ผู้ตรวจการเฉาขึ้นชื่อเรื่องความไม่มีมาด ติดเหล้าเป็นชีวิต ไม่ชอบดื่มอึกใหญ่ แต่ชอบดื่มจิบเล็กๆ ดังนั้นจึงราวกับว่าตลอดทั้งวันล้วนดื่มเหล้าอยู่ตลอดเวลา เส้นทางชีวิตคนก็คือเส้นทางของการไปซื้อเหล้า เวลาหยุดเดินกลางทาง ไม่ว่ากับใครก็ล้วนคุยเล่นด้วยได้หมด
โชคดีที่ที่ตั้งของจวนผู้ตรวจการงานเตาเผาของเมืองเล็กเป็นที่ว่าการที่เงียบสงบ ฟ้าไม่สนดินไม่สน ในนามถือว่าอยู่ภายใต้การปกครองของกรมพิธีการ ต่อให้เป็นกรมขุนนางของเมืองหลวงก็ไม่มีอำนาจมาซักถาม ในความเป็นจริงแล้วกรมพิธีการสามารถควบคุมผู้ตรวจการงานเตาเผาของต้าหลีได้หรือไม่ คนในวงการขุนนางของเมืองหลวงต้าหลีล้วนแจ่มกระจ่างอยู่แก่ใจราวกับส่องกระจก
ผู้ตรวจการเฉาเคยกำชับขุนนางผู้ช่วยว่า การประเมินผลงานของขุนนางและเสมียนทุกคนในที่ว่าการล้วนต้องใช้แค่คำว่าดีกับยอดเยี่ยมเท่านั้น
หากได้แค่คำว่าดีแล้วเอาเหล้ามามอบให้ ก็กลายเป็นยอดเยี่ยมได้แล้ว
คนที่เมื่อปีก่อนยอดเยี่ยม ไม่เอาเหล้ามาให้บ้างเลย ถ้าอย่างนั้นปีนี้ก็ไม่ยอดเยี่ยมอีกต่อไป
กฎของที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาเรียบง่ายเพียงเท่านี้ ประหยัดแรงกายแรงใจเสียจนขุนนางน้อยใหญ่ที่ไม่ว่าจะเป็นน้ำใสหรือน้ำขุ่นก็ล้วนต้องปากอ้าตาค้าง แต่จากนั้นก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มกว้าง ขุนนางหลักที่รับมือง่ายเช่นนี้ ต่อให้ถือโคมไฟไล่ควานหาก็ยังยากจะหาเจอ
ตัวผู้ตรวจการเฉาเองไม่เห็นหมวกขุนนางเป็นเรื่องสำคัญ นานวันเข้าพวกชาวบ้านของเมืองเล็กที่เห็นว่าท่านขุนนางหนุ่มผู้นี้ไม่ได้แค่แสร้งทำตัวเข้ากับคนอื่นได้ง่ายจริงๆ ก็พากันไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญตามไปด้วย
หวงเอ้อเหนียงกล้าด่าเขา พวกคนอย่างหลิวตาใหญ่ที่ย้ายไปอยู่เขตการปกครองก็กล้าเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับผู้ตรวจการเฉาบนโต๊ะเหล้า กลับไปถึงเขตการปกครองเจอใครก็เล่าว่าผู้ตรวจการเฉาเป็นพี่น้องที่สนิทของตน ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่เด็กตัวเท่าก้นที่ยังสวมกางเกงเปิดก้นก็ยังชอบเล่นสนุกกับผู้ตรวจการเฉาที่มักว่างงานอยู่เสมอ หากเอาไปฟ้องท่านพ่อ ส่วนมากก็มักจะไร้ประโยชน์ หากไปร้องไห้กับท่านแม่ ขอแค่เป็นสตรีที่นิสัยเผ็ดร้อนสักหน่อยก็ยังถึงขั้นกล้าฉีกเสื้อผ้าของผู้ตรวจการเฉา
ผู้ตรวจการเฉาพูดภาษาถิ่นของเมืองเล็กด้วยสำเนียงคนท้องถิ่นแท้ๆ มาได้นานแล้ว กลับกลายเป็นว่าหากต้องพูดภาษาทางการต้าหลีกับคนอื่นจะรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
ผู้ตรวจการเฉาปรายตามองคนวัยเดียวกันที่คุ้นเคยกันดีอย่างถึงที่สุดแล้วตอบกลับไปหนึ่งประโยคว่า “ไม่รู้ว่าทุกครั้งที่เจ้าเมืองหยวนผู้เคารพกฎเกณฑ์เป็นที่สุดออกจากบ้านแล้วเห็นภาพเทพทวารบาลหน้าประตูจะลงไปคุกเข่าโขกหัวคำนับด้วยหรือไม่”
หากทั้งสองคนไม่ได้มาฝึกประสบการณ์ที่เมืองเล็กแห่งนี้เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในวงการขุนนาง เจ้าเมืองหยวนเจิ้งติ้งย่อมไม่มีทางคิดจะพูดกับอีกฝ่ายแม้แต่ครึ่งคำแน่นอน ส่วนผู้ตรวจการเฉาเกิงซินก็อาจจะเป็นฝ่ายไปพูดกับหยวนเจิ้งติ้งก่อน แต่ไม่มีทางพูดจาอย่าง ‘นุ่มนวลละมุนละไม’ เช่นนี้เป็นแน่
หยวนเจิ้งติ้งเงียบไปครู่หนึ่ง “ไม่ทำอะไรเป็นการเป็นงานเช่นนี้ วันหน้าจะมีหน้ากลับไปถนนฉือเอ๋อร์หรือ?”
เฉาเกิงซินส่ายกาเหล้าในมือ ยิ้มร่าเอ่ยว่า “ต้องใช้หน้าเดินหรือไง ประโยคนี้ของใต้เท้าหยวนช่างน่าขันนัก คราวหน้าหากมีใครในเมืองหลวงกล้าพูดว่าความไม่เพียงพอเพียงหนึ่งเดียวในความสมบูรณ์แบบของใต้เท้าหยวนคือไม่ค่อยมีอารมณ์ขัน หากข้าเจอเข้าจะต้องไปตบปากพวกเขาสักสองที”
หยวนเจิ้งติ้งถามต่อ “ยังจำกวนอี้หรานกับหลิวสวินเหม่ยได้ไหม? หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ตอนเด็กลูกหลานเมล็ดพันธ์แม่ทัพสองคนนี้ต่างก็ชอบวิ่งตามก้นเจ้า”
ถึงแม้ว่าตอนนี้ระดับขั้นของคนทั้งสองจะยังไม่ถือว่าสูงมากนัก แต่ก็มากพอจะทัดเทียมกับเขาหยวนเจิ้งติ้งและเฉาเกิงซินได้แล้ว ประเด็นสำคัญคือทิศทางการดำเนินไปของวงการขุนนางในภายหลังยังราวกับว่าจะทำให้เมล็ดพันธ์แม่ทัพสองคนนั้นฝ่าทะลุคอขวดใหญ่ไปได้
นั่นก็คือการผลัดเปลี่ยนระหว่างสถานะของบุ๋นกับบู๊
เฉาเกิงซินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ใต้เท้าหยวน ในเมื่อจำไม่ได้ว่าข้าเป็นใครก็อย่าเอ่ยถ้อยคำที่คิดว่าจะทำให้ข้าจำได้ดีกว่า”
หยวนเจิ้งติ้งแสร้งทำท่าตกตะลึง “อ้อ? งั้นขอถามหน่อยว่าเจ้าเป็นใคร?”
เฉาเกิงซินจิบเหล้าหนึ่งอึก “เวลาที่ดื่มเหล้าไม่ถึงประตู (ถึงประตูคำภาษาถิ่นของเมืองเล็กในเรื่อง หรือแปลว่าเต็มที่/ถึงที่/เข้าขั้น) ข้าคือผีขี้เหล้าเฉา แต่เวลาดื่มเหล้าถึงประตู ถ้าอย่างนั้นข้าก็คือเซียนสุราใหญ่เฉา”
หยวนเจิ้งติ้งคลี่ยิ้ม “ถ่วงเวลาเรื่องสำคัญจริงๆ ด้วย”
เฉาเกิงซินส่ายหน้า “ข้ามาดูพวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์ฉี โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องการขอเหล้าหมักข้าวเหนียวแบบไม่ต้องเชื่อเงินจากพี่ต่ง ใต้เท้าหยวนกลับไม่เหมือนกัน มาเพื่อตีสนิทกับท่านอ๋อง ใครสูงใครต่ำตัดสินได้ชัดเจน ข้าคือดินโคลนในตรอกที่หากเหยียบเข้าก็ทำให้รองเท้าสกปรกเละเทะ ใต้เท้าหยวนกลับเป็นกระจกทองแดงที่แขวนสูงไว้เหนือประตู เข้มแข็งมีเกียรติและหยิ่งในศักดิ์ศรี เปิดเผยบริสุทธิ์และยึดมั่นในความเป็นธรรม”
หยวนเจิ้งติ้งขมวดคิ้ว “หลายปีมานี้ดีแต่เรียนรู้เรื่องการตีฝีปากกับคนอื่นหรือไร?”
เฉาเกิงซินย้อนถาม “แล้วเจ้าเรียนรู้เป็นแล้วหรือยัง?”
หยวนเจิ้งติ้งพูดเสียงหนัก “ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ!”
เฉาเกิงซินรัดน้ำเต้าบรรจุเหล้าใบเล็กไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย กุมมือสองข้างเป็นหมัดเอ่ยขออภัย “ใต้เท้าหยวนแค่อาศัยความสามารถของตัวเองเดินขึ้นฟ้าไปเถิด อย่าได้มามัวคิดอยู่เลยว่าคนขี้เกียจอย่างข้าจะมีการพัฒนาบ้างหรือไม่”
หยวนเจิ้งติ้งถอนหายใจอยู่ในใจ
ไม่ชอบบุคลิกการกระทำของคนผู้นี้อย่างมากนั้นเป็นความจริง เพียงแต่ส่วนลึกในจิตใจ แท้จริงแล้วหยวนเจิ้งติ้งก็ยังหวังว่าลูกหลานสกุลเฉาผู้นี้จะสามารถเก็บเรื่องการปีนป่ายไปสู่ที่สูงในหน้าที่การงานมาใส่ใจบ้าง
แน่นอนว่าหลักๆ แล้วหยวนเจิ้งติ้งคิดเพื่อตัวเองมากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นวงการขุนนาง วงการวรรณกรรม หรือจะเป็นยุทธภพ บนภูเขา
เรื่องราวทางโลกมักจะแปลกประหลาดเช่นนี้เสมอ ทุกคนที่มองดูเรื่องสนุกต่างก็ชอบที่จะเห็นการแก่งแย่งแข่งขันกันของศัตรูคู่แค้นที่ฝีมือสูสีกัน ยินดีที่จะให้ความสนใจมากกว่า หากใครที่สามารถพุ่งนำหน้าไปไกลอย่างไม่เห็นฝุ่น กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร
อันที่จริงหน้าที่ผู้ตรวจการงานเตาเผานั้นยิ่งใหญ่มาก
หยวนเจิ้งติ้งอิจฉาอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก
ทั้งป้องกันขโมย แล้วก็ทั้งสามารถจับขโมยได้ด้วยตัวเอง
สี่แซ่สิบตระกูลของเมืองเล็ก ซ่ง จ้าว หลู หลี่ เฉิน สือ ฯลฯ ที่ว่าการผู้ตรวจการล้วนมีอำนาจในการตรวจสอบ ที่ว่าการที่ภายนอกทำหน้าที่เพียงแค่ตรวจสอบการเผาเครื่องกระเบื้องนี้ แท้จริงแล้วไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถเข้าไปจัดการควบคุมได้ ร้านตระกูลหยาง ภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือ สำนักศึกษาหลินลู่ สำนักกระบี่หลงเฉวียน ภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาตระกูลเซียนทางทิศตะวันตกของเมืองเล็กทั้งหมด โรงเรียนที่สกุลเฉินหลงเหว่ยมาเปิดในภายหลัง ศาลบุ๋นบู๋น้อยใหญ่ในอำเภอและเขตการปกครอง ศาลเทพอภิบาลเมือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของแต่ละสถานที่ซึ่งมีแม่น้ำเถี่ยฝูเป็นหนึ่งในนั้น สามแม่น้ำใหญ่อย่างชงตั้น ซิ่วฮวา อวี้เย่ เมืองหงจู๋ ขุนนางใหญ่ในท้องถิ่น ตระกูลแซ่ใหญ่ ครอบครัวที่ใสสะอาด สัญชาติคนชั้นต่ำ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่มีป้ายสงบสุขปลอดภัย ขอแค่ผู้ตรวจการเฉาต้องการจะตรวจสอบก็ล้วนทำได้หมด ขนาดกรมอาญากรมพิธีการของต้าหลีก็ยังไม่อาจและไม่กล้าที่จะซักไซ้เอาความผิด
เพียงแต่ว่าผู้ตรวจการเฉาที่อดีตฮ่องเต้เป็นผู้แต่งตั้งคนนี้ ดูเหมือนว่าจะเลือกที่จะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
หยวนเจิ้งติ้งทั้งดีใจทั้งเป็นกังวล ดีใจที่เพื่อนบ้านข้างกายตน คนวัยเดียวกันที่เดิมทีในอนาคตจะต้องกลายมาเป็นศัตรูคู่อาฆาตยามอยู่ในราชสำนักต้าหลี กลับกลายเป็นคนไม่เอาถ่านเช่นนี้ กังวลเพราะกลัวว่าฮ่องเต้หนุ่มที่มีปณิธานแน่วแน่มุ่งแสวงหาความก้าวหน้าเห็นเฉาเกิงซินแล้วขัดหูขัดตา วันใดอดทนมานานจนสิ้นความอดทน แม้แต่หน้าตาของสกุลเฉาก็ยังไม่ไว้หน้า ถือโอกาสเปลี่ยนคนใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทนไปเสียเลย ในอนาคตหลังจากที่หยวนเจิ้งติ้งได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ว่าของจังหวัดหลงโจว กลายเป็นขุนนางใหญ่ในท้องถิ่นที่กุมอำนาจใหญ่ไว้ในมือได้อย่างแท้จริงแล้ว กลับกลายเป็นว่าจะยิ่งถูกพันธนาการ เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็มีบทเรียนมาให้เห็น ดังนั้นขุนนางผู้ตรวจการคนใหม่ที่มาแทนที่ย่อมไม่ใช่คนที่พูดคุยได้ง่ายอย่างแน่นอน
ห่างจากโรงเรียนไปไม่ไกล
หม่าขู่เสวียนยืนอยู่กับสาวใช้ซู่เตี่ยน
เขาประสานสายตากับทั้งเฉาเกิงซินและหยวนเจิ้งติ้ง เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีท่าทีว่าจะทักทายกัน
แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน
หม่าขู่เสวียนเอ่ย “ตอนที่ท่านย่าของข้ายังมีชีวิตอยู่ นางชอบด่าคนมาก ก็หนีไม่พ้นว่าจะด่าต่อหน้า ไม่กล้าด่าต่อหน้า หรือด่าลับหลัง ในบรรดาคนที่นางรู้จักก็มีอยู่แค่สามคนเท่านั้นที่นางจะไม่ด่า อาจารย์ฉีของโรงเรียนถือเป็นคนหนึ่งในนั้น ท่านย่าข้าเคยบอกว่าอาจารย์ฉีเป็นคนดีจริงๆ”
หม่าขู่เสวียนกระตุกมุมปาก ยกสองแขนกอดอก เอนตัวไปด้านหลังพิงกำแพงดิน “บ้านเกิดของข้าแห่งนี้ ผู้คนล้วนปากเปราะเสมอ”
หม่าขู่เสวียนหัวเราะ จากนั้นก็เอ่ยประโยคประหลาดขึ้นมาคำหนึ่ง “เป็นหลังต้องเป็นกันแบบนี้”
ซู่เตี่ยนไม่เข้าใจแม้แต่น้อย แต่คิดว่าน่าจะเป็นถ้อยคำของคนในพื้นที่
ซู่เตี่ยนรู้แค่เรื่องเดียว ภาษาถิ่นของเมืองเล็กส่วนใหญ่ล้วนใช้วรรณยุกต์เสียงสามัญ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเสียงสูงต่ำสักเท่าไร
หม่าขู่เสวียนไม่พูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่นกับนางอย่างที่หาได้ยาก ทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับนาง เขายิ้มอธิบายว่า “ความหมายก็คือ ฟังคำพูดของคนอื่นแล้วก็ราวกับว่าต้องแบกภาระเอาไว้ จะสามารถแบกรับน้ำหนักนั้นไว้ได้หรือไม่”
คนหนุ่มคนหนึ่งที่เดินออกมาจากบ้านบรรพบุรุษของตรอกเล็ก ตอนที่เดินผ่านบ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอัน เขาหยุดเท้ายืนนิ่งเป็นนาน
เดิมทีกู้ช่านคิดว่าจะตรงไปที่เขตการปกครองเลย แต่พอคิดแล้วก็ยังไปที่โรงเรียนก่อน
และตรงท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว บนเรือข้ามทวีปลำหนึ่งที่เดินทางจากนครมังกรเฒ่าไปยังอุตรกุรุทวีป ก็มีบุรุษเรือนกายสูงใหญ่คนหนึ่งที่เพิ่งกลับบ้านเกิดมาเป็นครั้งแรกหลังจากไปนานเดินลงมาจากเรือ
หร่วนซิ่วยิ้มทักทาย “สวัสดี หลิวเสี้ยนหยาง”
หลิวเสี้ยนหยางเดินเร็วๆ ไปหานาง คลี่ยิ้มสดใส “แม่นางหร่วน!”
หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ โยนป้ายกระบี่แผ่นหนึ่งไปให้เขา ได้ของชิ้นนี้มาแล้วก็จะสามารถทะยานลมเดินทางอยู่ในอาณาเขตของจังหวัดหลงโจวได้
ในความเป็นจริงแล้วผ่านไปอีกไม่กี่ปี หลิวเสี้ยนหยางก็น่าจะได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่หลงเฉวียนแล้ว
พวกเขาแค่ให้สกุลเฉินผู้รอบรู้แห่งทักษินาตยทวีปยืมตัวหลิวเสี้ยนหยางไปยี่สิบปีเท่านั้น
หลิวเสี้ยนหยางรับป้ายกระบี่แผ่นนั้นมา เอ่ยลาหนึ่งคำแล้วทะยานลมตรงไปที่บ้านบรรพบุรุษทันที จากนั้นจึงไปยังสุสานแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเตาเผามังกร สุดท้ายถึงกลับมายังเมืองเล็ก
เขาไปดักรอกู้ช่านที่ปากตรอกหนีผิง อัดกู้ช่านไปรอบหนึ่ง
กู้ช่านไม่ได้ตอบโต้
สตรีสวมชุดสีแดงสดคนหนึ่งที่เดินทางด้วยการเล่นกระโดดช่องอยู่บนทะเลเมฆพลันเปลี่ยนใจ คำนวณเวลาเรียบร้อยแล้วจึงไม่ได้ไปที่เมืองหลวงต้าหลี แต่อ้อมระยะทางกลับมาที่เมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิด
ก้มหน้าลงมอง แล้วนางก็พลิ้วกายลงที่โรงเรียน
หร่วนซิ่วไปที่ร้านยาสุ้ยของตรอกฉีหลงมารอบหนึ่ง นางเดินกินขนมไปตลอดทาง แล้วก็ไปที่โรงเรียนเหมือนกัน
ดังนั้นโรงเรียนที่เดิมทีก็ครึกครื้นอยู่แล้วจึงยิ่งมีคนเพิ่มมากขึ้น
เปียนเหวินเม่าออกมาจากจวนเจ้าเมือง นั่งรถม้ามาลงตรงถนนที่อยู่ใกล้กับโรงเรียน เขาเลิกผ้าม่านขึ้น มองไปทางนั้นก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าผู้ตรวจการเฉาและเจ้าเมืองหยวนกำลังยืนอยู่ด้วยกัน
เปียนเหวินเม่าชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอยู่ครู่หนึ่ง ในเมื่อลูกหลานของเสาค้ำยันแคว้นทั้งสองต่างก็อยู่ที่นี่ ถ้าอย่างนั้นตนคงไม่ไปทักทายพวกเขาแล้ว จึงปล่อยผ้าม่านลง เตือนสารถีว่าให้นำรถม้าไปจอดที่อื่น
ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้กับโรงเรียน หากไม่ใช่คนที่เปียนเหวินเม่ารู้จักเพราะเคยพูดคุยทักทายกันมาก่อน ก็เป็นคนแปลกหน้า ดังนั้นเขาจึงไม่ไปสนใจแล้ว
เปียนเหวินเม่าเพียงแค่รอให้สือชุนเจียออกมาจากโรงเรียนเล็กจะได้เดินทางกลับเมืองหลวงต้าหลีด้วยกัน
คนผู้หนึ่งที่มีลักษณะเป็นบัณฑิตอ่อนแอกลับคืนคำ พาน้องหลงป๋อมาเดินเล่นอย่างระมัดระวังที่เมืองเล็กแห่งนี้
ผลคือถูก ‘ความเคลื่อนไหว’ ของที่โรงเรียนดึงดูด หลิ่วชื่อเฉิงจึงกัดฟัน บอกกับตัวเองว่าแค่ไปดูเท่านั้น จะไม่หาเรื่องใส่ตัวเด็ดขาด ต่อให้จะถูกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมข้างทางคนใดของสถานที่เล็กเท่าฝ่ามือแห่งนี้เดินมาตบบ้องหูตน ตนก็จะยังยิ้มตอบกลับอีกฝ่ายไป!
ดังนั้นหลิ่วชื่อเฉิงและน้องหลงป๋อของเขาจึงได้เห็นภาพเหตุการณ์นั้น
ทางฝั่งของโรงเรียน ทุกคนแยกย้ายกันไปในเวลาเดียวกัน ดังนั้นช่วงเวลานี้พวกเขาทุกคนจึงปรากฎตัวสู่เส้นสายตาของผู้คนที่เดินอยู่บนถนน
สตรีชุดเขียวมัดผมหางม้า หร่วนซิ่ว
หลี่เป่าผิงที่สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดง
หลี่ไหว หลินโส่วอี ต่งสุ่ยจิง
อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย
หม่าขู่เสวียน
ซ่งจี๋ซิน จื้อกุย
หลิวเสี้ยนหยาง กู้ช่าน
คนเหล่านั้นต่างพากันเหลือบมองหลิ่วชื่อเฉิงที่ยืนอึ้งอยู่ข้างทางกันคนละนิดคนละหน่อย
โดยเฉพาะกู้ช่านที่คลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย
หลิ่วชื่อเฉิงรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ เสียใจจนไส้เขียว ไม่ควรมา ไม่ควรมาที่นี่เลยจริงๆ
หากรอบด้านไม่มีคนอยู่ ป่านนี้เขาก็คงตบหน้าน้องหลงป๋อไปสักทีหนึ่งแล้ว ข้าทำตัวโง่ๆ เจ้าไม่รู้จักเอ่ยเตือนกันบ้าง แล้วจะเป็นสหายรักที่จริงใจต่อกันได้อย่างไร?
ไฉ่ป๋อฝูไม่เหลือขอบเขตแล้ว แต่แววตายังคงอยู่ กลับกลายเป็นว่าใจเด็ดกว่าหลิ่วชื่อเฉิง ตอนนี้ชีวิตของข้าผู้อาวุโสเละเทะเต็มทีแล้ว อยากเอาไปก็เอาไปเถอะ
หลิ่วชื่อเฉิงขอคำแนะนำอย่างคนใจฝ่อ “น้องหลงป๋อ หากเจ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ จะมีชีวิตอยู่รอดได้สักกี่วัน?”
ไฉ่ป๋อฝูไม่ตอบ
เพียงแต่ว่าเมื่อคนเหล่านั้นเดินห่างจากโรงเรียน ขยับเข้ามาใกล้ทางฝั่งของถนนใหญ่แถบนี้เรื่อยๆ
ไฉ่ป๋อฝูกลับยิ่งรู้สึกหายใจไม่ออก
หลิ่วชื่อเฉิงไม่พูดด้วยเสียงในใจอีกต่อไป แต่ยิ้มบางๆ เปิดปากเอ่ยกับน้องหลงป๋อว่า “รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นสหายรักของเฉินผิงอัน?!”
ไฉ่ป๋อฝูคิดแล้วก็พยักหน้าตอบ “ข้าเองก็เหมือนกัน”