กู้ช่านมาถึงหน้าประตูใหญ่ของเรือนในเขตการปกครอง หน้าประตูมีมังกรหยกขาวสองตัวที่มาจากฝีมือตระกูลเซียนนั่งหมอบอยู่ บารมีอำนาจนั้น ต่อให้เป็นขอทานที่หิวโซมาเห็นเข้าก็น่าจะไม่เหลือความกล้าที่จะขยับมาขออาหารตรงหน้าประตูใหญ่อีกแล้ว
กู้ช่านไม่ได้รีบร้อนเคาะประตู
หลิ่วชื่อเฉิงกับไฉ่ป๋อฝูจึงได้แต่ยืนกินลมอยู่บนถนนตามไปด้วย
กู้ช่านเดินไปบนขั้นบันไดที่ไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด ยื่นมือออกไปลูบห่วงเคาะประตูหัวสัตว์ แล้วพลันหยุดนิ้ว การกระทำชะงักไปครู่หนึ่ง นี่คือหัวสัตว์ลงรักที่มีเพียงตระกูลกงโหวเท่านั้นถึงจะสามารถใช้ได้ กู้ช่านถอนหายใจอยู่ในใจ ไม่ควรทำอะไรล้ำเส้นเช่นนี้เลย ต่อให้ในบ้านจะมีป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งคอยพิทักษ์ปกป้อง นี่จึงเป็นปัญหาไม่มาก และทางฝ่ายของจวนผู้ว่าในจังหวัดก็น่าจะได้รับข้อมูลลับมาจากที่ว่าการงานเตาเผาถึงได้ไม่ถือสาจวนหลังนี้ เพียงแต่เรื่องแบบนี้ก็ยังคงต้องบอกท่านแม่สักคำ ไม่จำเป็นต้องมือใหญ่ใจโตออกหน้าออกตาเช่นนี้ เพราะง่ายที่จะก่อให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน
กู้ช่านจับห่วงหน้าประตูแล้วเคาะลงไป ถอยหลังไปหนึ่งก้าว คนเฝ้าประตูที่สวมเสื้อผ้าหรูหราคนหนึ่งมาเปิดประตูให้ พอเห็นกู้ช่านที่ใส่ชุดธรรมดาก็มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ ขมวดคิ้วถาม “เป็นลูกหลานบ้านใดในเมือง หรือว่าเป็นคนงานของที่ว่าการ?”
กู้ช่านอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย แล้วถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสภาพของตัวเองในเวลานี้คงมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปหน่อย อีกฝ่ายเองก็ไม่ใช่คนเก่าแก่ของเกาะชิงเสีย จำตนไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ ปีนั้นท่านแม่ได้พาสาวใช้คนสนิทออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนด้วย หลายปีมานี้ต่างก็ฝึกตนได้อย่างราบรื่น ทยอยกันกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลาง ขอบเขตไม่สูง แต่กลับไม่ต้องมาคอยสนใจเรื่องจุกจิกในจวน เกี่ยวกับการฝึกตนของพวกนาง กู้ช่านเคยเขียนจดหมายมาคุยกับท่านแม่นานแล้ว ในจดหมายมีคำชี้แนะอย่างละเอียด และยังช่วยเลือกสมบัติบนภูเขาให้หลายชิ้น พวกนางแค่ฝึกตน หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต ฝ่าทะลุขอบเขตไปตามขั้นตอนก็พอ
คนเฝ้าประตูกวาดตามองคนสองคนที่อยู่ด้านล่างขั้นบันไดเบื้องหลังบุรุษหนุ่มตรงหน้าอย่างรวดเร็ว คนหนึ่งคือบัณฑิตท่าทางอ่อนแอ อีกคนเป็นเด็กหนุ่มผมขาว พริบตาเดียวเขาก็คิดว่าตัวเองชั่งน้ำหนักกำลังทรัพย์ของทั้งสามคนได้แล้ว
บุรุษผู้เฝ้าประตูคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ปิดบังฝีมือที่แท้จริงคนหนึ่ง ขอบเขตห้า เมื่ออยู่ในยุทธภพธรรมดาทั่วไปก็ถือว่าเป็นคนมีฝีมือดีคนหนึ่ง อยู่ในแคว้นเล็กๆ ใต้อาณัติแห่งใดก็ตาม คิดจะสร้างพรรคขึ้นเป็นของตนเองยังเหลือเฟือ มาทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูปกป้องเรือนถือเป็นการลดฐานะแล้ว คาดว่าสาเหตุคงเป็นเพราะมีเงินก็จ้างผีให้โม่แป้งได้ หรือไม่ก็ไปก่อเรื่องเอาไว้จึงต้องมาหลบภัยอยู่ที่นี่ ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นอีกฝ่ายมีเจตนาร้าย หวังปล่อยสายเบ็ดยาวเพื่อตกปลาตัวใหญ่ ไปสมคบคิดกับผู้ฝึกตนอิสระ ละโมบอยากครอบครองทรัพย์สมบัติอันอุดมสมบูรณ์ของเรือนโอ่อ่าหลังนี้ หลายปีมานี้กู้ช่านท่องอยู่ในยุทธภพมาจนชิน เคยเห็นพวกนักต้มตุ๋นที่ทำงานร่วมกันเป็นขบวนการมาไม่น้อย แล้วยังเคยจงใจจับตามองอยู่ไกลๆ ได้เห็นแผนเฟิง แผนเชวี่ย (เฟิงเหนี่ยวและเชวี่ยเหนี่ยวเป็นนกประเภทเดียวกัน ในสมัยโบราณเปรียบเปรยถึงการวางแผนต้มตุ๋นสองแบบ) สองครั้งกับตาตัวเอง ครอบครัวหนึ่งที่ร่ำรวยแต่ไร้คุณธรรมจึงต้องพินาศวอดวายทั้งอย่างนี้ กู้ช่านปรากฎตัวตอนที่โจรกลุ่มนั้นแบ่งทรัพย์สินกัน ขอความรู้ในด้านนี้จากพวกเขา อีกฝ่ายอึกๆ อักๆ พูดจาไม่ชัดเจนตรงไปตรงมา กู้ช่านจึงให้เจิงเย่ร่ายเวทเป็นนกพิราบที่ยึดรังนกกางเขน ดึงเอาความรู้ของพวกเขามาด้วยตัวเอง ส่วนอีกครอบครัวหนึ่งมองดูแล้วขนบธรรมเนียมประจำครอบครัวน่าจะไม่เลว กู้ช่านจึงลงมือช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นภัย
กู้ช่านยิ้มเอ่ย “ข้าชื่อกู้ช่าน ที่นี่คือบ้านของข้า”
บุรุษที่เป็นคนเฝ้าประตูเปลี่ยนสีหน้าในทันใด ก้มหัวค้อมเอวขยับถอยเปิดทางให้ “คารวะนายน้อย ข้าน้อยจะไปแจ้งฮูหยินเดี๋ยวนี้”
กู้ช่านเดินข้ามธรณีประตูเข้าไป โบกมือเอ่ยว่า “ไม่ต้อง เดินแค่ไม่กี่ก้าว ไม่ต้องรบกวนเจ้า”
คนเฝ้าประตูคลี่ยิ้มใบหน้าประจบสอพลอ “เมื่อครู่ข้าน้อยแค่เห็นก็เกือบจะเข้าใจผิดคิดว่านายน้อยเป็นวิญญูชนเป็นอริยะปราชญ์แห่งสำนักศึกษาเสียแล้ว”
ชายคนเฝ้าประตูสืบจนรู้ถึงรากฐานของบ้านหลังนี้อย่างชัดเจนมานานแล้ว ประมุขของบ้านเป็นผู้ฝึกตน ออกเดินทางไกลหลายปียังไม่เคยกลับมา เรื่องนี้ทางจวนไม่มีคำบอกที่แน่ชัดนัก คาดว่าคงเป็นเรื่องที่ไม่อาจบอกกล่าวแก่ใครได้ นายน้อยคือเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่ไปศึกษาอยู่ข้างนอก ดังนั้นจึงเหลือเพียงสตรีออกเรือนแล้วที่สวมใส่เครื่องประดับหยกทองเต็มตัว ดูแล้วมีเงินมีทองอย่างถึงที่สุดคอยดูแลบ้านเรือน ทุกครั้งที่ฮูหยินท่านนั้นพูดถึงบุตรชายล้วนมีท่าทางภาคภูมิใจไม่น้อย หากไม่เป็นเพราะสาวใช้คนสนิทสองคนข้างกายสตรีเป็นถึงผู้ฝึกลมปราณที่ฝึกตนประสบความสำเร็จ ป่านนี้พวกเขาก็คงลงมือไปนานแล้ว เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ ต้องใช้กี่ชาติถึงจะหมด ดังนั้นหนึ่งปีมานี้พวกเขาจึงตั้งใจรวบรวมพรรคพวกมาเพิ่มมากขึ้น และให้เขาทุ่มเทความคิดจิตใจกับสาวใช้คนหนึ่งในนั้นให้มากหน่อย
กู้ช่านยิ้มเอ่ย “สายตาดี”
หลิ่วชื่อเฉิงพยักหน้ารับ “ดีมากจริงๆ”
ไฉ่ป๋อฝูชำเลืองตามองผู้ฝึกยุทธคนนั้น น่าสงสาร น่าสงสารจริงๆ เส้นทางหาเงินมีมากมายขนาดนั้นไม่เลือกเดิน ดันพุ่งเอาหัวมาโหม่งชนครอบครัวนี้เสียได้ จิ้งจอกฝูงหนึ่งที่คิดว่าตัวเองฉลาด บุกเข้าไปกระโดดโลดเต้นอย่างลิงโลดในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ ไม่ใช่รนหาที่ตายแล้วจะเรียกว่าอะไร
หลิ่วชื่อเฉิงเอาฝ่ามือข้างหนึ่งกดหัวไฉ่ป๋อฝู “น้องหลงป๋อ เป็นอะไรไป? ไม่พูดไม่จาสักคำ หรือคิดว่านายน้อยกู้ของพวกเราไม่เหมาะจะเป็นนักปราชญ์เป็นวิญญูชน?”
ไฉ่ป๋อฝูเหมือนถูกห้าอสนีผ่าลงหัว ช่องโพรงลมปราณที่สำคัญแต่ละจุดสั่นสะเทือน กว่าจะสร้างความมั่นคงให้ขอบเขตประตูมังกรได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เวลานี้ยังมาเจออันตรายล่อแหลมเต็มที! ไฉ่ป๋อฝูจึงรีบเอ่ยว่า “นายน้อยกู้คู่ควร คู่ควรอยู่แล้ว”
คนชั่วทั่วไป ก่อนจะลงมือมักจะข่มขู่คนอื่นอย่างดุดันก่อนสักสองสามคำ ทว่าผู้อาวุโสที่นิสัยประหลาดข้างกายผู้นี้กลับลงมือก่อนแล้วค่อยอธิบายเหตุผล
แต่อยู่ด้วยกันนานวันเข้า จิตที่มุ่งไปสู่มรรคาของไฉ่ป๋อฝูก็ยิ่งยืนหยัดหนักแน่น ตนจะต้องกลายเป็นลูกศิษย์ทำเนียบวงศ์ตระกูลของนครจักรพรรดิขาวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางให้จงได้
คนเฝ้าประตูปิดประตู แล้วพลันรู้สึกได้ว่าหลังคอเย็นวาบ ที่แท้กู้ช่านที่เรือนกายสูงเพรียวก็ยื่นมือมากุมคอของคนผู้นี้เอาไว้ เขากดหัวของฝ่ายหลังไว้กับประตูใหญ่ ระหว่างร่องนิ้วทั้งห้าของกู้ช่านมีเลือดซึมออกมาแล้ว มากพอจะเห็นได้ชัดว่าเขาลงมืออำมหิตเพียงใด เขาเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ปิดประตูแล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าคนนอกจะเห็นเรื่องตลก ว่ามาเถอะ ทั้งในและนอกจวนรวมแล้วมีกี่คน? คนที่ขอบเขตสูงที่สุดเป็นเทพเซียนจากฝ่ายใด?”
กู้ช่านพลันปล่อยมือ หันตัวกลับมา ยิ้มมองไปยังทิศไกล ทิ้งผู้ฝึกยุทธไว้ด้านหลังตัวเองทั้งอย่างนั้น
สตรีออกเรือนแล้วคนหนึ่งวิ่งเหยาะๆ มาหา หลายครั้งที่สะดุดชายกระโปรงของตัวเอง ได้เห็นกู้ช่านที่ไม่เจอกันมานานหลายปี น้ำตาร้อนๆ พลันเอ่อคลอดวงตาของนาง
ใช้ชีวิตอย่างลำบากยากแค้น พยายามหาเงินมาเพื่อเสวยสุข สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ล้วนทำไปเพราะเจ้าตะพาบน้อยใจดำที่ดีแต่จะส่งจดหมายกลับมาบ้านตรงหน้าผู้นี้
กู้ช่านก้าวเร็วๆ เข้าไปหา สตรีโอบกอดบุตรชายตัวเองเอาไว้แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น กู้ช่านตบหลังมารดาเบาๆ สีหน้าเป็นปกติ ยิ้มมองไปยังสาวใช้สองคนที่ความรุ่งโรจน์มีเกียรติล้วนได้มาจากเขากู้ช่าน
หญิงสาวสองคนนั้นเพียงแค่สบตากับกู้ช่านก็รีบก้มหน้าลงต่ำ มือเท้าเย็นเฉียบ รู้สึกเหมือนตกลงไปในโพรงน้ำแข็ง
สตรีออกเรือนแล้วปล่อยกู้ช่าน เช็ดน้ำตา เริ่มมองประเมินบุตรชายของตนอย่างละเอียด ตอนแรกก็ยังปลาบปลื้มดีใจ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคิดว่ากู้ช่านอยู่คนเดียวข้างนอกต้องเจอกับความยากลำบากมามากเพียงไรอีกหรือไม่ สตรีถึงได้ยกมืออุดปากร้องสะอึกสะอื้นอีกครั้ง ในใจตำหนิตัวเอง ตำหนิบุรุษที่พอตายเป็นผีอยู่ดีๆ ก็ได้กลายเป็นเทพภูเขาใหญ่คนนั้น ตำหนิเฉินผิงอันที่ทิ้งกู้ช่านไว้คนเดียว แล้วยังสังหารถานเซวี่ย ตำหนิสวรรค์ที่ไม่มีตา เหตุใดถึงต้องให้กู้ช่านพบเจอกับความลำบากยากแค้นเช่นนี้ด้วย
หลังจากกู้ช่านถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกับมารดาที่ห้องโถงเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินเข้าไปในห้องหนังสือที่เป็นของตนเป็นครั้งแรก หลิ่วชื่อเฉิงพาน้องหลงป๋อไปเดินเล่นรอบๆ เรือน กู้ช่านเรียกสาวใช้สองคนนั้นมา รวมไปถึงคนเฝ้าประตูที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กล้าเดิมพันด้วยชีวิตลงมือเล่นงานกู้ช่าน
กู้ช่านขยับเก้าอี้เอนหลังติดหน้าต่าง ข้อศอกเท้าอยู่บนที่วางแขนเก้าอี้ เท้าคางด้วยมือข้างเดียว ถามว่า “ต้นไม้ใหญ่เรียกลม เป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก ข้าไม่เข้มงวดกับพวกเจ้าสองคนในเรื่องนี้ เพราะถึงอย่างไรก็มีจุดที่ท่านแม่ข้าทำไม่เหมาะอยู่จริง เพียงแต่เป็นคนดันลืมกำพืดของตัวเอง นี่กลับไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว ท่านแม่ข้ารู้หรือไม่ว่ามีคนนอกแฝงเข้ามาวางแผนร้ายอยู่ในจวน?”
สาวใช้สองคนลงไปนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นแล้ว
สาวใช้คนหนึ่งมีสีหน้ามึนงง
อีกคนหนึ่งพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าเคยบอกฮูหยินแล้ว ฮูหยินบอกว่าคิดเสียว่าแก้เบื่อ”
กู้ช่านลังเลเล็กน้อย ถามว่า “ท่านพ่อของข้าวางแผนรับมือไว้หรือไม่?”
สาวใช้เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นายท่านเป็นห่วงความปลอดภัยของฮูหยินมาก ไม่เพียงแต่ไปพูดคุยกับท่านเทพอภิบาลเมืองในพื้นที่มาก่อน ยังร่ายวิชาอภินิหารไว้บนภาพเทพทวารบาลของประตูเรือนด้วย และในจวนยังมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดอายุมากอีกคนหนึ่ง เคยอยู่ในกองทัพ บ้านเกิดอยู่ในอาณาเขตขุนเขาเก่าของต้าหลี จึงเคยรู้จักกับนายท่าน ถูกนายท่านเชิญตัวมาที่นี่ ตอนนี้ปิดบังชื่อแซ่ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์จวน คอยจับตามองกลุ่มคนของคนเฝ้าประตูอยู่ตลอดเวลา”
คนเฝ้าประตูหัวสมองขาวโพลน
‘ผู้ฝึกตน’ คนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับเทพอภิบาลเมืองจังหวัดหลงโจว สามารถเชิญตัวปรมาจารย์ขอบเขตเจ็ดให้มาทำหน้าที่พิทักษ์เรือนได้?
เหตุใดถึงได้ถูกสตรีที่ใจแคบราวไส้ไก่ผู้นั้นด่าติดปากตลอดเวลาว่าผีทะเลไร้ประโยชน์?
กู้ช่านจนใจเล็กน้อย ความสัมพันธ์ควันธูป ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดของต้าหลีอะไรพวกนี้ล้วนถูกบันทึกไว้ในเอกสาร ทางราชสำนักต้องจับตามองอย่างไม่คลาดสายตาแน่นอน คาดว่าสภาพการณ์คงไม่ต่างจากซ่งอวี้จางเทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่วสักเท่าไร ปกป้องจวนกู้นั้นเป็นเรื่องจริง แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นการจับตามองอย่างเปิดเผยอย่างหนึ่งมากกว่า บิดาเทพภูเขาที่ไม่เคยมีอยู่ในความทรงจำของกู้ช่านย่อมไม่เคยเปิดเผยเรื่องวงในพวกนี้ให้นางต้องเป็นกังวลแน่นอน
กู้ช่านมองผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ยังคิดว่าจะเอาชีวิตรอดอย่างไรผู้นั้น อยู่ดีๆ เขาก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “บางทีคนเบื้องหลังอาจเป็นยอดฝีมือจริงๆ ส่วนเจ้าก็ช่างเถิด คาดว่าใครกันแน่ที่เป็นคนวางแผน มีแผนการจริงหรือไม่ จนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังไม่รู้แน่ชัด”
กู้ช่านพูดพึมพำ “คนตายเพราะทรัพย์สิน นกตายเพราะอาหาร เหตุใดใต้หล้าถึงได้มีคนโง่เยอะขนาดนี้นะ”
มีเสียงของคนผู้หนึ่งที่เอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น “นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ? บนกระดานหมาก หากโยนเม็ดหมากส่งเดชจะได้เปรียบได้อย่างไร คนฉลาดที่อายุน้อยหน่อยถึงจะโดดเด่นกว่าใคร กลายเป็นคนมาทีหลังที่ตามมาทันได้”
กู้ช่านลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเคร่งขรึม ในห้องไม่มีใคร แต่กู้ช่านก็ยังกุมหมัดคารวะอย่างนอบน้อม
บุรุษชุดขาวคนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายกู้ช่าน “เก็บข้าวของให้เรียบร้อยแล้วตามข้าไปนครจักรพรรดิขาว ก่อนจะออกเดินทาง เจ้าไปที่ภูเขาหวงหูกับหลิ่วชื่อเฉิงรอบหนึ่งก่อน ไปเจอกับนักพรตเฒ่าที่ชาตินี้ใช้ชื่อว่าเจี่ยเฉิง หากท่านผู้เฒ่ายินดีจะเผยกาย เจ้าก็จะกลายเป็นศิษย์น้องเล็กของข้า หากเขาไม่ยินดีพบเจอเจ้า เจ้าก็จงมาเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของข้าอย่างสบายใจ”
ในมือของบุรุษชุดขาวถือม้วนภาพหนึ่งเอาไว้ คือ ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่เก่าแก่เปื่อยขาดอันหนึ่ง เขามอบมันให้กู้ช่าน “เจ้าพกของสิ่งนี้ไปที่ภูเขาหวงหู”
ก่อนจะมาที่จวนแห่งนี้ บุรุษได้ไปนำภาพนี้กลับมาจากมือหลินโส่วอี เพื่อให้เป็นของขวัญตอบแทน เขาได้มอบฉบับกลางและฉบับล่างของ ‘ตำราเหนือเมฆพร่างพราว’ ที่เดิมทีก็มาจากนครจักรพรรดิขาวให้หลินโส่วอีไปอย่างครบถ้วน แม้ว่าหลินโส่วอีจะเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษา ทว่าบนเส้นทางของการฝึกตนเขากลับพัฒนาไปอย่างรุดหน้า สามารถเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตถ้ำสถิตได้อย่างว่องไว นี่ล้วนเป็นคุณความชอบใหญ่จาก ‘ตำราเหนือเมฆ’ ฉบับบนของห้าขอบเขตล่าง วิชาอสนีที่ถูกบันทึกไว้ด้านในอย่างลับๆ ก็คือวิชาห้าอสนีที่เป็นต้นตำรับดั้งเดิม แต่นี่ยังไม่ใช่แก่นอันยอดเยี่ยมที่ใหญ่ที่สุดของ ‘ตำราเหนือเมฆ’ บุกเบิกมหามรรคา ฝึกตนอย่างไร้อุปสรรคขัดขวางจึงจะเป็นวัตถุประสงค์หลักของ ‘ตำราเหนือเมฆพร่างพราว’ ผู้ที่เขียนตำราเล่มนี้ก็คือเจ้านครจักรพรรดิขาวที่เคยได้ลิ้มรสวิชาอสนีของภูเขามังกรพยัคฆ์มาก่อน เขาทำการตัดทอนกิ่งก้านยิบย่อยมากมายทิ้งไปและนำมาแก้ไขปรับปรุงให้สมบูรณ์แบบ
จุดใดบนโลกนี้ที่อยู่เหนือเมฆมากที่สุด?
แน่นอนว่าต้องเป็นนครจักรพรรดิขาว
ส่วนเหตุใดตำราเล่มแรกถึงได้ตกมาอยู่ในมือหลินโส่วอี แน่นอนว่าต้องเป็นฝีมือของอาเหลียง ก็เป็นประเภทที่ว่าบัณฑิตยืมตำรา ยืมแล้วไม่มีคืนนั่นเอง ดังนั้นการที่บอกว่าหลินโส่วอีถูกใจตำราเล่มนี้นับแต่แวบแรกที่เห็นก็เรียกได้ว่าโชควาสนาของเขาดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด
ในเมื่อเป็นของที่อาเหลียงมอบให้ นครจักรพรรดิขาวจึงไม่ถือสาการละเมิดกฎบนภูเขาของหลินโส่วอีที่ ‘แอบเรียนรู้วิชาอย่างไม่ตั้งใจ’
ทว่าต่อให้เขาจะบอกชื่อแซ่ของตัวเองไปแล้ว หลินโส่วอีผู้นั้นกลับยังไม่ยินดีจะพูดถึงที่มาของภาพค้นภูเขาแม้แต่ครึ่งคำ
นี่ถึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้านครจักรพรรดิขาวยินดีจะมอบบทสุดท้ายของ ‘ตำราเหนือเมฆ’ ให้แก่หลินโส่วอี เพราะเดิมทีแค่มอบเล่มกลางให้ หลินโส่วอีก็ควรจะกลายเป็นหมากตัวหนึ่งที่ต้องเจอกับหายนะแล้ว
กู้ช่านได้ยินแล้วสีหน้าก็ไร้อารมณ์ ทว่าในใจกลับสั่นสะเทือนไม่หยุด เขารู้จักเจี่ยเฉิงผู้นั้น!
ผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว นักพรตเฒ่าตาบอดคนหนึ่งที่โชคดีถึงสามารถมากินเปล่าอยู่เปล่าในตรอกฉีหลงได้ เขามีลูกศิษย์ที่ว่าง่ายอยู่สองคน เด็กหนุ่มขาเป๋ จ้าวเติงเกา เป็นเผ่าปีศาจ เถียนจิ่วเอ๋อร์ เลือดสดของนางคือวัสดุที่ดีเยี่ยมในการนำมาทำยันต์ ว่ากันว่าเมื่อหลายปีก่อนเจี่ยเฉิงได้ย้ายไปสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่ภูเขาหวงหูแล้ว
ไม่นึกเลยว่าภูเขาลั่วพั่วจะมีคนแบบนี้จำศีลอยู่ แม้แต่จูเหลี่ยนกับเว่ยป้อก็ยังไม่เคยพบเจอเบาะแสของคนผู้นี้สักนิดเลยงั้นหรือ?
“หากข้าไม่มาที่นี่ ชั่วชีวิตนี้ทุกคนของภูเขาลั่วพั่วก็จะไม่มีทางรู้ว่ามีคนเช่นนี้อยู่ เจี่ยเฉิงผู้นั้นจนถึงตายก็จะยังเป็นแค่เจี่ยเฉิง บางทีบนเส้นทางการฝึกตนของเจี่ยเฉิงอาจทำให้เขาได้ไปเยือนใต้หล้าแห่งที่ห้าอย่างสมเหตุสมผล วันใดที่ลาจากโลกนี้ไป ต่อให้เปลี่ยนเนื้อหนังมังสาใหม่ วงจรเดิมก็จะยังหวนกลับมาอีกครั้ง เป็นเช่นนี้เรื่อยไปไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย”