หยางฮวาเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูกลับไม่ได้ขุ่นเคือง ตาดวงตาสีทองคู่นั้นของนางฉายแววสำรวจตรวจสอบอย่างกำเริบเสิบสาน มองประเมินมือกระบี่หนุ่มตรงหน้าอย่างจริงจังตั้งใจอีกครั้ง
ม่านราตรีหนาหนัก ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หยางฮวาปรากฏกายบนโลกด้วยร่างทอง กระโปรงที่เรียบง่ายแต่งดงามแผ่ประกายแสงสีทองปกคลุมด้านนอกหนึ่งชั้น ทำให้นางที่เดิมทีก็มีรูปโฉมโดดเด่นเหนือใครยิ่งส่องรัศมีเจิดจ้าพร่างตา ดวงจันทร์เหนือนทีก็ราวกับกลายมาเป็นเครื่องประดับผมของสตรีผู้เป็นเทพวารีท่านนี้
หันกลับไปมองคนหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับนาง กลับไม่ได้ดู ‘เดียวดายละทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง’ เฉกเช่นนาง
ปีนั้นหยางฮวาก็เคยใช้สายตาเช่นนี้มองประเมินเฉินผิงอันมาก่อน ตอนนั้นอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่สวมรองเท้าสานคนหนึ่ง นางมองออกแค่เพียงกลิ่นอายของความยากแค้นและปณิธานหมัดเบาบาง
ส่วนเวลานี้ นอกจากวัตถุนอกกายไม่กี่ชิ้นอย่างเช่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวที่เว่ยป้อเป็นผู้เลือกให้ ชุดคลุมอาคมสีเขียวที่ไม่ถือว่าเป็นชุดคลุมอาคมจริงๆ แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นกระบี่เล่มที่เฉินผิงอันสะพายไว้ด้านหลังแล้ว ก็ดูเหมือนว่านางจะมองอะไรไม่ออกอีก
หยางฮวาภาคภูมิใจในพรสวรรค์การเรียนวิชากระบี่ของตัวเองเสมอมา กระบี่ยาวพู่ทองที่กอดไว้ในอ้อมอกก็ยิ่งไม่ใช่วัตถุธรรมดา ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะกลายเป็นศาสตราวุธเทพที่ถูกเก็บเข้าไปไว้ในป๋ายอวี้จิงจำลองแห่งนั้นแล้ว
มองไม่ออก นี่ต่างหากที่เป็นปัญหา
แน่นอนว่าสำหรับหยางฮวาแล้ว นี่ก็คือเหตุผลที่จะออกกระบี่
ระหว่างคนทั้งสองมีลมภูเขาและไอน้ำกระเพื่อมขึ้นมาระลอกหนึ่งอย่างไม่มีลางบอกเหตุ เว่ยป้อที่สวมอาภรณ์สีขาวห้อยต่างหูสีทองเผยกาย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อริยะหรวนไม่อยู่ แต่กฎเกณฑ์ยังคงอยู่ พวกเจ้าอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย”
พอเว่ยป้อมา ประกายเจิดจ้าในดวงตาของหยางฮวาก็ถูกสะกดกลั้นลงไป
ในดวงตาของหยางฮวามีเพียงมือกระบี่หนุ่มที่เดินทางท่องเที่ยวอยู่ภายนอกตลอดทั้งปีผู้นั้น นางเอ่ยว่า “ขอแค่ลงนามยินยอมรับผลเป็นตายก็สอดคล้องกับกฎเกณฑ์แล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “น่าเสียดายที่ดูเหมือนเจ้านายของเจ้าจะไม่ชอบทำตามกฎเกณฑ์สักเท่าไหร่”
ในที่สุดหยางฮวาก็เผยโทสะเสี้ยวหนึ่งออกมาให้เห็น หยามเกียรตินาย บ่าวสมควรตาย เหนียงเนียงมีพระคุณช่วยชีวิตต่อนาง หลังจากนั้นก็ยิ่งมีพระคุณในการถ่ายทอดมรรคา ไม่อย่างนั้นนางก็คงไม่มีทางสละทิ้งทุกอย่างบนโลก ดิ้นรนสุดชีวิตเสี่ยงตาย ทนรับกับความทรมานที่ต้องเลือดเนื้อแหลกสลายกลายเป็นโครงกระดูก ยืนหยัดจะเป็นเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูให้ได้เพียงเพราะคำพูดเดียวของเหนียงเนียง ต่อให้ส่วนลึกในใจนางจะมีคำพูดบางอย่างที่หวังว่าวันหนึ่งจะสามารถพูดกับเหนียงเนียงด้วยตัวเองก็ตาม แต่คนนอกคนหนึ่งกล้าบังอาจมาวิจารณ์การกระทำของเหนียงเนียงนางอย่างนั้นหรือ? ชีวิตของเจ้าเศษสวะตรอกหนีผิงที่จู่ๆ ก็ร่ำรวยขึ้นมา ไม่ได้มีค่านักหรอก!
ดูเหมือนเว่ยป้อจะตกตะลึงไปเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็พลันเข้าใจ เมื่อเทียบกับสองฝ่ายที่กำลังคุมเชิงกันแล้ว คำพูดของเขาจึงฟังดูเล่นแง่ไม่เอาจริงเอาจังมากกว่า “ขอแค่มีข้าอยู่ พวกเจ้าก็ตีกันไม่ได้หรอก พวกเจ้าอยากจะให้สุดท้ายแล้วต่างคนต่างปล่อยกระบวนท่า กระบี่ฟันโดนความว่างเปล่า กลายเป็นตัวตลกของคนที่มองดูอยู่ ก็เชิญพวกเจ้าลงมือได้เต็มที่เลย”
เฉินผิงอันหันไปยิ้มกับเว่ยป้อ “เดิมทีข้าก็ไม่ได้อยากพูดคุยอะไรกับนางอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าไปก่อนดีกว่า ช่วยส่งข้าไปข้างกายเผยเฉียนที”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ
จู่ๆ หยางฮวาก็เอ่ยขึ้นว่า “เฉินผิงอัน เหตุใดไม่รบกวนท่านเทพเว่ยให้ส่งเจ้าไปที่เรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว ไปหลบอยู่ใต้เปลือกตาของปรมาจารย์วิถีวรยุทธท่านหนึ่งจะไม่ยิ่งมั่นคงกว่าหรอกหรือ รับรองว่าข้าไม่กล้าไล่ตามไปแน่นอน”
เฉินผิงอันตอบกลับด้วยประโยคว่า “ทำไม คงไม่ใช่ว่าเจ้าถูกใจข้าหรอกนะ? ถึงได้ตามตอแยไม่เลิกราเช่นนี้?”
สีหน้าของหยางฮวาประดุจน้ำค้างแข็ง ไอน้ำเข้มข้นทั่วร่างหมุนเวียนวน เดิมทีนางก็เป็นเทพวารีท่านหนึ่งอยู่แล้ว แม่น้ำเถี่ยฝูที่เดิมทีกระแสน้ำหนักอึ้ง เวลาไหลรินแทบไม่มีเสียงพลันเดือดพล่าน ได้ยินเสียงฟ้าร้องคำรามใต้สายน้ำแว่วๆ
เว่ยป้อปวดหัวแปล๊บ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ร่ายใช้วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตรีบส่งเฉินผิงอันไปที่ตรอกฉีหลง
ไม่อย่างนั้นเกรงว่าต่อให้มีทั้งตนและอริยะหร่วนฉงด้วยอีกคนก็อาจจะขัดขวางชายหญิงที่ดื้อดึงทั้งคู่นี้ไม่ได้
นี่ถึงทำให้หยางฮวาย้ายสายตามาจ้องมององค์เทพแห่งขุนเขาที่นานวันบุคลิกของการ ‘หลุดพ้นจากโลกีย์’ ก็ยิ่งเด่นชัดผู้นี้ สายตาของนางเย็นชา ไม่มีความเคารพแม้สักเสี้ยว
เว่ยป้อยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ไม่ได้รับผลตอบแทนดีๆ เลย ข้ามาครั้งนี้นับว่าหาเรื่องลำบากใส่ตัวโดยแท้”
หยางฮวาเอ่ยถามตามตรง “ปีนั้นตอนที่เจ้ากับพวกสวี่รั่วขี่ภูตผ่านที่แห่งนี้ สายตาตอนที่มองข้าแปลกประหลาด เพราะอะไรกันแน่?”
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “อย่าลืมล่ะว่าปีนั้นถึงแม้ข้าจะยังคงเป็นเทพแห่งผืนดินบนภูเขาฉีตุน แต่ถึงอย่างไรก็เคยเป็นองค์เทพแห่งขุนเขาของแคว้นหนึ่งมาก่อน แน่นอนว่าย่อมมองออกว่าระดับขั้นร่างทองของเจ้าสูงเกินไป ผิดไปจากปกติ เลยอดไม่ไหวมองหลายครั้งหน่อย”
หยางฮวาส่ายหน้า “เจ้ากำลังโกหก”
เว่ยป้อไม่ได้เถียงกับนางในหัวข้อนี้ต่อ เพียงพูดพร้อมยิ้มบางๆ “ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อยดีไหม?”
เว่ยป้อเดินนำไปก่อน พอเดินออกไปได้สองสามก้าวก็หันกลับมาเอ่ยว่า “คนเป็นใช้ชีวิตอยู่ในวงการขุนนาง คนตายอย่างพวกเราก็อยู่ได้ด้วยควันธูป ไม่คิดจะรักษากฎเกณฑ์เล็กๆ น้อยๆ บ้างเลยหรือ? ทั้งๆ ที่หร่วนฉงไม่อยู่ เหตุใดเฉินผิงอันถึงยังล้มเลิกความคิดที่จะขี่กระบี่ซึ่งทั้งประหยัดแรงกายและแรงใจ เลือกที่จะเดินเท้ากลับเมืองเล็กแทน?”
หยางฮวาถึงได้ขยับเท้าเดินตามไปด้านหลังเว่ยป้อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สององค์ของหนึ่งภูเขาหนึ่งสายน้ำเดินอยู่ริมตลิ่งแม่น้ำเถี่ยฝูที่เริ่มสงบนิ่งลง
เว่ยป้อเอาสองมือไพล่หลัง เอ่ยเนิบช้าว่า “หากข้าจำไม่ผิด เจ้าขวางเฉินผิงอันไว้ก็เพียงแค่เพราะเกิดใจคิดอยากจะเอาชนะ แต่หากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังเป็นเพราะตัดใจจากตัวตนผู้ฝึกกระบี่ในโลกคนเป็นไม่ได้ ตอนนี้ร่างทองของเจ้ายังไม่มั่นคง ควันธูปที่กินเข้าไป ระยะเวลายังน้อยนัก ยังไม่มากพอให้เจ้าทิ้งระยะห่างจากเทพวารีสามแม่น้ำอย่างซิ่วฮวา อวี้เย่และชงตั้นที่ระดับขั้นเท่าเทียมกันไปไกล ดังนั้นเจ้าท้าทายเฉินผิงอัน เป้าหมายก็เรียบง่ายอย่างมาก คิดแค่จะประลองฝีมืออย่างเดียวจริงๆ เท่านั้น ไม่คิดจะใช้ขอบเขตข่มเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก เหตุใดถึงใช้คำพูดดีๆ ไม่ได้? เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเฉินผิงอันไม่กล้าฆ่าเจ้า? เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ต่อให้เฉินผิงอันฆ่าเจ้า เจ้าก็ตายเปล่า ไม่แน่ว่าคนแรกที่จะช่วยพูดแทนเฉินผิงอันก็คือเหนียงเนียงในวังที่อยากจะได้รับการให้อภัยผู้นั้น”
หยางฮวาเงียบงันไม่ต่อคำ
ภูเขาสูงกว่าน้ำ นี่คือความรู้ทั่วไปของใต้หล้าไพศาล
ตำแหน่งและระดับขั้นขององค์เทพห้าขุนเขาของหนึ่งแคว้นย่อมต้องสูงกว่าเทพวารีทุกองค์อยู่แล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่าหยางฮวาไม่ได้มีความเคารพยำเกรงต่อเว่ยป้อเท่าใดนัก
เว่ยป้อเองก็ไม่ถือสาในเรื่องนี้ เขายังคงพูดต่อไปเหมือนคุยกับตัวเอง “ระหว่างความคิดหนึ่งกับความคิดหนึ่ง อยู่ใกล้กันมากแค่ไหน? เจ้ากำลังคิดอยู่ตรงนี้ มีพันภูเขาหมื่นแม่น้ำกางกั้นก็จะต้องมีคนที่จิตสื่อถึงกัน เชื่อมโยงกันไปทั่วทุกมุมบนโลกใบนี้ แต่บางครั้งระหว่างหนึ่งความคิดกับหนึ่งความคิด จะห่างไกลกันแค่ไหน?”
หยางฮวาหยุดเดิน แค่นเสียงหยันเอ่ยว่า “ข้าไม่มีอารมณ์มาทายปริศนาธรรมกับเจ้าอยู่ที่นี่ ขอแค่เป็นหน้าที่ของเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝู ข้าก็ไม่เคยเพิกเฉยละเลย หากเจ้าคิดจะมาวางมาดองค์เทพขุนเขาเหนือล่ะก็ เจ้ามาหาผิดคนแล้ว หากเจ้าคิดจะผลักไสข้าและแม่น้ำเถี่ยฝูเหมือนที่เคยข่มเทพภูเขาซ่งบนภูเขาลั่วพั่ว ก็เชิญตามสบาย ข้าพร้อมรับทุกกระบวนท่า”
เว่ยป้อหันหน้ามายิ้มให้นาง “หากเปลี่ยนสองคำว่า ‘อารมณ์’ มาเป็น ‘เวลา’ จะดียิ่งกว่า จะฟังดูละมุนละม่อมมากกว่า ความนัยในคำพูดก็จะไม่ใช่ความดื้อดึงไร้ไหวพริบ การไม่มีความเคารพยำเกรงต่อผู้บังคับบัญชา แต่จะกลายเป็นว่าเพราะเจ้าต้องสร้างร่างทอง ต้องดึงดูดแก่นควันธูปมา เวลาดังเข้าหูข้าก็มีแต่จะกลายเป็นว่าเจ้าไม่เข้าใจเรื่องทางโลก ถือว่าพอมีเหตุผลให้อภัยได้”
หยางฮวาปักเท้ายืนนิ่ง “สั่งสอนจบแล้ว?”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ คลี่ยิ้มที่ชวนให้คนหลงใหล “คืนนี้พอแค่นี้ วันหน้าข้าจะยังมาพูดความในใจกับเจ้าอีก”
สีหน้าของหยางฮวามืดทะมึน
เว่ยป้อยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาตั้งวางบนริมฝีปาก “คำพูดทำร้ายจิตใจคนบางอย่างที่วิ่งมารอตรงปากแล้ว หากไม่พูดได้ก็อย่าพูด จำไว้ให้ดี จำไว้ให้ดี”
ไม่เสียแรงที่หยางฮวาเคยเป็นนางกำนัลรับใช้ใกล้ชิดเหนียงเนียงต้าหลี นางไม่เพียงแต่ไม่ทำตัวสำรวม กลับกันยังถามโพล่งออกมา “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในท้องถิ่นของต้าหลีที่มีระดับขั้นสูง ยกตัวอย่างเช่นอดีตสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาทั้งหลาย รวมไปถึงกลุ่มที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงนินทาเจ้าลับหลังว่าอย่างไร? เมื่อก่อนข้ายังไม่รู้สึก คืนนี้ได้มาเจอกับตัว เจ้าเว่ยป้อเป็นคนประจบผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวจริงๆ เสียด้วย…”
เว่ยป้อยิ้มพลางโบกมือ “ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร เพียงแต่ว่าคนอื่นพูดกันอย่างไร ข้าก็ต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ? เห็นว่าตัวเองเป็นอริยะผู้มีปากอมกฎสวรรค์ เป็นเทียนจวินที่พยากรณ์ได้ล่วงหน้าจริงๆ? ถ้าอย่างนั้นเมื่อครู่นี้ที่เฉินผิงอันบอกว่าเจ้าถูกใจเขา ถึงได้ตอแยไม่เลิกราก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ?”
เว่ยป้อหดมือกลับ “ไม่ต้องพยายามใช้วิธีนี้มายั่วยุข้า เพื่อให้นับแต่นี้ไปเจ้าและข้าจะไม่ต้องไปมาหาสู่กันอีก แล้วเจ้าก็จะได้อยู่อย่างสงบ วันหน้าจำนวนครั้งที่ข้าจะมาพูดคุยกับเจ้าย่อมไม่มาก อีกทั้งยังต้องมีจุดประสงค์ในการมาทุกครั้ง ไม่มีทางถ่วงเวลาการฝึกตนของเจ้าเด็ดขาด”
หยางฮวาจนใจ ในใจยังคงมีไฟโทสะ จึงพูดเสียดสีอย่างอดไม่ไหว “เจ้าประจบสอพลอเฉินผิงอันถึงเพียงนี้ ไม่อายตัวเองบ้างหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่า หากไม่พูดถึงคนบางส่วนที่รู้ความจริง มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำกี่มากน้อยที่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว จะเป็นคนในพื้นที่ของต้าหลีก็ดี หรือของแคว้นใต้อาณัติก็ช่าง พอได้ยินข่าวลือมาจากคนอื่นแล้วจะแอบมองเจ้าเป็นตัวตลกเช่นไร”
เว่ยป้อทำท่าทางอย่างหนึ่งที่เหมือนเด็กน้อยอย่างยิ่ง เขายื่นนิ้วโป้งและนิ้วชี้ออกมา ถ่างอ้าออกแล้วกดลงบนแก้ม ก่อนจะออกแรงดึงขึ้นด้านบนเบาๆ ทำหน้ายิ้ม “ขอแค่พบหน้าข้าก็จงคลี่ยิ้มอย่างว่าง่าย แค่นี้ก็พอแล้ว ส่วนลับหลังจะพูดอะไรกัน ในสมองจะคิดอะไรอยู่ ข้าไม่อยากรู้”
หยางฮวากระตุกมุมปาก ยืนกอดกระบี่ เห็นได้ชัดว่านางไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลประโยคนี้ของเว่ยป้อ
เว่ยป้อเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “แม้ตอนที่เจ้าสร้างร่างทองขององค์เทพจะต้องเผชิญกับความยากลำบากมาคำรบหนึ่ง แต่รอวันใดที่เจ้าผ่านประสบการณ์ขึ้นๆ ลงๆ ในชีวิตเฉกเช่นข้า เจ้าก็จะเข้าใจเองว่า ความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์ในเวลานี้ก็เป็นเพียงความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์เท่านั้น”
สุดท้ายเว่ยป้อเอ่ยว่า “มหามรรคายาวไกล การฝึกตนไม่ใช่เรื่องง่าย เจอเรื่องราวหรือพบเจอใครก็จงคิดใคร่ครวญให้มาก ความสำเร็จและความพ่ายแพ้ในเรื่องต่างๆ ใต้หล้านี้ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังคงอยู่ที่การคบค้าสมาคมกับผู้อื่นนั่นเอง”
หยางฮวายังคงพูดจาอย่างมีอคติ “ชอบอธิบายหลักการเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่สำนักศึกษาหลินลู่หรือไม่ก็โรงเรียนสกุลเฉินเสียเลยเล่า?”
เว่ยป้อพลันเอียงศีรษะ ยิ้มถามว่า “เป็นเพราะว่าหลักการเหตุผลที่พูดคุยกันดีๆ ล้วนไม่ถือว่าเป็นหลักการเหตุผลใช่ไหม? ก็เลยฟังไม่เข้าหู?”
หยางฮวาสัมผัสได้ว่าท่าไม่ดี
เว่ยป้อยกสองมือขึ้น สะบัดเบาๆ ชายแขนเสื้อสองข้างก็พลิกตลบประหนึ่งมีหิมะสองก้อนที่เกล็ดหิมะพากันปลิวปราย มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยายได้
แก่นควันธูปในศาลเทพวารี รวมไปถึงแก่นชะตาน้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูพากันมารวมตัวเป็นก้อนสีทองและก้อนสีเขียวมรกตสองก้อนที่ถูกเว่ยป้อเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อ
แล้วเว่ยป้อก็ทะยานจากไปไกล
หยางฮวายืนอึ้งงันอยู่ที่เดิม นี่ถือเป็นพระโพธิสัตว์ก็ยังมีไฟโทสะ แม้จะเป็นเทวรูปดินเผาขององค์เทพขุนเขาเหนือก็ยังอับอายจนพานเป็นความโกรธได้หรือไม่?
คิดไม่ถึงว่าเทพชุดขาวผู้นั้นไม่หยุดฝีเท้า แต่กลับหันหน้ามายิ้มบางๆ อธิบายว่า “ข้าไม่ได้โกรธ นี่พูดจริงๆ หากโกหกขอให้เป็นหมาน้อย”
……
เฉินผิงอันเคาะประตูร้านยาสุ้ยในตรอกฉีหลงเบาๆ
ในเมื่อเว่ยป้อพาตนมาส่งที่นี่ก็หมายความว่าเผยเฉียนน่าจะนอนค้างอยู่ที่นี่
ก็ไม่แปลก เผยเฉียนไม่ชอบคบค้าสมาคมกับชุยเฉิงสักเท่าไหร่ บนภูเขาลั่วพั่วที่มีคนอยู่เพียงหยิบมือ ไหนเลยจะครึกครื้นเท่าที่เมืองเล็กแห่งนี้ ในร้านตัวเองก็มีขนมให้กิน หากอยากกินถังหูลู่ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็แค่วิ่งไปซื้อไม่กี่ก้าวเท่านั้นไม่ใช่หรือ? สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่เคยเอ่ยอะไร ขอแค่ยังคัดตัวอักษรอยู่เหมือนเดิม ไม่เกเรเกินไปก็ปล่อยตามใจเผยเฉียน แล้วนับประสาอะไรกับที่เวลาปกติที่ต้องดูแลกิจการของร้าน เผยเฉียนก็ตั้งใจอย่างมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเรื่องที่จะให้ไปเรียนหนังสือในโรงเรียน เผยเฉียนคิดได้ถึงไหนแล้ว
คนที่มาเปิดประตูคือสือโหรว วัตถุหยินก็ใช่ว่าจะไม่ต้องการเวลานอนพักผ่อนเสียเลย เพียงแต่ว่าจะตรงข้ามกับคนเป็นพอดี จำศีลตอนกลางวัน เผยกายตอนกลางคืน อีกทั้งต่อให้เป็นการหลับฝันหวานที่ช่วยบำรุงจิตวิญญาณ ส่วนใหญ่ใช้เวลาแค่สองสามชั่วยามก็เพียงพอแล้ว ว่ากันว่านี่คือความแกร่งกล้าที่วัตถุหยินภูตผีมีมากกว่าคนเป็น เพราะถึงอย่างไรการถูกพายุลมกรดพัดใส่ การที่ต้องตากแดดร้อนแรง ฯลฯ แม้จะเป็นความยากลำบาก แต่ก็ถือเป็นการฝึกตนที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง
สือโหรวยิ้มกล่าว “คุณชาย กลับมาแล้วหรือ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ “เผยเฉียนมานอนค้างที่นี่หรือ?”
สือโหรวเอ่ยเบาๆ “คัดตัวอักษรกับแม่นางหลี่ของถนนฝูลวี่เสร็จก็ดับไฟ พูดคุยกันอยู่อีกนานกว่าจะนอนหลับ เมื่อหลายวันก่อนไปที่ภูเขาฉีตุนมา โดนผึ้งต่อยกันเสียอ่วม ต่อให้ไปซื้อยาสมุนไพรที่ร้านยาตระกูลหยางมาทาแล้ว เวลาปกติก็ยังนอนหลับได้ยากอยู่ดี”
ตอนที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกันและปิดประตูลงแล้ว สือโหรวก็ถามว่า “จะให้ข้าไปเรียกพวกนางสองคนไหม?”
สือโหรวรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย แม้ว่าเรือนด้านหลังของร้านยาสุ้ยจะมีห้องสามห้อง แต่ห้องหลักถูกเผยเฉียนกับหลี่เป่าผิงยึดไปแล้ว ห้องด้านข้างก็เก็บข้าวของไว้จนเต็ม เหลืออีกห้องหนึ่งก็ถือว่าเป็นที่พักในนามของนางสือโหรว จึงจัดวางของส่วนตัวที่ซื้อจากตลาดเอาไว้ไม่น้อย เป็นสิ่งของที่ไม่อาจเอาออกมาให้ใครดูได้ ช่วยไม่ได้ ตอนนี้พักพิงอยู่ในคราบร่างเซียนที่เป็นบุรุษ บางครั้งที่วางเครื่องประทินโฉมไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง แม้แต่ตัวนางเองก็ยังรู้สึกพิลึกพิลั่น เจ้าเด็กบ้าเผยเฉียนผู้นั้นยังจงใจมอบกระจกทองแดงบานหนึ่งให้นางเป็นของขวัญอีก
เฉินผิงอันกดเสียงเบาเอ่ยว่า “ไม่ต้อง ข้าจะนั่งอยู่ในลานบ้านให้ผ่านไปสักคืน ถือว่าฝึกท่ายืนนิ่งก็แล้วกัน อีกเดี๋ยวเจ้าช่วยเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงนี้ของเขตการปกครองหลงเฉวียนให้ข้าฟังที”
พอเดินมาถึงใต้ชายคาของห้องข้างที่เป็นของสือโหรว คนหนึ่งก็นั่งลง อีกคนหนึ่งยืน สือโหรวไปยกม้านั่งตัวยาวมาให้เฉินผิงอัน เก้าอี้ก็ยังมี แต่ว่านางไม่นั่ง
สือโหรวเล่าเรื่องน้อยใหญ่ของงานเลี้ยงท่องราตรีและบนภูเขาลั่วพั่วให้ฟัง
เหล่าลูกศิษย์ของสำนักศึกษาซานหยาจะเดินทางท่องเที่ยวขึ้นเหนือกันต่อ จะไปที่เมืองหลวงต้าหลีเพื่อเยี่ยมชมสถานที่ตั้งเก่าของสำนักศึกษาก่อน จากนั้นก็จะขึ้นเหนือไปอีก จนกระทั่งไปถึงชายหาดมหาสมุทรใหญ่ทางทิศเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลี่เป่าผิงใช้เหตุผลอะไรเกลี้ยกล่อมเหมาเสี่ยวตงอริยะสำนักศึกษาได้สำเร็จ จึงได้อยู่ต่อที่เมืองเล็ก สือโหรวเดาเอาว่าน่าจะเป็นบรรพบุรุษสกุลหลี่ที่ไปขอร้องอาจารย์เหมา
หลิ่วชิงซานกับหลิ่วป๋อฉีออกไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว ก่อนจะจากไป คู่รักเทพเซียนที่จับมือกันท่องเที่ยวมาครึ่งทวีปคู่นี้ได้ตั้งใจไปดื่มเหล้ากับจูเหลี่ยนมารอบหนึ่ง และสาบานเป็นพี่น้องกัน
—–