หลี่เป่าผิงรีบเป่าลมใส่มันแล้วใช้ฝ่ามือเช็ด ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอยู่ดี
ช่างเถิด
หลี่เป่าผิงคิดว่าจะคีบเอายันต์หลายๆ แผ่นออกมาจากชายแขนเสื้อ ล้วนเป็นยันต์ที่เขียนตัวอักษรซึ่งคัดลอกมาจากตำราต่างๆ เป็นตัวอักษรประเภทที่นางค่อนข้างถูกชะตาด้วย
นางไม่โทษพี่ใหญ่หลี่ซีเซิ่ง แต่กลับรู้สึกตำหนิอาจารย์อาน้อยนิดๆ ว่าทำไมถึงไม่อยู่ข้างกายนาง
หลี่เป่าผิงแอบยู่จมูก
ช่างเถิดๆ ยังจะทำอย่างไรได้อีก พรุ่งนี้ค่อยไม่ชอบอาจารย์น้อยอีกต่อไปก็แล้วกัน
กู้ช่านไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ไม่ใช่ว่าไม่อยากขัดขวาง แต่เป็นเพราะขวางไปก็ไร้ความหมาย
ขอบเขตของทั้งสองฝ่ายต่างกันมากเกินไป
ในใจของกู้ช่านรู้สึกเคียดแค้นอย่างหนัก
เจ้าหลิ่วชื่อเฉิงที่นิสัยยากจะคาดเดาผู้นี้ ในอนาคตต้องตายด้วยน้ำมือของตนอย่างแน่นอน
ดังนั้นกู้ช่านจึงเอ่ยเสียงในใจกับหลี่เป่าผิงทันที “หลี่เป่าผิง ข้าคือกู้ช่านแห่งตรอกหนีผิง เจ้าอย่าวู่วาม มีชีวิตรอดให้ได้ก่อน”
หลี่เป่าผิงส่ายหน้า “ไม่อยากตาย แต่จะไม่ยอมมีชีวิตอยู่อย่างไร้ค่าไปวันๆ แน่นอน”
จากนั้นนางก็ยิ้มกล่าว “จะไม่ยอมให้คนอื่นที่หวังดีทำผิดพลาดได้บ้างเลยหรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ได้เกี่ยวพันกับความเป็นความตายใหญ่หลวง กู้ช่าน ข้าต้องขอบคุณเจ้า เจ้าจงมีชีวิตอยู่ให้ดีๆ จำเอาไว้ว่าบอกกับอาจารย์อาน้อยด้วยว่าข้าคิดถึงเขามาก”
หลิ่วชื่อเฉิงชำเลืองตามองกระดาษในมือของนาง ตัวอักษรบนนั้นกำลังเคลื่อนไหว!
หลิ่วชื่อเฉิงขมวดคิ้วแน่น สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด
หากเกี่ยวข้องกับสำนักศึกษาหรือสถานศึกษาจะค่อนข้างเป็นปัญหายุ่งยาก
เพราะถึงอย่างไรตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลก็เป็นสถานที่สำหรับการศึกษาหาความรู้ของบัณฑิต
ทางฝั่งของป่าดอกท้อ เดิมทีพอเห็นภาพที่หลี่เป่าผิงสะบัดยันต์ไม้ท้ออย่างแรง บุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อยังกลั้นยิ้มขำได้อยู่
นานๆ ทีจะได้เห็นเป่าผิงน้อยมีท่าทางแง่งอนน่ารักแบบนี้
แต่เวลานี้เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว ไปหยุดยืนอยู่ข้างกายหลี่เป่าผิง เงยหน้ามองกายธรรมร่างทองและนักพรตชุดสีชมพู
หลี่เป่าผิงกล่าวอย่างตกตะลึงระคนยินดี “พี่ชาย?!”
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้าให้ ก่อนจะหันมายิ้มเอ่ยว่า “พี่ชายของเจ้ากำลังโมโห ไม่อยากพูดอะไรมาก”
หลี่เป่าผิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “พี่ชายของข้าก็โกรธเป็นด้วยหรือ?”
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
ลางสังหรณ์บอกกับหลิ่วชื่อเฉิงว่า เรื่องนี้ท่าจะไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว
เพียงแต่มองดูแล้วบัณฑิตสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่อายุยังน้อยผู้นั้นก็น่าจะขอบเขตไม่สูงนี่นา แล้วก็ไม่เหมือนว่าจะร่ายเวทอำพรางตาอะไรไว้ด้วย ไม่มีทางเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้แน่ ส่วนขอบเขตบินทะยาน…สมองของหลิ่วชื่อเฉิงไม่ได้มีปัญหาสักหน่อย
หลังออกมาจากนครจักรพรรดิขาว พันปีที่ผ่านมาเคยเจอกับความทุกข์ยากใหญ่หลวงอยู่สองครั้ง ครั้งหนึ่งถูกเทียนซือใหญ่สยบกำราบกับมือตัวเอง แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องให้ท่านผู้นั้นเรียกตราประทับอาคมหรือออกกระบี่ แค่ร่ายเวทคาถาเท่านั้นเอง
การที่เทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ลงมือด้วยตัวเองก็หนีไม่พ้นว่าได้แสดงท่าทีกับนครจักรพรรดิขาวแล้วว่า ไม่ให้ศิษย์พี่ท่านนั้นของหลิ่วชื่อเฉิงยื่นมือเข้าแทรก
ครั้งที่สองอยู่ในวัดเล็กเก่าโทรม อยู่ดีๆ ก็โดนหนึ่งกระบี่ เป็นแค่กระบี่ไม้ธรรมดาเล่มหนึ่งเท่านั้น แต่กลับทำลายค่ายกลคุ้มกันกายของหลิ่วชื่อเฉิงได้อย่างง่ายดาย
ทันใดนั้น
ลางสังหรณ์ในใจของหลิ่วชื่อเฉิงก็ได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง
แม่น้ำแห่งกาลเวลาหยุดนิ่งไม่เคลื่อนหน้า
นอกจากฟ้าดินขนาดเล็กของตนแล้วยังปรากฏฟ้าดินอีกแห่งหนึ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่า
หลี่เป่าผิง เว่ยเปิ่นหยวน กายธรรมร่างทอง กู้ช่านที่อยู่บนยอดเขาล้วนหยุดนิ่ง แม้แต่ความคิดก็ขยับไม่ได้
มีเพียงหลิ่วชื่อเฉิงที่อีกฝ่ายจงใจละเว้นเท่านั้น
สรรพสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ล้วนอยู่ในครรลองจักษุ ฟ้าสูงเพียงนั้น แผ่นดินราบเรียบเพียงนั้น แต่ราวกับว่ามองเห็นได้ไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้
หลิ่วชื่อเฉิงเจ็บปวดจนพูดไม่ออก
ดูท่าแล้วคงไม่มีทางสู้อีกฝ่ายได้เลย
นี่มันคนอำมหิตที่ไร้เหตุผลชัดๆ
“ผู้ฝึกตน ออกมาอยู่ข้างนอกก็ยังต้องยึดหลักเคารพฟ้าดิน มีจิตสำนึกมโนธรรมกันบ้าง”
หลี่ซีเซิ่งเดินมาข้างหน้าอย่างเนิบช้า เขาเอ่ยว่า “เอาล่ะ นี่คือคำพูดในฐานะของบัณฑิต”
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มกล่าว “ก็ได้ๆ พวกเรามาพูดคุยกันด้วยเหตุผลดีๆ ข้าคนนี้ชอบฟังเหตุผลของบัณฑิตมากที่สุดเลยล่ะ”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ย “ต่อจากนี้ข้าจะใช้ฐานะพี่ใหญ่ของเป่าผิงน้อยมาพูดเหตุผลกับเจ้า”
หลิ่วชื่อเฉิงหมายจะออกห่างจากพื้นที่แห่งนี้ หวังใช้ฟ้าดินขนาดเล็กพุ่งชนฟ้าดินขนาดใหญ่เพื่อจะหลบหนีไป
ส่วนขอบเขตหรือหน้าตาของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนอะไรนั่น หล่นลงบนพื้นไปแล้ว จะเก็บหรือไม่เก็บเอามาก็ไม่สำคัญแล้ว
ระหว่างฟ้าดินพลันปรากฏกายธรรมของนักพรตวัยกลางคนผู้หนึ่ง
หลิ่วชื่อเฉิงเข่าอ่อนทันใด ก้นที่เพิ่งยกขึ้นร่วงแปะกลับไปอีกครั้ง
แต่กระนั้นก็ยังพยายามสะกดกลั้นจิตแห่งเต๋าที่แทบจะแหลกสลายคาที่เอาไว้ ลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน ก้มกราบเอาหัวแนบพื้น ไม่เอ่ยคำใด
หลี่ซีเซิ่งถาม “หากคารวะขออภัยมีประโยชน์ แล้วกฎเกณฑ์ของมหามรรคาจะมีไว้ทำอะไร?!”
นักพรตวัยกลางคนที่ร่างสูงใหญ่ราวขุนเขายกแขนข้างหนึ่งขึ้นแล้วเงื้อฝ่ามือฟาดตบลงไป
ตบให้ทั้งหลิ่วชื่อเฉิงและกายธรรมของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดกระแทกอัดกับพื้นดิน
ไม่มีการร่ายวิชาอาคมใดๆ ยิ่งไม่มีสมบัติอาคมของตระกูลเซียน
ร่างกายธรรมของนักพรตผู้นั้นเพียงแค่ฟาดฝ่ามือลงมา
หลิ่วชื่อเฉิงนอนอยู่ในหลุมใหญ่ ในใจมีเพียงความคิดเดียว บัณฑิตของแจกันสมบัติทวีปอย่างพวกเจ้าอย่าเป็นแบบนี้กันได้ไหม
หลังจากเก็บกายธรรมมาแล้ว หลี่ซีเซิ่งก็เดินมาที่หลุมใหญ่ หลุบตาลงต่ำมองนักพรตชุดคลุมสีชมพูที่ลมหายใจรวยริน นับนิ้วคำนวณแล้วพูดกลั้วหัวเราะเสียงเย็นชา “กลับไปนครจักรพรรดิขาวก็บอกกับศิษย์พี่ของเจ้าด้วยว่า ข้าจะไปเล่นหมากล้อมกับเขา”
หมื่นความคิดของหลิ่วชื่อเฉิงแหลกสลายไปสิ้น
ศิษย์พี่เคยยิ้มเอ่ยกับเขาเป็นการส่วนตัวว่า บนวิถีของวิชาหมากล้อม คนที่สามารถทำให้นครจักรพรรดิขาวมิอาจแขวนป้าย ‘ถ่อมตนยอมถอยแด่ใต้หล้า’ ได้อีกต่อไป ชุยฉานมีโอกาส แต่โอกาสเลือนราง คนผู้นั้นไม่ได้อยู่ในใต้หล้าไพศาล แต่อยู่ที่ป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัว
คือศิษย์พี่ใหญ่ของเต๋าเหล่าเอ้อร์และลู่เฉินเจ้าลัทธิสาม
ศิษย์คนแรกของมรรคาจารย์เต๋า ช่วงแรกเริ่มสุดก็เป็นคนผู้นี้ที่รับลู่เฉินเป็นศิษย์แทนอาจารย์
ถ้าอย่างนั้นมรรคกถาของคนผู้นี้เป็นอย่างไร แค่คิดก็รู้ได้แล้ว
หลิ่วชื่อเฉิงดิ้นรนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ยังคงไม่เอ่ยอะไรอยู่เหมือนเดิม เพียงแค่ก้มกราบตามกฎเกณฑ์ของลัทธิเต๋าอย่างนอบน้อมและจริงใจ
……
รอกระทั่งหลี่เป่าผิง ‘คืนสติ’ พี่ใหญ่หลี่ซีเซิ่งยังคงยืนอยู่ข้างกาย นักพรตชุดชมพูผู้นั้นก็ยังคงนั่งอยู่บนศีรษะของกายธรรมร่างทองอยู่เหมือนเดิม
ทุกอย่างเหมือนเดิม
หลิ่วชื่อเฉิงมองดูคล้ายมีรอยยิ้มประดับใบหน้า แต่แท้จริงแล้วเหงื่อกลับแตกเต็มหลัง
แม่น้ำแห่งกาลเวลากำลังไหลย้อนกลับ!
ประเด็นสำคัญก็คือเว่ยเปิ่นหยวนยังคงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาช่วงหนึ่งเพียงลำพัง
“เมื่อครู่นี้ข้าอธิบายเหตุผลกับยอดฝีมือท่านนี้ไปแล้ว ไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
หลี่ซีเซิ่งพูดกลั้วหัวเราะเสียงเบา “ครั้งนี้ข้าเดินทางมาที่นี่คงไม่อยู่พูดคุยกับท่านปู่เว่ยแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงจะรั้งตัวข้าไว้เล่นหมากล้อมด้วยให้ได้ ปีนั้นบ้านเกิดของเรามีตำราหมากล้อมอยู่แค่ไม่กี่เล่ม หลักการเล่นหมากล้อมที่ท่านปู่เว่ยพร่ำพูด วนกลับไปกลับมาก็มีอยู่แค่ไม่กี่ข้อ อันที่จริงฟังแล้วก็น่ารำคาญอยู่มาก”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับอย่างแรง
ร่างของหลี่ซีเซิ่งเริ่มเลือนหายไป จะกลับคืนไปยังแคว้นเล็กใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทุรกันดารห่างไกลของอุตรกุรุทวีป
การเดินทางไกลข้ามทวีปเช่นนี้ ทุกวันนี้ขอบเขตเขายังไม่สูง จึงไม่ได้ผ่อนคลายมากนัก
ดังนั้นจึงต้องไปกลับอย่างรวดเร็ว
หลิ่วซีเซิ่งพลันยิ้มเอ่ยว่า “แอบโตเป็นสาวไม่บอกพี่ใหญ่สักคำเลยนะ”
หลี่เป่าผิงยิ้มกว้าง
หลี่ซีเซิ่งส่ายหน้ายิ้ม แล้วร่างก็พลันหายวับไป
เว่ยเปิ่นหยวนกลับคืนมาเป็นปกติ
จากนั้นหลิ่วชื่อเฉิงก็ลุกขึ้นยืนแล้วขอตัวจากไปทันที บอกแค่ว่าเขาแค่หยอกแม่นางน้อยเล่นเท่านั้น
ส่วนผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่อยู่ใต้ก้นของเขาก็เก็บกายธรรมไปแล้วเหมือนกัน ก่อนทะยานลมติดตามไปข้างกายของหลิ่วชื่อเฉิง หลิ่วชื่อเฉิงใช้เสียงในใจเอ่ยกับกู้ช่านบอกว่าข้าจะไปรอเจ้าอยู่ที่นครลมเย็น ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าพูดคุยเรื่องเก่าๆ กับนางไปก่อนได้
กู้ช่านข่มกลั้นความสงสัยไว้ในใจ ครั้นจึงทะยานลมไปที่กระท่อม ไปถึงก็พูดเข้าประเด็นทันที “หลี่เป่าผิง เรื่องในวันนี้ต้องขอโทษด้วย ไม่ว่าจะด้วยเรื่องราวหรือด้วยจิตใจ ข้าก็ทำผิดและทำถูกอย่างละครึ่ง”
หลี่เป่าผิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
กู้ช่านที่เป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงทำให้อาจารย์อาน้อยในปีนั้นเสียใจถึงขนาดนั้นได้?
หรือจะบอกว่าเวลาสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่ปี กู้ช่านเปลี่ยนแปลงตัวเองไปมากแล้ว?
หลี่เป่าผิงคิดแล้วก็บอกกับท่านปู่เว่ยว่าจะไปเดินเล่นริมลำธารกับคนบ้านเดียวกันผู้นี้เสียหน่อย
เว่ยเปิ่นหยวนยังมึนงงไม่หาย แต่ก็พยักหน้าตอบรับ “ระวังตัวหน่อยล่ะ”
หลี่เป่าผิงเดินไปริมลำธารพร้อมกับกู้ช่าน
ตอนเด็กๆ คนทั้งสองแค่เคยเห็นหน้ากัน ไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน
คนหนึ่งชอบเคลื่อนไหว คนหนึ่งชอบอยู่นิ่งๆ เจอกันในบ้านเกิดก็แค่เดินสวนไหล่ผ่านกันไปเท่านั้น
อย่างมากสุดแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่ฝีเท้าเร่งร้อนตลอดเวลาก็แค่รู้สึกว่าเด็กผู้ชายที่มีขี้มูกยืดสองเส้นผู้นั้นทำให้คนจดจำได้อย่างลึกล้ำ
ส่วนเจ้าขี้มูกยืดน้อยในปีนั้นกลับรู้สึกว่าแม่นางน้อยชุดแดงที่โตกว่าตนเล็กน้อยดูไม่เหมือนลูกบ้านคนมีเงินเลยสักนิด ไม่รู้จักเสวยสุขเลยจริงๆ
เด็กสองคนที่แทบจะถือว่าซุกซนที่สุดของเมืองเล็กคู่นี้ ต่างกันก็แค่ว่าชาติกำเนิดไม่เหมือนกัน คนหนึ่งถือกำเนิดบนถนนฝูลวี่ อีกคนหนึ่งอยู่ในตรอกหนีผิง
แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงวิ่งทะลุไปทั่วตรอกเล็กถนนใหญ่ ไปมาราวกับสายลม แม้แต่ห่านขาวตัวใหญ่ทั้งหลายก็ยังไล่ตามไม่ทัน
ส่วนเจ้าขี้มูกยืดน้อยกลับไม่เหมือนกัน อันที่จริงเขาไม่ค่อยชอบขยับตัวเท่าไรนัก ชอบไปนอนหมอบอยู่ริมคันนาตกปลาไหลภายใต้แสงแดดแรงกล้า ไปเฝ้าอยู่ใต้ต้นไหวโบราณ คอยใช้หนังกะติ๊กดีดนกขมิ้นอยู่ใต้ต้นไม้
บ้านของกู้ช่านมีไร่ชาอยู่หลายผืน เด็กตัวใหญ่เท่าก้นแบกตะกร้าไม้ไผ่สานใบเล็กสมตัว เจ้าขี้มูกยืดน้อยใช้สองมือเด็ดใบชาได้เร็วกว่าคนผู้นั้นที่มาช่วยงานเสียอีก กู้ช่านเกิดมาก็เชี่ยวชาญในการทำเรื่องพวกนี้ เพียงแต่ว่าเขากลับไม่ชอบทำ เพียงแค่เอาใบชามารองใต้ก้นตะกร้าสานใบเล็กที่คนผู้นั้นมอบให้ตนพอเป็นพิธีก็วิ่งไปนั่งพักใต้ร่มไม้แอบอู้แล้ว
เพราะถึงอย่างไรหลิวเสี้ยนหยางก็เป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวของเขา แต่แล้วจะอย่างไรเล่า?
ก็ยังมีเพียงเจ้าขี้มูกยืดน้อยของตรอกหนีผิงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นญาติเพียงหนึ่งเดียวของเขาบนโลกใบนี้ไม่ใช่หรือ
น้ำในลำธารใสกระจ่างจนมองเห็นก้นบึ้ง
คนทั้งสองเงียบงันกันไปนาน
ก่อนที่หลี่เป่าผิงจะเอ่ยว่า “คิดถึงความยากลำบากของอาจารย์อาน้อยให้มาก”
กู้ช่านเอ่ย “เคยคิด”
หลี่เป่าผิงยิ้มกล่าว “อย่าได้เข้าใจผิด อันที่จริงอาจารย์อาน้อยไม่เคยพูดเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับเจ้าและทะเลสาบซูเจี่ยนมากนัก แต่ไหนแต่ไรมาอาจารย์อาน้อยก็ไม่ชอบพูดนินทาคนอื่นลับหลังอยู่แล้ว”
กู้ช่านหัวเราะ
เขาย่อมไม่เข้าใจผิดอยู่แล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้พูดจริงแล้วอย่างไร นับแต่เด็กมากู้ช่านก็ไม่ชอบความยากลำบาก แต่โดนด่าโดนตีกลับเป็นเรื่องที่เขาค่อนข้างถนัด
ส่วนลึกในใจของกู้ช่านยังคงไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร
แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังไม่รู้ว่า กู้ช่านไปเยือนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่เร็วกว่าเขาด้วยซ้ำ ได้ยินหลิวเสี้ยนหยางบอกว่าที่นั่นมีคนมีเงินอยู่กันเยอะ ถุงเงินเต็มล้นเกินไป จึงมักจะทำเงินหล่นไว้บนพื้น กู้ช่านจึงเคยไปเก็บเงินที่นั่น เพียงแต่ไม่เคยเก็บได้แม้แต่ครั้งเดียว ขนาดกู้ช่านก็ยังหมดความอดทน ทำเอาเจ้าขี้มูกยืดน้อยที่โมโหแอบไปเตะต้นท้อต้นหนึ่งของตรอกเถาเย่ ตั้งแต่รากจรดปลายยอดล้วนพากันร่วงกราวลงมา เลยถูกกู้ช่านเก็บมาเรียบ ระหว่างนั้นหากมีคนเดินผ่านมาเขาก็แกล้งรีบทำเป็นนั่งยองมองดูมดใต้ต้นไม้ทันที
ตอนนี้กู้ช่านมาลองย้อนนึกดู ดอกท้อกิ่งท้อและใบท้อที่หล่นลงพื้นในปีนั้น ควรจะเอามาเก็บซ่อนไว้ให้ดี
หลี่เป่าผิงเอ่ยต่ออีกว่า “แต่อาจารย์อาน้อยสนิทกับเจ้าขนาดนั้น ไม่ว่าเจ้าทำเรื่องอะไรที่พอเป็นหน้าเป็นตาได้บ้าง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่เจ้าทำได้ดี อาจารย์อาน้อยล้วนไม่เคยขี้เหนียวคำชมกับเจ้า ครั้งแรกที่ออกเดินทางไกลร่วมกับอาจารย์อาน้อย เรื่องเล่าเกี่ยวกับบ้านเกิดของอาจารย์อาน้อยก็ล้วนหนีไม่พ้นเรื่องของเจ้าและหลิวเสี้ยนหยาง แต่พออาจารย์อาน้อยกลับมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนกลับไม่ค่อยพูดถึงเจ้าแล้ว”
หลี่เป่าผิงยกมือขึ้นชี้ไปยังดวงตาของตัวเอง “ตรงนี้ของคนคนหนึ่งพูดจาอย่างจริงใจได้มากที่สุด อาจารย์อาน้อยไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง แต่ก็เหมือนพูดออกมาจนหมดเปลือก”
กู้ช่านอืมรับหนึ่งที
หลี่เป่าผิงเอ่ย “พูดจบแล้ว”
กู้ช่านเองก็ไม่มีนิสัยอืดอาด เขาเอ่ยลาแล้วขอตัวจากไป ทว่าจู่ๆ ก็พลันหยุดเดิน ยิ้มเอ่ยว่า “หลี่เป่าผิง ขอบใจเจ้ามาก”
หลี่เป่าผิงยิ้มถาม “ตอนนี้เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าต้องพูดจาตามมารยาทหรือ?”
สายตาของกู้ช่านเป็นประกายสดใส ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ใช่คำพูดตามมารยาท แต่เพราะเจ้าเป็นคนแรกที่เดินทางออกจากบ้านเกิดเป็นเพื่อนเขา ตอนนั้นหากไม่มีหลี่เป่าผิงอยู่ข้างกายเขา ภายหลังเขาก็อาจจะเดินมาไม่ถึงข้างกายกู้ช่าน”
หลี่เป่าผิงคลี่ยิ้ม
กู้ช่านเองก็ยิ้ม
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ในวัดเล็กที่บนกำแพงเขียนชื่อมากมายเต็มไปหมด หลิวเสี้ยนหยางยืนอยู่บนบันได เฉินผิงอันจับประคองบันได กู้ช่านโยนเศษถ่านไม้ในมือไปให้หลิวเสี้ยนหยาง ให้เขาเขียนชื่อของคนทั้งสามลงไป
ตำแหน่งสูงมาก
สุดท้ายกู้ช่านเอ่ยว่า “หลี่เป่าผิง เจ้าน่าจะได้พบเฉินผิงอันเร็วกว่าข้า ถึงเวลานั้นเมื่อเจอหน้ากัน เจ้าก็บอกเขาไปว่า กู้ช่านไปฝึกตนบนมหามรรคาอยู่ที่นครจักรพรรดิขาว!”