เว่ยเปิ่นหยวนยิ้มเอ่ย “สกุลสวี่มีความสามารถในการหาเงินมาก เพียงแต่ว่าชื่อเสียงไม่ค่อยดีเท่าไร”
ตอนอยู่นครลมเย็น หลี่เป่าผิงซื้อนิยายรักเกี่ยวกับบัณฑิตและเซียนจิ้งจอกมาบางส่วน รูปเล่มจัดพิมพ์ได้อย่างงดงาม แทบจะไม่แพ้ให้กับการจัดพิมพ์จากเตี้ยนเก๋อเปิ่นของราชวงศ์ในโลกมนุษย์เลย เพียงแต่ไม่แน่เสมอไปว่านางจะเปิดอ่าน เพราะคิดว่าวันหน้าจะเอาไปมอบให้เผยเฉียน เกี่ยวกับเรื่องราวในยุทธภพและภูตประหลาดตามขุนเขาสายน้ำแล้ว อันที่จริงตอนนี้เผยเฉียนไม่ได้มีจินตนาการภาพถึงพวกมันมากสักเท่าไร สู้เผยเฉียนกับหลี่ไหวไม่ได้
หลายปีมานี้นอกจากไปศึกษาต่อที่สำนักศึกษาแล้ว หลี่เป่าผิงก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย นางเคยสอบถามเรื่องการฝึกตนบางอย่างจากหลินโส่วอีและเซี่ยเซี่ย แล้วก็ขอความรู้วิชาหมัดมาจากอวี๋ลู่
แน่นอนว่าทั้งสามคนนี้ต้องบอกทุกเรื่องที่ตัวเองรู้ให้แก่หลี่เป่าผิง
บางครั้งเจอหลี่ไหวกลางทางกลับกลายเป็นว่าพวกเขาคุยเล่นกันไปเรื่อยเปื่อยมากกว่า
แคว้นหูตั้งอยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์ที่ปริแตกแห่งหนึ่ง ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่กระจัดกระจาย ถ้อยคำที่บรรยายมีไม่ละเอียดมากพอ ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นการสรุปความเอาเอง มิอาจเชื่อถือได้
หลี่เปิ่นหยวนจอดเรือยันต์ตรงทางเข้าแห่งหนึ่ง ที่นั่นคือซุ้มประตูไม้ แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘กิ่งสอดผสาน’ กลอนคู่สองฝั่งหายไปเกินครึ่ง กลอนท่อนล่างค่อนข้างสมบูรณ์ คือประโยคที่ว่า ‘บนโลกมีคนลุ่มหลงในรักเพิ่มมาคู่หนึ่ง’ กลอนท่อนบนเหลือเพียงสามคำว่า ‘สถานที่แห่งความอบอุ่น’ มีเรื่องเล่าบอกว่าในอดีตเคยถูกเซียนคนหนึ่งที่เดินทางมาเยือนที่นี่ใช้กระบี่ฟันให้หายไป บ้างก็บอกว่าเป็นหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้า แล้วก็มีคนบอกว่าเป็นเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ ส่วนเวลาที่เกิดเรื่องจะตรงกันหรือไม่ ทุกคนก็แค่พูดอย่างสนุกปากเท่านั้น ใครจะคิดเป็นจริงเป็นจัง
ตรงซุ้มป้ายแห่งนี้มีผู้คนเนืองแน่น กระแสผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ ส่วนใหญ่เป็นบุรุษ โดยเฉพาะบัณฑิตที่มีอยู่ไม่น้อย เพราะแคว้นหูมีหนึ่งศาลหนึ่งภูเขาที่เล่าลือกันว่าเป็นสองสถานที่ที่มีชะตาบุ๋นเข้มข้น ผู้ที่มาจุดธูปกราบไหว้ขอพรที่นี่จะศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ง่ายที่จะสอบติด ส่วนบัณฑิตยากจนที่จงใจอ้อมเส้นทางมาที่นี่ระหว่างที่เดินทางมาสอบ ด้วยหวังว่าจะหาเงินค่าเดินทางเพิ่มจากแคว้นหูก็มีอยู่เหมือนกัน พวกสาวงามในแคว้นหูขึ้นชื่อว่าชื่นชอบบัณฑิต และยังมีบัณฑิตตกอับอยู่มากมายที่ยินดีจะตายอยู่ในสถานที่แห่งความอบอุ่นแห่งนี้ พวกเขาจะอายุยืนมาก เพราะคำกล่าวที่บอกว่าเซียนจิ้งจอกลุ่มหลงในรักนั้นไม่ใช่คำกล่าวเลื่อนลอย ทุกครั้งที่บุรุษผู้เป็นที่รักจากโลกนี้ไป พวกนางส่วนใหญ่ล้วนไม่หวังให้เกิดวันเดือนปีเดียวกัน แต่ขอให้ได้ตายวันเดือนปีเดียวกัน
คิดจะเดินทางไปท่องเที่ยวแคว้นหู กฎเกณฑ์ของที่นั่นน่าสนใจอย่างมาก จำเป็นต้องเอาบทกวีมาจ่ายเป็นค่าผ่านทาง จะใช้บทร้อยกรอง บทร้อยแก้วหรือบทความที่แต่งตามตามหัวข้อที่เสนอให้ก็ได้ทั้งหมด ขอแค่มีความสามารถมากพอ จะเขียนกลอนคู่วันปีใหม่บทหนึ่งก็ยังได้ แต่หากเขียนบทที่ทำให้เซียนจิ้งจอกผู้ตรวจสอบทั้งหลายรู้สึกว่าแย่จนไม่เข้าตา ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ย้อนกลับไปทางเดิม ส่วนจะขอให้คนอื่นช่วยเขียนให้หรือไม่ก็ไม่มีปัญหาใดๆ
ไม่อาจมอบบทความดีๆ ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่จ่ายเป็นเงินเทพเซียนแล้ว
หลี่เป่าผิงชำเลืองตามองหอเรือนงดงามที่อยู่ห่างจากซุ้มป้ายไปไม่ไกลแล้วขมวดคิ้ว สกุลสวี่นครลมเย็นและแคว้นหูใช้สิ่งนี้มาสะสมโชคชะตาบุ๋น? สะสมจากน้อยเป็นมาก คิดจะทำอะไร? แล้วจะทำอะไรได้บ้าง?
สกุลสวี่นครลมเย็นยอมทำตัวต่ำต้อย ให้บุตรสาวสายตรงแต่งกับบุตรอนุภรรยา แต่ก็ต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลหยวนเสาคานค้ำยันแคว้นต้าหลีให้จงได้ นี่เป็นเพราะว่าสกุลสวี่มีเป้าหมายบางอย่างต่อราชสำนักต้าหลีในอนาคตหรือไม่ คิดอยากจะให้ลูกหลานสกุลสวี่บางคนที่มีความสามารถพอจะแบกรับโชคชะตาบุ๋นยึดครองพื้นที่หนึ่ง แล้วเดินทีละก้าวจนกลายเป็นขุนนางคนสำคัญ สุดท้ายควบคุมการบริหารปกครองส่วนหนึ่งของต้าหลี กลายเป็นแซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นแซ่ถัดไปของต้าหลีหรือไม่?
หลี่เป่าผิงเริ่มคิดถึงการเดินทางไปเยือนเมืองเล็กของแม่ลูกสกุลสวี่นครลมเย็นในปีนั้น ไม่ได้ ต้องถามท่านปู่สักหน่อยว่านอกจากเสื้อเกราะโหวจื่อตัวนั้นแล้ว ปีนั้นแม่ลูกสกุลสวี่ได้ร่ายเวทอำพรางตาเพื่อบดบังแผนการที่แท้จริงบางอย่างเอาไว้ด้วยหรือไม่
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่อาจารย์อาน้อยไม่เคยถือสามาโดยตลอด แต่กลับกลายเป็นปมเล็กๆ อยู่ในใจของหลี่เป่าผิงตลอดมา
นั่นก็คือวานรย้ายภูเขากับเด็กหญิงแห่งภูเขาตะวันเที่ยงคู่นั้น ปีนั้นพวกเขามาขอพักอาศัยอยู่ในบ้านสกุลหลี่ถนนฝูลวี่
หากเรื่องนี้มีเพียงเท่านี้ก็ยังถือว่าดี กลัวก็แต่ว่านี่จะเป็นแผนการร้ายของคนบนภูเขาที่วกไปวนมามากกว่า
คู่พ่อลูกจูเหอจูลู่ พี่รองหลี่เป่าเจิน นี่ถือเป็นสองเรื่องแล้ว เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม
เว่ยเปิ่นหยวนควักเงินเกล็ดหิมะออกมาสองเหรียญ แล้วพาหลี่เป่าผิงเดินเข้าไปในแคว้นหูด้วยกัน
ทางฝั่งของหอเรือนมีสตรีโตเต็มวัยคนหนึ่งกำลังนั่งฟุบอยู่บนโต๊ะหนังสืออย่างเกียจคร้าน นางพลันเงยหน้าขึ้นมา อารมณ์เบิกบานลิงโลด รีบส่งกระบี่บินส่งข่าวไปยังห้องกระบี่ของสกุลสวี่นครลมเย็นทันที
เพียงไม่นานกระบี่บินก็บินกลับมา บอกแผนการหยาบๆ อย่างหนึ่ง ถ้อยคำที่ใช้ช่วงท้ายของจดหมายลับไม่ถือว่าอ้อมค้อมนัก บอกกับนางว่าอย่าได้มีความคิดที่ไม่สมควร ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาซานหยา อีกทั้งยังเป็นหลานสาวของก่อกำเนิดตระกูลหลี่ อย่าได้ไปหาเรื่อง ตอนนี้นครลมเย็นอยู่ในรายชื่อตัวสำรองของสำนักอักษรจงแล้ว ห้ามไม่ให้มีปัญหาแทรกซ้อนเกิดขึ้นเด็ดขาด นี่ทำให้สตรีโตเต็มวัยผู้นี้รู้สึกไม่สบอารมณ์นัก หญิงสาวที่สวมปลอกเล็บยาวมากผู้นี้ฉีกจดหมายลับแผ่นนั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้ว่าในใจจะไม่ยินยอม แต่นางก็ยังไม่กล้าขัดคำสั่งของนครลมเย็น จึงได้แต่ฟุบตัวกลับลงบนโต๊ะอย่างเกียจคร้านอีกครั้ง
เถาหยาผู้นั้นไปสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ข้างน้ำตกแห่งหนึ่งของแคว้นหู คำว่าโชควาสนาที่เว่ยเปิ่นหยวนเอ่ยถึงก็คือเถาหยาเดินผ่านน้ำตกโดยบังเอิญ แล้วจู่ๆ ก็มีผ้าทอที่เปล่งประกายแสงเจ็ดสีพลิ้วลงมาบนผิวน้ำ ตามมาด้วยเซียนจิ้งจอกโอสถทองตนหนึ่งที่พุ่งมาถึงอย่างรวดเร็ว หมายจะช่วงชิงโชควาสนากับเถาหยา คาดไม่ถึงว่าจะถูกผ้าทอผืนนั้นทำร้ายจนผิวหนังปริแตก เกือบจะถูกพันขาแล้วกระชากลงไปในบ่อลึก กระทั่งเซียนจิ้งจอกที่อกสั่นขวัญหายหนีไปอย่างกระเซอะกระเซิงแล้ว ผ้าทอก็ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำอีกครั้ง มันค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ชายฝั่ง พอเถาหยาเก็บมันขึ้นมา ตัวมันก็เหมือนรับนางเป็นเจ้านายจึงกลายมาเป็นเข็มขัดหลากสีบนเอวของสาวใช้สกุลเว่ยแห่งตรอกเถาเย่ผู้นี้ ไม่เพียงเท่านี้ ภายใต้การชักนำของมัน เถาหยายังเก็บกิ่งท้อแห้งที่ไม่สะดุดตากิ่งหนึ่งมาได้จากกลางภูเขาลึก พอเอามาหลอมแล้วก็กลายมาเป็นสมบัติอาคมที่ซ่อนตัวอย่างลึกล้ำชิ้นหนึ่ง
เวลาเพียงชั่วข้ามคืนเถาหยาก็กลายมาเป็นคนที่โชคดีที่สุดในช่วงระยะเวลาหลายร้อยปีของแคว้นหู
ในอาณาเขตแคว้นหูห้ามทะยานลมเดินทางไกล แล้วก็ห้ามนั่งโดยสารเรือข้ามฟาก ได้แต่เดินเท้าอย่างเดียวเท่านั้น โชคดีที่ทางเข้าแคว้นหูมีอยู่สามจุด เว่ยเปิ่นหยวนเลือกประตูใหญ่ที่อยู่ใกล้กับแม่หนูเถาหยามากที่สุด ดังนั้นจึงเช่ารถม้าหนึ่งคัน แล้วยังเช่าม้าหนึ่งตัวให้แม่หนูผิง คนหนึ่งทำหน้าที่เป็นสารถีของรถม้า ส่วนอีกคนหนึ่งที่ขี่ม้าห้อยดาบไว้ตรงเอวก็เดินๆ หยุดๆ คอยชมทัศนียภาพไปพลาง ทำให้การเดินทางไม่น่าเบื่อเกินไป
พอไปถึงน้ำตกที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของภูเขา เถาหยาที่เผยความงดงามของสตรีอย่างเต็มที่แล้ว ยามที่ได้พบกับหลี่เป่าผิงในตอนนี้ก็ยังต้องรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้
ผลคือพอคนทั้งสามดื่มชาร่วมกัน หลี่เป่าผิงที่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเสร็จก็ลุกขึ้นยืนแล้วขอตัวกลับ บอกว่านางจะเดินทางกลับเหนือ ไปหาเพื่อนคนหนึ่งที่เมืองหลวงต้าหลี ส่วนม้าตัวที่ทิ้งไว้ริมลำธารของหุบเขาก่อนหน้านี้ก็ให้ปล่อยไปได้เลย มันเดินทางผ่านขุนเขาสายน้ำนับพันนับหมื่นมาพร้อมกับนางตลอดทางก็ถึงเวลาที่ควรจะพักผ่อนได้แล้ว
เว่ยเปิ่นหยวนไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เถาหยาก็รับมือไม่ทันอยู่บ้าง
เว่ยเปิ่นหยวนถาม “เปลี่ยนมาใช้ม้าที่อยู่ตีนเขาแทนหรือ?”
หลี่เป่าผิงตบหัวตัวเอง ยิ้มเอ่ยว่า “ลืมบอกท่านปู่เว่ยไป ทุกวันนี้ข้าเองก็เป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว ขอบเขตไม่สูง แต่สามารถทะยานลมได้”
หลี่เป่าผิงเอ่ยเสริมมาอีกประโยค “ขี่กระบี่ก็ได้ แต่โดยทั่วไปแล้วข้าไม่ค่อยชอบเท่าไร บนฟ้าลมแรง พอพูดเมื่อไหร่จะต้องอมลมจนปวดแก้มไปหมด”
ผู้เฒ่ากับเถาหยาหันมามองหน้ากันเอง
หลี่เป่าผิงคิดแล้วก็บอกตามตรงอย่างไม่ปิดบัง “มีกระดาษพวกนั้นอยู่ ตัวอักษรบนกระดาษใกล้ชิดกับข้า ถือว่าพอจะจำแลงมาเป็นเรือยันต์ลำหนึ่งได้ เพียงแต่ว่าอาจารย์เหมาไม่อยากให้ข้าเอาออกมาใช้ง่ายๆ”
เว่ยเปิ่นหยวนกล่าวอย่างอ่อนใจ “ยังมีอีกไหม?”
หลี่เป่าผิงส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว แค่เรียนวิชาหมัดบางส่วนมาจากสหาย ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตทะยานลมจริงๆ เสียหน่อย ไม่อาจใช้เรือนกายที่เปี่ยมไปด้วยพลังลมปราณออกเดินทางไกลได้”
เว่ยเปิ่นหยวนลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นก็ให้เถาหยาส่งเจ้าออกไปจากแคว้นหู ไม่อย่างนั้นท่านปู่เว่ยก็ไม่วางใจจริงๆ”
ขอบเขตของเถาหยาอาจจะสู้ผู้เฒ่าไม่ได้ แต่เถาหยามีวัตถุแห่งชะตาชีวิตสองชิ้นที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ได้ทั้งป้องกันและโจมตี จึงสามารถมองนางเป็นผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งได้แล้ว
หลี่เป่าผิงยิ้มกล่าว “ช่างเถิด ไม่ถ่วงเวลาการฝึกตนของพี่หญิงเถาหยาดีกว่า”
นางหันไปขยิบตาให้พี่หญิงเถาหยา
เถาหยาที่เข้าใจความนัยหน้าแดงน้อยๆ ยิ่งรู้สึกสงสัยมากกว่าเดิมว่าหลี่เป่าผิงมองออกว่าตนมีบุรุษในใจแล้วได้อย่างไร?
หากไม่มีบุรุษอยู่ในใจ สตรีคนหนึ่งที่มาปลูกกระท่อมฝึกตนเพียงลำพังจะแต่งหน้าประทินโฉมไปไย?
ส่วนผู้เฒ่านั้น หากเป็นเรื่องการฝึกตนของเถาหยา แน่นอนว่าเขาต้องใส่ใจอย่างมาก ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ ไหนเลยจะมัวมาสนใจอยู่
หลี่เป่าผิงบอกลาจากไป
จากใต้ไปเหนือ ขึ้นเขาลงห้วย ทะลุผ่านแคว้นหู ระหว่างทางมีหิมะใหญ่เท่าขนห่านตกลงมา สตรีสาวที่สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงยืนอยู่บนทางสะพานไม้เลียบริมหน้าผา ยื่นมือออกมาแล้วเป่าลมอุ่นๆ ใส่ฝ่ามือ
ดาบแคบและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของสตรีช่างเข้ากับหิมะใหญ่ได้ดีนัก
นาทีนั้นจึงราวกับว่าฟ้าดินมีสีสันเพียงสองสี สีสันของหิมะขาวพร่างพราว และสีสันอันสดใสของสตรี
……
เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนในพื้นที่มงคลรากบัว
เด็กสาวคนหนึ่งลุกขึ้นยืน เดินไปที่ลานบ้านพร้อมตั้งท่าหมัด จากนั้นก็พูดกับแม่นางน้อยที่นั่งยองเท้าคางอยู่บนราวระเบียงว่า “หมี่ลี่น้อย ข้าจะออกหมัดแล้ว เจ้าไปเดินเล่นที่ตรอกจ้วงหยวนเถอะ ซื้อเมล็ดแตงกลับมาด้วยนะ”
แม่นางน้อยชุดดำไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร “ขอข้าดูหน่อยสิ จะไม่ส่งเสียงแน่นอน ในกระเป๋ายังมีเมล็ดแตงอยู่เลยนะ”
อันที่จริงก็เป็นเพราะว่านางมีภาระหน้าที่ติดตัว เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วแล้วยังควบด้วยตำแหน่งรองเจ้าสาขาย่อย เวลาแบบนี้จะไม่ช่วยคุมหลังให้เผยเฉียนได้อย่างไร?
เด็กสาวถลึงตาใส่ “หมัดนี้ของข้าเมื่อปล่อยออกไปไม่รู้หนักเบา จะไม่ร้ายกาจมากหรอกหรือ?! โชคชะตาบู๊ไม่มีตาหรอกนะ พุ่งเข้ามาใส่ทีพรวดๆๆ ไม่ต่างจากมีดที่หล่นลงมาจากฟ้า คืนนี้จะกินปลาผักดองจานใหญ่แค่ไหนดีล่ะ?”
โจวหมี่ลี่รีบกระโดดลงมาจากราวระเบียง หยิบคานหาบเล็กและไม้เท้าเดินป่ามาได้ก็วิ่งห่างไปไกล แต่จู่ๆ นางก็หยุดเท้า หันหน้ามาถาม “เมล็ดแตงเอากี่จิน?! พี่หญิงหน่วนซู่เคยบอกว่าซื้อเยอะจะถูกกว่า ซื้อน้อยไม่ค่อยได้ลดราคา”
เผยเฉียนกล่าวอย่างอ่อนใจ “ตามใจเจ้าเถอะ”
โจวหมี่ลี่ขมวดคิ้ว ชูคานหาบอันเล็กขึ้นสูง “ถ้าอย่างนั้นก็ฝั่งละหนึ่งถุง?”
แม่นางน้อยรู้สึกว่าตนฉลาดหลักแหลมจนไร้เหตุผลแล้ว
เผยเฉียนพยักหน้า แต่อันที่จริงเป็นเพราะนางหมดคำจะพูดมากกว่า
โจวหมี่ลี่มองเผยเฉียน นางเองก็รู้หนักเบาดี จึงรีบดีดปลายเท้ากระโดดออกจากกำแพงเรือนไป
หลังจากหมี่ลี่น้อยจากไป
เผยเฉียนก้าวออกไปหนึ่งก้าว กระทืบพื้นหนักๆ เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนทั้งแห่งสั่นสะเทือนตามไปด้วย สามารถมีภาพเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้เกิดขึ้นได้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะความเคลื่อนไหวจากการกระทืบหนึ่งฝ่าเท้าของผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าคนหนึ่ง แต่ที่มากกว่านั้นเป็นเพราะปณิธานหมัดไปชักนำโชคชะตาภูเขาสายน้ำ แม้แต่เส้นทางมังกร (เป็นคำที่ใช้ในศาสตร์ฮวงจุ้ย หมายถึงลักษณะภูมิประเทศที่ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนมังกรเลื้อยผ่าน) ของแคว้นหนันเยวี่ยนก็ยังไม่ปล่อยผ่าน
เผยเฉียนบิดสองแขนแล้วปล่อยกระบวนท่าหมัดออกไปอย่างว่องไว หยุดชะงักไปเล็กน้อยก่อนปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าออกไปเบาๆ หนึ่งหมัด
คู่หนึ่งต่อมาร่างทั้งร่างของเผยเฉียนก็คล้ายคนที่เดินไปตามหมัด ถูกปณิธานหมัดชักนำ อีกทั้งยังออกหมัดได้ตามใจปรารถนา ราวกับว่าต้องการส่งหมัดสุดท้ายไปยังจุดที่สูงที่สุดให้ได้ถึงจะยอมเลิกรา ชั่วพริบตานั้นร่างของเด็กสาวพลันทะยานขึ้นสูง หนึ่งก้าวเหยียบลงไปบนความว่างเปล่า จากนั้นก็วิ่งตะบึงเข้าหาม่านฟ้า เรือนกายว่องไวราวกับสายฟ้าแลบ สุดท้ายมาถึงจุดที่เป็นม่านฟ้าของพื้นที่มงคลรากบัวซึ่งเหมือนจะเป็นจุดที่ดวงตะวันลอยอยู่กลางนภา แล้วในที่สุดเผยเฉียนก็ปล่อยหมัดสุดท้ายออกไป
หนึ่งหมัดผ่านไป
ทะเลเมฆสีทองกว้างใหญ่ไพศาลใต้แสงอาทิตย์สาดส่องเบื้องล่างฝีเท้าของเด็กสาวก็พลันสลายหายไปรอบทิศ
ผู้ฝึกลมปราณกลุ่มน้อยของพื้นที่มงคลรากบัวที่เดินอยู่บนเส้นทางการฝึกตน อีกทั้งยังเลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลางก่อนใครแทบทุกคนล้วนเงยหน้ามองม่านฟ้าตามจิตใต้สำนึก
จากนั้นก็เป็นพวกวิญญาณวีรบุรุษ พวกภูตผีที่ถือกำเนิดขึ้นมาตามโชคชะตาของพื้นที่มงคลแห่งใหม่ที่ต่างก็พากันเงยหน้ามองฟ้าอย่างเลื่อนลอยพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เวลาเดียวกันนั้น ศาลบู๊ของต้าหลี ศาลบู๊ของแจกันสมบัติทวีป ศาลบู๊ใหญ่ทั้งหลายในอีกแปดทวีปที่เหลือของใต้หล้าไพศาลต่างก็พากันสัมผัสได้ถึง
โชคชะตาบู๊แปดสายพากันกรูเข้าหาแจกันสมบัติทวีปอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายมารวมตัวกับโชคชะตาบู๊ของแจกันสมบัติทวีป พุ่งชนหายเข้าไปในร่มใบถงที่ซานจวินเว่ยป้อถือไว้ในมือบนภูเขาลั่วพั่ว
ศาลบู๊ขนาดใหญ่ทั้งหลายของต้าหลี โดยเฉพาะศาลบู๊บนสุสานเทพเซียนที่อยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่วมากที่สุด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างทองถึงกับปรากฎตัวแล้วกุมหมัดค้อมเอวคารวะไปทางภูเขาลั่วพั่ว
ชุดคลุมตัวยาวสีขาวหิมะของเว่ยป้อส่งเสียงสะบัดพึ่บพั่บ พยายามจะยืนให้นิ่ง สองเท้าตรึงไว้กับพื้นดิน ถึงขั้นต้องร่ายใช้วิชาอภินิหารแห่งขุนเขาสายน้ำ เชื่อมโยงตัวเองเข้ากับตลอดทั้งภูเขาพีอวิ๋น ก่อนหน้านี้ยังคิดจะช่วยปิดบังภาพบรรยากาศนี้ไว้บ้าง แต่ตอนนี้จะปิดบังกับผายลมอะไรเล่า แค่ยืนถือร่มใบถงให้นิ่งก็กินแรงเว่ยป้อมากแล้ว ก่อนหน้านี้ซานจวินใหญ่ของทวีปยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดจูเหลี่ยนถึงบอกให้ตนเป็นคนถือร่มใบถง ยามนี้เว่ยป้อจึงทั้งโมโหทั้งขำ “จูเหลี่ยน! ท่านปู่เจ้าเถอะ!”
ไม่ว่าซานจวินเว่ยจะจัดงานเลี้ยงท่องราตรีมากี่ครั้ง ชื่อเสียงเป็นอย่างไร หากพูดถึงแค่มาดของเทพเซียนก็ต้องเรียกว่าสุดยอดเลิศล้ำอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่ามีเทพธิดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์สาวกี่มากน้อยที่หลงใหลเขา
ส่วนผู้ดูแลเฒ่าของภูเขาลั่วพั่วคนนั้นก็ช่างเถิด รูปโฉมแค่เห็นก็ลืม อย่างมากสุดก็จำได้แต่สถานะของเขาเท่านั้น
จูเหลี่ยนยืนอยู่ตรงหน้าผาของกระท่อมไม้ไผ่ ยิ้มตาหยีเอาสองมือไพล่หลัง โชคชะตาบู๊ของฟ้าดินไหลทะลักซัดกราดพุ่งกระโจนเข้าหาภูเขาลั่วพั่วอย่างดุดัน ต่อให้จูเหลี่ยนมีปณิธานหมัดปกป้องกาย ชุดตัวยาวก็ยังคงถูกโชคชะตาบู๊ไพศาลที่เล็กบางแน่นขนัดเหมือนกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนกรีดให้ขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดี นานเข้าแม้แต่หน้ากากที่จูเหลี่ยนสวมไว้บนใบหน้ามานานหลายปีก็ค่อยๆ ถูกกรีดให้หลุดออก สุดท้ายก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริง
จูเหลี่ยนยื่นสองนิ้วออกมาคีบปอยผมตรงจอนหู คลี่ยิ้มจนตาหยี
จูเหลี่ยนยามเยาว์วัย รูปโฉมเช่นนี้ ช่างชวนให้สาวงามหลงใหลเคลิบเคลิ้มเสียจริง