ชายแขนเสื้อชุดผ้าป่านเนื้อหยาบของหลิวชาสะบัดดังพึ่บพั่บ ชายฉกรรจ์เคราดกแหงนหน้าเอ่ย “ไปอยู่ฟ้านอกฟ้า สังหารเทวบุตรมารนอกโลกพวกนั้นมาตั้งมาก ผลกลับมีฝีมือแค่นี้เองหรือ? แล้วยังบอกว่าด้วยว่าเต๋าเหล่าเอ้อร์มรรคกถาไม่สูง ไม่สมชื่อเอาเสียเลย?”
อาเหลียงยิ้มกล่าว “เพราะเป็นสหายถึงได้พูดกับเจ้าอย่างจริงใจ หากเจ้าคิดอย่างนี้จริงๆ เจ้าก็ต้องตายแน่”
หลิวชาส่ายหน้า ถึงกับเก็บกระบี่เล่มนั้นลงไป กุมกระบี่ไว้ในมือแล้วปล่อยให้ปราณกระบี่สองสายกระแทกชนตัวเอง
ชายฉกรรจ์เคราดกไม่เก็บออมฝีมืออีกต่อไป เริ่มรวบรวมปราณกระบี่มาเป็นของตน
มั่นคงดุจหินผา ดุจเสาหินที่ตั้งอยู่ท่ามกลางกระแสสายชล ต่อให้ปราณกระบี่ของเจ้าจะเหมือนน้ำท่วมไหลบ่า แต่วิถีกระบี่ของข้าหลิวชากลับเป็นดั่งภูเขาตั้งตระหง่าน แม่น้ำปราณกระบี่สองสายที่พุ่งมาอย่างดุดันปะทะกับเรือนกายของหลิวชาแล้วก็เริ่มอ้อมผ่านไปด้วยตัวเอง กระเทือนให้เกิดคลื่นปราณกระบี่โถมตัวกระบี่สูงหลายสิบจั้ง
แค่เคยได้ยิน หรือไม่ก็เคยเห็นกับตามาก่อนว่าปราณกระบี่ของจั่วโย่วมีมากอย่างถึงที่สุด เป็นอันดับหนึ่งในหลายๆ ใต้หล้า หลังจากที่จั่วโย่วมาฝึกประสบการณ์อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ยังถึงขั้นสามารถรวบรวมปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์ของตัวเองให้กลายเป็นของจับต้องได้จริง
แต่หลิวชาในเวลานี้กลับใช้วิถีกระบี่มารวมตัวเป็นร่างจริง
อาเหลียงหัวเราะ
จากนั้นระหว่างเขากับชายฉกรรจ์เคราดกก็ปรากฎแม่น้ำยาวแห่งกาลเวลาที่เป็นมายาล่องลอยที่สุดในโลกสายหนึ่ง ทว่าพอมันเผยตัวขึ้นกลับเปล่งประกายดุจแก้วใสแวววาว
แม่น้ำยาวทั้งสายเหมือนกระบี่บินเล่มใหญ่ยักษ์ที่บิดหมุนห่อหุ้มหลิวชาเอาไว้ภายใน ราวกับว่าพาร่างของเขาเข้าไปอยู่ในฝักกระบี่ ส่วนตัวเขาเองก็เป็นคนเอากระบี่ยาวสอดใส่ฝักไปอีกครั้ง
แม่น้ำยาวแห่งกาลเวลาที่เดิมทีสอดคล้องกับมหามรรคาแห่งฟ้าดินมากที่สุด ไม่รู้ว่าพอถูกอาเหลียงกระชากดึงออกมาจึงเริ่มถูกมหามรรคาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างผลักไสหรือไม่ ถึงเป็นเหตุให้บริเวณโดยรอบของแม่น้ำสายยาวเกิดภาพบรรยากาศของการสยบกำราบจากสัจธรรมแห่งมหามรรคาจำนวนนับไม่ถ้วน จุดที่ทั้งสองฝ่ายเชื่อมโยงถึงกันมีแม่น้ำยาวแห่งกาลเวลาเจ็ดสีเหมือนก้อนน้ำแข็งที่ปริแตกอย่างต่อเนื่อง ทว่าถึงแม้ตลอดทั้งแม่น้ำแห่งกาลเวลาจะถูกบีบคั้นกดทับ กลับยิ่งนานก็ยิ่งแข็งแกร่งแน่นหนา ราวกับว่าบนฟ้าดินพลันบังเกิดกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากร่างทองแก้วใสของขอบเขตบินทะยาน
ผู้เฒ่าชุดเทาทอดถอนใจเอ่ยชื่นชม “ช่างเป็นวิธีการที่ดีนัก”
บัณฑิตซึ่งเอาแต่ตั้งใจสอนตำราอริยะปราชญ์ให้แก่ลูกศิษย์ ไม่เคยสนใจเรื่องภายนอกซึ่งเวลานี้อยู่ในกระโจมทัพแห่งหนึ่งก็เงยหน้าขึ้น จ้องมองสนามรบจุดที่ห่างไปไกลอย่างละเอียด
อาเหลียงเงยหน้าขึ้น
หลิวชาที่ร่างจริงถูกกักตัวเอาไว้ชั่วคราว วิถีแห่งกระบี่ค่อยๆ ถูกลดทอนให้สลายหายไป แน่นอนว่าไม่มีทางนิ่งเฉยรอความตายง่ายๆ แบบนี้
กายธรรมที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางฟ้าดินร่างหนึ่งมีเพียงครึ่งร่างเท่านั้นที่โผล่พ้นมาจากพื้นดิน ใช้ท่าสองมือจับกระบี่เงื้อกระบี่ฟันลงไป ปลายกระบี่พุ่งเข้าหาอาเหลียง พริบตาเดียวก็พุ่งมาถึง
ตรงซากกระโจมทัพอันเก่าก่อนหน้านี้ก็มีหลิวชาคนหนึ่งเผยกาย ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน หลอมรวมปณิธานกระบี่ขึ้นเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง
ตอนแรกสุดอาเหลียงเคยยิ้มเอ่ยว่า ยอดฝีมืออย่างหลิวชา ตนเองสู้ได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น
แต่หลิวชาที่มีร่างจริงวิถีกระบี่ จิตหยางกายนอกกาย บวกกับจิตหยินเดินทางไกล หนึ่งคนแบ่งร่างเป็นสามเช่นนี้ ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่เท่ากับหลิวชาที่มีฝีมืออยู่บนยอดเขาสูงสุดสามคน
แต่ไหนแต่ไรมาอาเหลียงก็มักจะวางท่าว่า หากตนไม่สู้ก็คงต้องถูกคนอื่นซ้อมอยู่เสมอ
ต่อให้ในบรรดาคู่ต่อสู้ที่ต้องประมือกันจะมีต่งซานเกิงแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วก็มีหลิวชาแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ แล้วยังมีผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงน่าไม่อายของใต้หล้ามืดสลัวผู้นั้นอีก
วินาทีถัดมา
กายธรรมร่างใหญ่โตมโหฬารเกินจริงที่สามารถเรียกได้ว่าค้ำฟ้ายันดินมาปรากฎตัวอยู่เบื้องหลังหลิวชา มือข้างหนึ่งกดศีรษะของฝ่ายหลังเอาไว้ กระแทกหัวอีกฝ่ายผลุบจมหายเข้าไปในพื้นดิน
ก่อนที่อาเหลียงจะออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาต้องการบอกกับหลิวชามาโดยตลอดว่า ตนไม่มีกระบี่ที่เหมาะมือสักที นี่อาจมีผลกระทบอยู่บ้าง แต่ขอแค่คู่ต่อสู้เองก็ไม่มีหนึ่งในกระบี่เซียนอยู่ในมือ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากนัก
ในอดีตเพราะไม่ได้พบเจอกันบนสนามรบ เป็นสหายกับหลิวชา อาเหลียงจึงไม่สะดวกจะพูดเรื่องนี้
คำพูดคำจาโผงผางเกินไป ก็ง่ายที่จะไร้สหาย
ขณะเดียวกัน ‘อาเหลียง’ ที่มือข้างหนึ่งกดหัวกายธรรมของหลิวชา มืออีกข้างหนึ่งที่ถือกระบี่ก็ฟันฉับลงไป บนแนวเส้นนั้นมีกระโจมทัพตั้งอยู่แปดหลังพอดี
ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์สามท่านอย่างป๋ายอิ๋ง ผู้เฒ่าแบกทวนยาว เทพเกราะทอง ต่างคนต่างลงมือต้านทานกระบี่นั้น
อาเหลียงยิ้มแป้นพูดหน้าเป็น “เผ่นดีกว่า เผ่นดีกว่า”
แม่น้ำยาวแห่งกาลเวลาที่ถูกอาเหลียงหลอมขึ้นเป็นกระบี่ยาวพลันปริแตกออก
จุดที่กายนอกกายของหลิวชายืนอยู่ อยู่ดีๆ ก็มีแสงกระบี่เส้นหนึ่งพุ่งออกไปแล้วชนเข้าที่กำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่
แม้แต่แม่น้ำยาวสีทองเส้นนั้นก็ยังถูกหนึ่งกระบี่ทะลุให้เป็นรู
หลังจากแสงกระบี่หายไปก็มีคนผู้หนึ่งนอนคว่ำอยู่บนหัวกำแพงเมือง ก่อนจะค่อยๆ ไถลร่วงลงมา
ผู้เฒ่าชุดเทามาหยุดอยู่ข้างร่างจริงของหลิวชา ชำเลืองตามองชายฉกรรจ์เคราดกที่มีเลือดซึมออกจากมุมปาก ยิ้มเอ่ยว่า “เพราะฉะนั้นถึงได้บอกยังไงล่ะว่า คราวหน้าที่ออกกระบี่อย่ามัวกระบิดกระบวนอีก”
หลิวชาพยักหน้ารับ
กายธรรมของจิตหยินที่ออกจากช่องโพรงลมปราณเดินทางไกล และจิตหยางกายนอกกายที่ถูกอาเหลียงฟันกระบี่ใส่ล้วนกลับคืนมาอยู่ในร่างเดียวกัน
ชายฉกรรจ์ที่ถูกหนึ่งกระบี่ ‘ส่งไปถึง’ บนหัวกำแพงเมือง ก่อนหน้านี้เขามาอยู่บนตัวอักษร ‘เหมิ่ง’ พอดี จากนั้นก็ไถลลื่นลงมา ระหว่างนั้นยังไม่ลืมแอบถ่มน้ำลายลงบนฝ่ามือ เอียงหัวหมุนซ้ายขยับขวา จัดแต่งเส้นผมบนศีรษะและตรงจอนหูอย่างระมัดระวัง ต่อสู้กับคนอื่นต้องมีสิ่งที่แสวงหา แสวงหาอะไร? แน่นอนว่าต้องเป็นมาดของความสง่างาม
จำได้ว่าตอนอยู่ที่ภูเขาห้อยหัว ดูเหมือนจะมีแม่นางน้อยขายเหล้าของพื้นที่มงคลหวงเหลียงคนหนึ่ง ปีนั้นนางพูดว่าอะไรแล้วนะ ดูเหมือนจะบอกว่าพอเห็นโฉมหน้าของเขาแล้วก็คล้ายว่ามีกวางเล็กตัวหนึ่งวิ่งชนสะเปะสะปะอยู่บนเส้นทางหัวใจของนาง
ถ้อยคำที่ออกมาจากใจจริงแบบนี้สามารถรับเอาไว้ได้ ส่วนความรักความชื่นชอบจากพวกสตรีทั้งหลายนั้นก็ช่างเถิด
ขณะที่อยู่บนเส้นขีดแนวนอนของตัวอักษรใหญ่ บุรุษพลันหยุดร่างลอยตัวอยู่กลางอากาศ ก้าวเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ยิ้มพลางกวักมือเรียกผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่มีสีหน้าเหยเกคนหนึ่ง “นี่มันพี่ใหญ่อินของพวกเราไม่ใช่หรือ? มองอะไรน่ะ? มองนานหน่อยขอบเขตก็จะเพิ่มมากขึ้นหลายขั้นหรือไร?”
ยื่นฝ่ามือไปตบลงบนไหล่ของผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดอินเฉิน แล้วชายฉกรรจ์ก็บ่นพึม “พี่ใหญ่อิน ไม่ใช่ว่าน้องชายตำหนิเจ้าจริงๆ นะ หลายปีนี้ฉวยโอกาสที่ข้าไม่อยู่ เอาแต่มองดูพวกแม่นางน้อยอย่างเดียวหรือ? ไม่อย่างนั้นทำไมถึงยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนเสียทีเล่า?”
ไหล่ข้างนั้นเอียงวูบ ความปวดแผ่ซ่านขึ้นมา อีกฝ่ายลงมือไม่เกรงใจกันแม้แต่น้อย อิ่นเฉินที่ขึ้นชื่อว่ายากจะคบค้าสมาคมด้วยในกำแพงเมืองปราณกระบี่ยังคงตีหน้าเคร่ง ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมพูดคุย
สองมือของอาเหลียงตบข้างแก้มของผู้ฝึกตนเฒ่าหนักๆ เบิกตากว้างแล้วเขย่ามืออย่างแรง ถามอย่างร้อนรน “พี่ใหญ่อิน พี่ใหญ่อิน ข้าเป็นใครเจ้าก็ไม่รู้จักแล้วหรือ? เจ้าเป็นคนโง่ไปแล้วหรือไร…”
อินเฉินกล่าวอย่างหน่ายใจ “จำได้ ข้าก็แค่ตื่นเต้นเกินไปเลยพูดไม่ออกเท่านั้นเอง”
อาเหลียงปล่อยมือ หุบยิ้ม เอ่ยว่า “ในที่สุดก็ได้เห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาเสียที ต้องโทษข้า โทษที่ข้ามาช้าเกินไป มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ เดินผ่าน เลยผ่าน ทำพลาด”
อินเฉินรู้ว่าท่าไม่ดี แล้วก็จริงดังคาด นาทีถัดมาเขาถูกอาเหลียงรัดคอ ถูกเจ้าตะพาบผู้นี้เอาหัวไปกักอยู่ใต้รักแร้ สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด แล้วยังต้องมารับน้ำลายที่อีกฝ่ายฝอยจนแตกฟอง “พี่ใหญ่อิน แค่เห็นว่าเจ้ายังคงเป็นชายแก่ขึ้นคานอยู่เหมือนเดิม ใจข้าก็เจ็บปวดแล้ว”
จู่ๆ อาเหลียงก็ปล่อยผู้ฝึกกระบี่เฒ่าในฉับพลัน เดินก้าวหนึ่งออกไปนอกกำแพง แล้วทะยานตัวไปอยู่บนหัวกำแพง สุดท้ายมายืนอยู่ข้างเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส
บนหัวกำแพงเมือง เว่ยจิ้นกุมหมัดยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสอาเหลียง”
อาเหลียงตบไหล่เว่ยจิ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียใจ “เจอหรือไม่เจอกันก็ยังเป็นชายโสดอยู่ดี”
อาเหลียงนั่งขัดสมาธิ หันหน้าไปทางทิศใต้ สีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่หาได้ยาก
ต่อให้จะถูกเขาเข้ามาปั่นป่วน แต่ก็ได้แค่ความสงบชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ต่อจากนี้ยังมีศึกติดพัน และคนก็ยังต้องตายกันต่อไป
บนสนามรบ การเข่นฆ่ายังคงดำเนินไป
เฉินชิงตูยืนอยู่ข้างกายอาเหลียง ยิ้มถาม “หรือว่าป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัวไม่มีนักพรตหญิงหน้าตาดีบ้างเลย ถึงได้รั้งตัวคนไว้ไม่อยู่แบบนี้?”
อาเหลียงชี้ไปยังทะเลเมฆเหนือศีรษะ จากนั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง ทอดสายตามองสนามรบ มืออีกข้างกดอยู่บนหัวใจ ปรับลมปราณเงียบๆ ทว่าปากกลับไม่อยู่สุข “มีสิ จะไม่มีได้อย่างไร แค่ไปโผล่หน้าที่ด้านล่างป๋ายอวี้จิงมารอบหนึ่ง ลำพังศิษย์น้องหญิงสองคนของตาเฒ่าที่อยู่ในป๋ายอวี้จิง สายตาของพวกนางที่มองข้าก็เหมือนจะกินคนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเทพธิดาคนอื่นเลย เดินทางอยู่ในใต้หล้า เรื่องแบบนี้น่ารำคาญใจมากที่สุด”
เฉินชิงตูหัวเราะร่า
อาเหลียงถาม “อาการบาดเจ็บของเจ้าเด็กนั่นเป็นอย่างไรบ้าง? ตอนนั้นข้าได้แค่ชำเลืองตามองอยู่ไกลๆ ค่อนข้างจะประหลาด มองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก”
เฉินชิงตูตอบกลับง่ายๆ “สรุปก็คือถูกแม่หนูหนิงแบกกลับไปแล้ว ไม่ตายหรอก เรื่องอย่างการบาดเจ็บร่อแร่ใกล้ตายแบบนี้ แค่ชินไปก็ดีเอง”
อาเหลียงเอ่ย “ถึงอย่างไรก็เป็นแค่คนหนุ่มคนหนึ่ง แล้วยังเป็นคนต่างถิ่น ในฐานะที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเป็นผู้อาวุโสก็ควรจะปกป้องคนเขาให้มากหน่อย เจ้าเด็กนี่นอกจากชอบแม่หนูหนิงแล้ว อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ติดค้างอะไรกำแพงเมืองปราณกระบี่เลย อาศัยความอาวุโสรังแกคนอื่น ไม่ใช่ความเคยชินที่ดีหรอกนะ”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “นี่เจ้ากำลังสอนข้าว่าควรทำตัวเป็นคนอย่างไร หรือกำลังสอนเวทกระบี่แก่ข้า?”
อาเหลียงลุกขึ้นยืน เอ่ยเสียงเบา “ข้าคนนี้เป็นอาจารย์ของคนอื่นไม่ได้มากที่สุด แต่หากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสยืนกรานจะเรียนรู้ให้ได้ ข้าก็คงต้องฝืนใจลองสอนดูสักครั้ง”
เว่ยจิ้นเลื่อมใสอีกฝ่ายอย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นการออกกระบี่ก่อนหน้านี้ หรือคำพูดคำจาในเวลานี้ ล้วนไม่เสียแรงที่เป็นผู้อาวุโสอาเหลียง
ผู้เฒ่าชำเลืองตามองอาเหลียง
หัวกำแพงเมืองพลันสั่นสะเทือน อาเหลียงไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว เผ่นหนีเพื่อความปลอดภัย
เพียงแต่ว่าทิศทางที่ผู้อาวุโสอาเหลียงหนีไป ผิดที่ผิดทางไปหน่อยไหม?
ขนาดเว่ยจิ้นก็ยังอ้าปากค้าง อดไม่ไหวถามว่า “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส นี่คือ?”
เฉินชิงตูเหลือบมองเว่ยจิ้น “มองไม่ออกรึ? ก็ตีกันน่ะสิ”
เว่ยจิ้นพูดไม่ออก
เฉินชิงตูเหลือบตามองรุ้งยาวที่พาดอยู่กลางอากาศโดยมีจุดเริ่มต้นคือหัวกำแพงเมือง อาเหลียงพุ่งทะยานไปรวดเร็วรุนแรงเกินไป ยิ้มถามว่า “ปีนั้นเขาเดินทางไปท่องเที่ยวที่แจกันสมบัติทวีป ไม่เคยบอกกับเจ้าหรือว่า เขาชอบถูกพวกขอบเขตบินทะยานรวมกลุ่มกันซ้อมเขามากที่สุด?”
เว่ยจิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าปั้นยาก “ปีนั้นอาเหลียงบอกกับผู้น้อยว่า เขาที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ซึ่งมีเซียนกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ก็ยังถือว่าเป็นคนที่ต่อสู้เก่ง สรุปก็คือต้องได้อยู่ห้าสิบอันดับแรกอย่างแน่นอน แถมยังบอกข้าว่าห้ามรู้สึกว่าเขาคุยโวเด็ดขาด เป็นการพูดที่…มีหลักมีฐานน่าเชื่อถือมาก”
ดังนั้นตอนแรกเว่ยจิ้นถึงได้เข้าใจว่าตัวเองเจอนักต้มตุ๋น แต่โชคดีที่คำอธิบายช่วยไขข้อข้องใจเกี่ยวกับวิถีกระบี่ของผู้อาวุโสอาเหลียงในเวลานั้น แม้มองดูเหมือนเป็นการพูดเหลวไหล แต่กลับทำให้เว่ยจิ้นได้รับผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวง เขาถึงได้อดทนข่มกลั้นไม่ออกกระบี่หยั่งเชิงอีกฝ่าย หลังจากนั้นมาก็มีการเดิมพันเล็กๆ ของผู้อาวุโสอาเหลียง เว่ยจิ้นที่พ่ายแพ้จึงต้องเสียน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไป จากนั้นเขาก็เริ่มปิดด่าน แล้วก็ได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้สำเร็จจริงๆ หลังออกจากด่านมาแล้ว เว่ยจิ้นย่อมเกิดความเลื่อมใสต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปโดยปริยาย อยากจะมาดูให้เห็นกับตาตัวเองว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เท่ากับว่ามีผู้อาวุโสอาเหลียงห้าสิบคนเป็นสถานที่แบบใดกันแน่
จู่ๆ เฉินชิงตูก็เอ่ยขึ้นว่า “นอกจากเรียกตัวเองว่ามือกระบี่อย่างภาคภูมิใจมาโดยตลอด อาเหลียงยังเป็นบัณฑิตคนหนึ่งด้วย”
ร่างของบุรุษคนนั้นขยับห่างออกไป ข้ามผ่านแม่น้ำยาวสีทองเส้นนั้น หลังจากเขาหล่นกระแทกลงบนพื้นหนักๆ กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่อยู่รอบด้านตะลึงกันไปพักใหญ่ จากนั้นก็รีบถอยหนีแตกฮือเหมือนน้ำลง บางคนเผ่นหนีสุดชีวิต บางคนชักเท้าวิ่งตะบึง บางคนทะยานลม บางคนขี่กระบี่ มีครบทุกรูปแบบ
เจ้าชาติสุนัขมาอีกแล้ว!
บุรุษเชิดหน้าขึ้นสูง สองมือลูบเส้นผม ถามเองตอบเองว่า “ยังมีหล่อกว่านี้ได้อีกหรือ? ไม่ได้โม้นะ ไม่มีใครหล่อมากกว่านี้ได้อีกแล้ว!”
ระหว่างที่พูดพื้นที่โดยรอบซึ่งมีเขาเป็นจุดศูนย์กลางก็ปรากฏพายุหมุนขึ้นมาจากพื้นดิน ยิ่งนานก็ยิ่งขยายใหญ่ สุดท้ายมืดฟ้ามัวดิน คือกระบี่บินที่เกิดจากการรวมตัวกันของปณิธานกระบี่นับไม่ถ้วนซึ่งกำลังรวมตัวกันเป็นค่ายกล
ค่ายกลกระบี่ไม่ถูกมหามรรคาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสยบกำราบเลยแม้แต่น้อย
หลังออกห่างจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาไกล บินทะยานไปยังฟ้านอกฟ้า ใช้หมัดสังหารเทวบุตรมารนอกโลกไปนับไม่ถ้วน แล้วยังเดิมพันด้วยชีวิตต่อสู้กับเต๋าเหล่าเอ้อร์ เดิมทีก็เดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดของวิถีกระบี่ได้แล้ว ทว่าเวลานี้กลับสูงขึ้นไปอีกขั้น สูงจนเชื่อมโยงสู่ฟากฟ้า