“คุณกำลังทำอะไรน่ะ?
เสี่ยวหลิวยืนอยู่หน้าประตูห้องครัวพร้อมกับแก้วน้ำในมือ พอเห็นว่าหลินซินเหยียนกำลังใช้โทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นเธอจึงถามออกไป
ไม่ใช่เสียงหม่ามี๊นี่นา หลินซีเฉินขมวดคิ้วขึ้น แต่ยังไงเขาก็คิดว่าคนที่โทรมาคือหม่ามี๊อยู่ดี เขาอยากสงบสติอารมณ์ให้นิ่งกว่านี้ ทว่า ณ ตอนนี้มันนิ่งไม่ได้แล้วจริงๆ เขาเอ่ยขึ้นเสียงสั่น “หม่ามี๊ใช่ไหมครับ?”
หลินซินเหยียนกระแอมเสียงเล็กน้อย เธอไม่สนใจที่เสี่ยวหลิวถาม เธอแค่อยากจะตอบลูกชายออกไปว่าไม่ต้องเป็นห่วง เธอสบายดี ทว่าเสี่ยวหลิวกลับเดินเข้ามาคว้าโทรศัพท์ในมือของเธอออกไปแล้วกดวางสาย“คุณผู้ชายบอกว่าห้ามให้คุณใช้โทรศัพท์ คุณลืมไปแล้วหรอ?”
หลินซินเหยียนมองไปที่เสี่ยวหลิว“จริงอยู่ที่ว่าคุณผู้ชายของเธอช่วยฉันไว้ แต่เรื่องที่เขาไม่ยอมให้ฉันติดต่อคนที่บ้าน เธอไม่คิดว่ามันเกินไปหน่อยหรอ?”
อันที่จริงมันก็ดูไม่สมเหตุสมผลอยู่ แต่เธอเชื่อว่าการที่ไป๋ยิ่นหนิงทำแบบนี้เขาจะต้องมีเหตุผลของเขาแน่“บางทีคุณผู้ชายอาจจะมีเหตุผลของเขา คุณแค่ทำตามที่เขาสั่งก็พอแล้ว”
“เธอรู้ไหมว่าถ้าคนในครอบครัวของฉันติดต่อฉันไม่ได้ พวกเขาจะกังวลมากแค่ไหน?”หลินซินเหยียนพยายามพูดเกลี้ยกล่อมเธอ
เสี่ยวหลิวกอดโทรศัพท์ไว้แน่นราวกับกลัวว่าหลินซินเหยียนจะมาแย่งไป เธอยอมรับว่าที่หลินซินเหยียนพูดมาก็มีเหตุผล แต่เธอไม่อาจขัดคำสั่งของคุณผู้ชายได้
“พอเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันช่วยพยุงเข้าไปในห้องนะคะ”เพื่อไม่ให้หลินซินเหยียนใช้โทรศัพท์ เสี่ยวหลิวจึงเอาโทรศัพท์วางไว้บนโต๊ะในห้องทานอาหารแทน จากนั้นก็วิ่งมาประคองเธอ“ไปเถอะค่ะ อย่าทำให้ฉันลำบากใจเลย ถ้าคุณต้องการใช้โทรศัพท์ติดต่อหาคนที่บ้านจริงๆล่ะก็ คุณก็ไปบอกคุณผู้ชาย แล้วถ้าเขาตกลง ฉันก็คงไม่ห้ามคุณอีก”
หลินซินเหยียนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับไป๋ยิ่นหนิงเลย และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีจุดประสงค์อะไรกันแน่ถึงไม่ยอมให้เธอใช้โทรศัพท์
“เสี่ยวหลิวเธออยู่ที่นี่มานานแล้วหรอ?”หลินซินเหยียนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เธอกำลังพยายามหลอกถามเรื่องราวของไป๋ยิ่นหนิงจากปากของหล่อน
“ใช่ค่ะ ฉันเป็นคนที่ดูแลคุณผู้ชายมาโดยตลอด”เสี่ยวหลิวเป็นคนใสซื่อไร้เดียงสา หลินซินเหยียนถามอะไรเธอก็ตอบ
“ถ้างั้นเขาอยู่ที่นี่คนเดียวหรอ?ทำไมไม่เห็นพ่อกับแม่เขาเลย?”หลินซินเหยียนกลัวว่าหล่อนจะสงสัยว่าเธอมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างแฝงอยู่ในคำถาม เธอเลยพูดเพิ่มไปอีกประโยคหนึ่ง“บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้เขาอยู่คนเดียวคงเหงาแย่เลยสินะ”
“ฉันก็ไม่เคยเห็นแม่ของเขา จะเคยก็แต่เห็นพ่อของเขา แต่พ่อของเขาไม่อยู่แล้ว ตอนนี้ที่บ้านก็เลยเหลือเขาแค่คนเดียว ”
“แล้วเขาทำงานอะไรหรอ?”หลินซินเหยียนแสร้งทำเป็นใสซื่อพร้อมกับมองไปรอบๆห้อง“ดูเหมือนว่าเขาจะรวยเอามากๆเลย”
“คุณพึ่งมาไป๋เฉิงครั้งแรก เพราะงั้นคุณอาจจะไม่รู้ แต่บอกได้เลยว่าที่ไป๋เฉิงไม่มีใครไม่รู้จักตระกูลไป๋”เสี่ยวหลิวพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจในตระกูลไป๋“อย่าดูถูกที่คุณผู้ชายเดินไม่ได้นะคะ เขาเป็นคนที่น่าทึ่งมาก ประชากรกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ในไป๋เฉิงล้วนทำงานให้กับบริษัทของตระกูลไป๋ แค่เขาเพียงคนเดียวก็แก้ไขปัญหาเรื่องงานให้คนได้เป็นจำนวนมากแล้ว”
ตาของหล่อนเป็นประกายเลยทีเดียวเมื่อพูดถึงไป๋ยิ่นหนิง
เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เลยเชียว?
ถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ไป๋เฉิงมีประชากรทั้งหมดกี่คนหรอ?”หลินซินเหยียนถามขึ้นอีก
“ประมาณห้าหกหมื่นคนได้ ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจค่ะ”เสี่ยวหลิวประคองเธอมานั่ง“ตรงขาเบาๆหน่อย”
หลินซินเหยียนถือโอกาสตอนที่หล่อนยกขาของเธอขึ้นมาบนเตียงมองไปที่หล่อน“เธอเคยไปที่อื่นบ้างไหม?อย่างเช่นเมืองB เธอรู้ไหมว่ามันอยู่ไกลจากที่นี่รึเปล่า?”
“ฉันไม่รู้ค่ะ ฉันไม่เคยไป แต่ฉันคิดว่าคงไม่ไกลมากหรอกมั้ง เพราะที่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ”
หลินซินเหยียนนอนแผ่อยู่บนเตียง เธอมั่นใจว่าที่เสี่ยวหลิวพูดเป็นความจริง เด็กผู้หญิงคนนี้ใสซื่อไร้เดียงสา ถามอะไรก็ตอบไม่มีปิดบังเธอเลย และมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าหล่อนรักและเคารพไป๋ยิ่นหนิงมากขนาดไหน
“คุณหลินพักผ่อนเถอะค่ะ หรือว่าถ้าเบื่อ จะให้ฉันไปหยิบหนังสือมาให้ไหมคะ?”เสี่ยวหลิวลองถามขึ้น
เนื่องจากหลินซินเหยียนนอนพักไปแล้ว ตอนนี้จึงไม่ง่วงเลย
“คุณจะอ่านพวกชีวประวัติ นิยายรัก หรือว่าหนังสือประเภทอื่นคะ?”
“เธอเอาดินสอสีดำกับกระดาษ4Kให้ฉันได้ไหม?”อ่านหนังสือก็ถือเป็นการฆ่าเวลาอย่างหนึ่ง แต่เธอคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าได้ใช้เวลานี้ทำสิ่งที่ตนเองชอบ
“คุณจะเอาของพวกนี้ไปทำอะไรคะ”ทันใดนั้นเสี่ยวหลิวก็เข้าใจทันที“คุณชอบวาดรูปหรอคะ?”
หลินซินเหยียนส่ายหน้า“ฉันเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ เพราะงั้นก็เลยอยากได้ของพวกนี้มาใช้ร่างแบบน่ะ”
เสี่ยวหลิวเบิกตาโพลงแล้วมองเธอด้วยความเลื่อมใส“คุณเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์หรอ?ว้าว น่าทึ่งจัง”
หลินซินเหยียนรู้สึกเขินเล็กน้อยเพราะสายตาของหล่อนที่มองมาด้วยความตื่นเต้น ก็แค่แฟชั่นดีไซเนอร์เท่านั้นเอง และมีผลงานที่ได้รับความสำเร็จนิดๆหน่อยๆ ซึ่งนี่มันไม่น่าพูดถึงเลยด้วยซ้ำ
“งั้นรอซักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันไปเอามาให้”เสี่ยวหลิวรู้สึกตื่นเต้นราวกับว่าการที่เป็นแฟชั่นดีไซเนอร์เป็นอาชีพที่น่าทึ่งมาก
ไม่นานเสี่ยวหลิวก็กลับเข้ามาพร้อมกับดินสอและกระดาษที่หลินซินเหยียนต้องการ เธอยื่นมันให้กับหลินซินเหยียนพร้อมกับเลื่อนโต้ะทานข้าวเล็กๆไปไว้ที่เตียง จากนั้นก็พูดจาแปลกๆออกมา“จะได้เห็นของจริงแล้ว”
หือ?
หลินซินเหยียนมองเธออย่างไม่เข้าใจ
ของจริงอะไร?
เสี่ยวหลิวรู้สึกเขินเล็กน้อย เธอถูมือไปมาพลางเอ่ยขึ้นเบาๆ”ตอนยังเด็กฉันก็ฝันว่าอยากเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ว่าฉันไม่มีโอกาสได้เรียน และไม่เคยเห็นแฟชั่นดีไซเนอร์ด้วย หมายถึงแบบตัวเป็นๆ ฉันเคยเห็นแต่ในทีวีค่ะ ”
“ถ้าเกิดว่าเธอชอบ ฉันจะสอนให้เอง”หลินซินเหยียนไม่ได้หวงวิชา
เธอสอนได้แค่พวกทฤษฎีในการเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ ส่วนเรื่องแรงบันดาลใจอะไรนั้นมันขึ้นอยู่กับตัวเอง
“จริงหรอคะ?”เสี่ยวหลิวมองตาเป็นประกาย แต่พอนึกถึงสิ่งที่ไป๋ยิ่นหนิงพูด เธอก็เงียบไป“ช่างมันเถอะค่ะ”
“ทำไมล่ะ?”หลินซินเหยียนไม่เข้าใจ หล่อนก็ดูจะชอบเอามากๆหนิ พอมีโอกาสได้เรียนรู้มันแล้วทำไมถึงไม่ยอมเรียนล่ะ?
“คุณผู้ชายสั่งให้ฉันดูแลคุณ และสั่งว่าห้ามทำให้คุณเหนื่อย ถ้าเขารู้ว่าฉันให้คุณมาสอนฉัน เขาจะต้องโกรธแน่”
“งั้นพวกเราก็แค่ไม่ต้องบอกเขา?”หลินซินเหยียนเสนอความเห็น
“ไม่ได้ค่ะ ไม่ได้”เสี่ยวหลิวโบกมือปฏิเสธพัลวัน“ฉันโกหกคุณผู้ชายไม่ได้”
หลินซินเหยียน“……”
เธอไม่รู้จะอธิบายนิยามของคำว่า‘เชื่อฟัง’ที่เสี่ยวหลิวมีต่อไป๋ยิ่นหนิงยังไงเลย
ต้องถ่อมตัวขนาดนั้นเชียว
การชอบใครซักคนเป็นแบบนี้เองเหรอ?
“เสี่ยวหลิว ถ้าอยากจะดึงดูความสนใจจากใครซักคน อย่างแรกตัวเราเองจะต้องเปล่งประกายออกมาให้ได้ อย่างนี้สิถึงจะสามารถดึงดูดความสนใจจากอีกคนได้”หลินซินเหยียนอดไม่ได้ที่จะช่วยเหลือเด็กผู้หญิงคนนี้
เธอดูออกว่าแท้จริงแล้วเสี่ยวหลิวเป็นคนที่จิตใจดีมากจริงๆ
การที่ไป๋ยิ่นหนิงสั่งให้หล่อนมาดูแลเธอ เขาก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าหล่อนจงรักภักดีต่อเขา
เสี่ยวหลิวรู้ว่าหลินซินเหยียนจะพูดอะไร แต่เธอรู้ฐานะของตัวเองดี ใครๆก็รู้ว่าเธอรักใคร่และชื่นชมไป๋ยิ่นหนิง แต่เธอนั้นไม่อาจจะสารภาพความรู้สึกของเธอออกไปได้ ฐานะแบบนี้จะไปคู่ควรกับคุณผู้ชายได้ยังไง?
เพราะงั้นเธอจึงไม่ขออะไรมาก เธอขอแค่ได้อยู่ดูแลอยู่ข้างกายคุณผู้ชาย แค่นี้เธอก็พอใจมากแล้ว เธอไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีก
“คุณหลินวาดรูปเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจะออกไปอยู่ด้านนอก แล้วถ้ามีอะไรเรียกได้เลยนะคะ”
พูดจบหล่อนก็วิ่งออกไปจากห้องด้วยความรวดเร็ว
เหมือนกับว่ากำลังหนีอะไรบางอย่างยังไงยังงั้นเลย
หลินซินเหยียนถอนหายใจออกมา ถ้าหล่อนไม่พยายามทำตัวให้โดดเด่นออกมา แล้วไป๋ยิ่นหนิงจะมองเห็นหล่อนได้ยังไง?
ฐานะมันสำคัญก็จริง แต่เธอกลับคิดว่าการเป็นคนสำคัญกว่า
หรือว่าในเรื่องของรู้สึกยังต้องมีความเหมาะสมกันแบบกิ่งทองใบหยกอีกนะ?
ต้องเป็นคนรวยเหมือนกันถึงจะรู้สึกดีต่อกันได้หรอ?
นี่มันเรื่องไร้สาระชัดๆ?
หลินซินเหยียนถอนหายใจออกมาให้กับความโง่เขลาของเสี่ยวหลิว ในเมื่อชอบก็ต้องพยายามหน่อยสิ หล่อนมาน้อยเนื้อต่ำใจแล้วทำเพื่อเขาเงียบๆแบบนี้ ไป๋ยิ่นหนิงเขาไม่รู้หรอกนะ
หลินซินเหยียนหยิบดินสอขึ้นมา พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็รวบรวมสมาธิเพื่อข่มอารมณ์ร้อนทีอยู่ในใจไว้
หลังจากที่สูดหายใจเข้าหายใจออกอยู่พักหนึ่ง หลินซินเหยียนก็เริ่มสงบลง ทันใดนั้นใบหน้าของจงจิ่งห้าวก็ปรากฏขึ้นมาในหัว
หัวใจของเธอกระตุกวาบขึ้นมาทันที
ผู้ชายคนนั้นจะกังวลที่เธอหายไปรึเปล่านะ?
เธอไม่รู้
เมื่อปลายดินสอสัมผัสลงบนหน้ากระดาษ เธอก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองจะวาดอะไรลงไป ปลายดินสอร่ายรำอยู่บนหน้ากระดาษด้วยความไหลลื่น
……
“คุณผู้ชาย”
ไป๋ยิ่นหนิงกลับมาจากข้างนอกแล้ว เสี่ยวหลิวรีบเข้าไปรับเสื้อคลุมที่ไป๋ยิ่นหนิงถอดวางไว้ในมือของคนขับรถ
ไป๋ยิ่นหนิงเหลือบมองไปที่ห้องของหลินซินเหยียน แล้วถามขึ้น“วันนี้หล่อนทำอะไรที่บ้านบ้าง?”
เสี่ยวหลิวถูมือไปมา แล้วตอบทุกอย่างออกไปโดยไม่ปิดบังเขา“วันนี้คุณหลินออกมาใช้โทรศัพท์ค่ะ”
ไป๋ยิ่นหนิงเงยหน้าขึ้นมามองเธอ
เสี่ยวหลิวจึงรีบอธิบาย“ฉันไปรินน้ำในห้องครัวแค่แป้บเดียวเอง ไม่ได้ตั้งใจจะให้โอกาสเธอใช้โทรศัพท์นะคะ……”
“แล้วได้คุยไหม?”ไป๋ยิ่นหนิงพูดขัดคำอธิบายที่วกไปวนมาของเธอ
เสี่ยวหลิวคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าออกมา“ไม่ค่ะ ฉันกดวางสายไปก่อน”
“ฉันเข้าใจแล้ว”พูดจบเขาก็ใช้มือหมุนรถเข็นไปที่ห้องหลินซินเหยียน