจะดี ปีหน้า…”
คนหนุ่มที่อยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินพึมพำขึ้นว่า “หนวกหูจะตายอยู่แล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้าไปยิ้มถาม “แล้วตายหรือยัง?”
คนหนุ่มถลึงตาใส่ “เจ้านี่พูดจายังไงนะ!”
เจิ้งต้าเฟิงถามด้วยสีหน้าสงสัย “ไม่ใช้ปากหรอกหรือ หรือใช้ก้นพูด?”
คนหนุ่มตบโต๊ะ “เจิ้งต้าเฟิง เจ้าทำปากตัวเองให้สะอาดหน่อยเถอะ”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะ ยกมือขึ้นกดลงบนความว่างเปล่าสองสามที พูดอย่างอดทนว่า “เบาเสียงหน่อย โต๊ะของชาวบ้านอย่างพวกเราหากไม่เอาไว้วางถ้วยข้าว ก็เอาไว้วางกระถางธูป ส่วนจะทำเรื่องอื่นด้วยหรือไม่ ก็ไม่สำคัญเท่าไร ยกตัวอย่างเช่นเอามาวางลูกคิดรางนั้นก็ได้เหมือนกัน ดังนั้นอย่าได้ตบโต๊ะ เป็นการไม่เคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าดิน ทำแบบนี้ไม่สมควรเลยนะ”
คนหนุ่มเอ่ยเย้ยหยัน “มารดาเจ้าเถอะ เจ้าเลิกพูดหลักการวิถีเก่าๆ ที่เหลวไหลส่งเดชเสียที ขาก็เป๋หลังก็ค่อม ชีวิตนี้มีชะตาต่ำต้อยเป็นได้แค่หมาเฝ้าประตูให้คนอื่น คิดว่าร้านนี้เป็นบ้านของตัวเองจริงๆ หรือไร?!”
เหลาเขาวัวให้แหลมแล้วทิ่มคน ยังไม่ร้ายกาจเท่าปากคมดุจมีดที่แทงใจคน
เพียงแต่ว่าเรื่องที่เจิ้งต้าเฟิงประลองกับคนอื่นมามากที่สุด ไม่ใช่การถามหมัดกับศิษย์พี่อย่างหลี่เอ้อ แต่เป็นการฉะฝีปาก
ชาวบ้านของเมืองเล็กมีไม่มาก มีแค่ยอดฝีมือด้านฝีปากนี้เท่านั้นที่มีมากที่สุด