ขณะที่พูดพนักงานหญิงมองสำรวจหลินซินเหยียนอีกหนึ่งรอบ ชุดเดรสที่เธอใส่ เธอก็ดูไม่ได้สนใจอะไร ในสายตาเธอแล้วก็แค่ชุดกระโปรงหนึ่งตัว เท้าสวมรองเท้าแตะใช้แล้วทิ้งของโรงแรม ที่คอก็มีรอยจูบที่จงจิ่งห้าวทิ้งเอาไว้จากเมื่อคืน พนักงานหญิงสบถหึอย่างเย้ยหยันออกมา“โสเภณี? หนึ่งคืนได้เท่าไร? แล้วต้องใช้เวลากี่คืนถึงสามารถซื้อชุดนี้ได้?”
หลินซินเหยียน“……”
เธอขมวดคิ้ว สีหน้าบึ้งตึง คำพูดนี้ของพนักงานหญิงทำให้เธอรู้สึกโมโหจริงๆ
เธอก็แค่มาซื้อเสื้อตัวเดียวเท่านั้น ทำไมถึงต้องมาเจออะไรแปลกๆแบบนี้ด้วย?
แถมยังถูกคนเรียกว่า‘โสเภณี’อย่างไม่มีเหตุมีผลอีก นี่มันน่าอับอายขายขี้หน้าจริงๆ!
แต่การศึกษาทำให้เธอไม่โหวกเหวกโวยวายด่าทอคนอื่น
“รบกวนคุณรีบปล่อยฉันไปดีกว่านะคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งความแล้วนะ!”เสียงของหลินซินเหยียนเย็นชาสุดๆ ราวกับน้ำแข็งในหน้าหนาว แผ่กระจายออกทำให้รู้สึกเย็นยะเยือก
พนักงานหญิงอึ้งตะลึงไป คิดไม่ถึงว่า‘โสเภณี’คนนี้ ยังจะมีท่าทีแบบนี้อยู่อีก แต่ไม่นานเธอก็นิ่งสงบลง รู้สึกว่าเธอกำลังเสแสร้งแกล้งทำอยู่!
“คิดว่าฉันกลัวคุณแจ้งความ?”พนักงานหญิงเชิดหน้าขึ้น“ที่นี่คือไป๋เฉิง ลูกพี่ลูกน้องของฉันไปฟ้องประธานไป๋ไป๋ยิ่นหนิงแค่ประโยคเดียว ตำรวจก็ต้องไว้หน้าให้กับประธานไป๋กันหมดแล้ว ไม่ต้องพูดพล่ามอะไรแล้ว เอาเงินมา ไม่อย่างนั้นคุณก็อย่าคิดว่าจะหนีไปได้!”
เจอคนที่ไม่มีเหตุไม่มีผลแบบนี้ ยากจะที่รับมือสุดๆ
หลินซินเหยียนโกรธจนตัวสั่น ทำไมถึงมีคนที่ไร้เหตุผลได้ขนาดนี้อยู่บนโลกกันนะ?
“เอาเงินมาสิ”พนักงานหญิงเห็นหลินซินเหยียนไม่ขยับ ยื่นมือออกมาจะแย่งกระเป๋าตังในมือของเธอ ตอนที่เธอกำลังจะแตะกระเป๋าตังของหลินซินเหยียน บอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกในที่สุดก็รู้สึกว่าสถานการณ์มันเริ่มแปลกๆ จึงพุ่งเข้ามา ผลักพนักงานหญิงออกไป
คนที่เสิ่นเผยซวนเลือกมา ฝีมือดีมาก แค่ใช้แรงเบาๆ พนักงานหญิงก็ล้มลงไปแล้ว เธอคิดที่จะคว้าอะไรแถวนั้นเพื่อที่จะพยุงตัวเองเอาไว้โดยสัญชาตญาณ แต่กลับไปคว้าโดนไม้แขวนเสื้อแถวหนึ่ง เกิดเสียงดังวุ่นวายขึ้น เสื้อผ้าทุกชิ้นพากันหล่นกระจายลงมาบนพื้น
พนักงานหญิงก้นล้มลงกระแทกพื้น เจ็บปวดไปหมด เธอกัดฟันกรอดๆพร้อมกับจ้องเขม็งบอดี้การ์ดที่พุ่งเข้ามา“แกเป็นใคร? ถึงได้กล้าเข้ามาทำตัวป่าเถื่อนที่นี่? ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่ไหม?”
พูดพลางเธอก็ล้วงมือถือออกมา โทรไปหาลูกพี่ลูกน้องตัวเอง“พี่ พี่รีบมาที่ร้านเลย มีคนมาพังร้านของพวกเราแล้ว”
บอดี้การ์ดขมวดคิ้ว ล้วงมือถือออกมาโทรไปหาเสิ่นเผยซวน บอกว่าหลินซินเหยียนมีเรื่องแล้ว
เสิ่นเผยซวนหน้าบึ้งตึง เหอรุ่ยเจ๋อโผล่ออกมาอย่างนั้นเหรอ?
เขามองไปยังจงจิ่งห้าวที่กำลังเล่นคีบตุ๊กตากับลูกสาวและลูกชายอยู่ เดินสับเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว“เกิดเรื่องกับพี่สะใภ้ที่ชั้นบนแล้วครับ”
จงจิ่งห้าวหันมามองเขา
“หรือว่าเหอรุ่ยเจ๋ออดทนเอาไว้ไม่ไหวแล้ว ก็เลยโผล่ออกมาแล้วใช่ไหม?”เสิ่นเผยซวนพูดเดา
จงจิ่งห้าวอุ้มลูกสาวมือเดียว มืออีกข้างจูงลูกชาย เดินขึ้นลิฟต์ไป เสิ่นเผยซวนรีบเดินตามไปทันที แล้วก็มีบอดี้การ์ดอีกสองสามคนเดินตามขึ้นไปด้วย
พอพวกเขาขึ้นไปข้างบน ก็เห็นหลินซินเหยียนผ่านกระจกใสของร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง
“หม่ามี๊อยู่ตรงนั้น”หลินลุ่ยซีชี้ไปยังหลินซินเหยียนที่อยู่ภายในกระจกร้าน
“เห็นแล้ว”จงจิ่งห้าวตอบกลับลูกสาว
เสิ่นเผยซวนอึ้งตะลึงไม่น้อย นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
พอเข้าไปในร้าน ก็พบว่าภายในร้านเสื้อผ้าเละวุ่นวายไปหมด
“หม่ามี๊”หลินซีเฉินวิ่งเข้าไปกอดขาของหลินซินเหยีนน “หม่ามี๊มาซื้อเสื้อแค่ตัวเดียวทำไมถึงช้าขนาดนี้ ใช่แล้ว แล้วทำไมที่นี่ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?”
“ผมเห็นเธอฉุดกระชากอยู่กับคุณนาย คิดจงลงมือ เลยผลักไปอย่างแรง จนเธอล้มลงไป เสื้อผ้าก็เลยพากันหล่นลงไปกองบนพื้นด้วยครับ”
บอดี้การ์ดเข้ามาพูดอธิบาย เขายืนอยู่ข้างนอก พนักงานหญิงเข้าไปแย่งกระเป๋าตังจากมือของหลินซินเหยียน จากมุมที่เขามอง เหมือนกับกำลังจะลงมือ เขาจึงพุ่งเข้าไป
จงจิ่งห้าวมองต่ำลง ใบหน้าดูคมอย่างเห็นได้ชัด เขามองมายังหลินซินเหยียนพร้อมกับถามขึ้น“ได้รับบาดเจ็บไหม?”
หลินซินเหยียนส่ายหัวบอกไม่เป็นอะไร
พนักงานหญิงเริ่มรู้สึกแปลกๆ ทำไมคนเยอะขนาดนี้ เมื่อตะกี้คนคนนี้เรียกเธอว่าคุณนาย?
แต่ว่าคนที่มีอำนาจมากที่สุดในไป๋เฉิงก็คือไป๋ยิ่นหนิง เธอไม่เคยเจอคนประเภทนี้มาก่อน
พอคิดแล้วเธอก็มีความกล้าขึ้นมาอีกครั้ง“พวกคุณอย่าทำให้คนอื่นตกใจกลัวสิ ฉันจะบอกพวกคุณให้นะ ฉันไม่กลัวพวกคุณหรอก พวกคุณเป็นคนทำให้เสื้อผ้าพวกนี้ตกลงบนพื้น เลอะสกปรกไปหมด พวกคุณต้องชดใช้!”
หลินซินเหยียนรู้ว่าเธอเป็นพวกไม่มีเหตุมีผลตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ตอนนี้ก็เลยไม่อยากจะไปต่อล้อต่อเถียงกับเธออีก เสียเวลา“คิดมาแล้วกันว่าราคาเท่าไร ฉันจะให้คุณเอง”
พนักงานหญิงเบะปาก ปากคอเราะราย“ที่พาคนเยอะแยะมากมายขนาดนี้มา ก็เพื่อมาข่มขู่ให้กลัวอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ทุกอย่างในไป๋เฉิงเป็นของสกุลไป๋ทั้งหมด กะอิแค่โสเภณีคนเดียว อย่าคิดว่าตัวเองมีค่าอะไรมากมายนักเลย”
บรรยากาศเริ่มอึดอัด สายตาของพวกบอดี้การ์ดและเสิ่นเผยซวนต่างหันมองไปยังจงจิ่งห้าว ผู้หญิงคนนี้พูดจาขวานผ่าซาก พวกเขาเป็นคนหยาบคายก็เลยฟังออกว่าเธอจะสื่ออะไร
จงจิ่งห้าวม่านตาดำมืด พูดขึ้นเหมือนจะสงบนิ่งแต่ว่าไม่สงบนิ่งเลยสักนิด“คุณพูดประโยคเมื่อกี้มาอีกรอบสิ”
หลินลุ่ยซีรู้สึกได้ถึงความโกรธของพ่อ กอดเขาเอาไว้ หน้ามุดเข้าไปที่ไหล่ของเขา แม้แต่ลมหายใจก็เบาลงไปไม่น้อย
มือที่กำลังคิดเครื่องคิดเลขของพนักงานหญิงก็สั่นสะดุ้งขึ้นมาทันที รู้สึกน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก ทำให้เส้นประสาทเธอหดตัว เธอมองผู้ชายตรงหน้า ดูท่าทางเหมือนจะนิ่งสงบแต่ไม่ได้นิ่งสงบ เธอสั่นอย่างควบคุมไว้ไม่อยู่“พวก พวกคุณอย่ามาขู่ให้ฉันกลัวนะ ลูกพี่ลูกน้องของฉันกับประธานไป๋เป็นเพื่อนกัน พวกคุณลองกล้ามาแตะตัวฉันดูสิ?”
หลินซินเหยียนจูงลูกชายมา ยื่นมือไปกุมมือของเขาเอาไว้“ช่างเถอะ”
พูดกับคนประเภทนี้ไม่รู้เรื่องหรอก
จงจิ่งห้าวก้มมองต่ำลงเล็กน้อย มองเธอ เธอไม่ใช่คนที่โหวกเหวกโวยวายโดยที่ไม่มีเหตุผล แต่พนักงานหญิงคนนี้ดูท่าไม่ใช่คนที่น่าจะคุยกันรู้เรื่องง่ายๆ พูดโอ้อวดแบ็คหลังของตัวเองไปทั่ว ตอนที่เขาไม่อยู่ ไม่รู้ว่าข่มเหงหลินซินเหยียนไปเท่าไรแล้ว
มุมปากของเขายกขึ้น“คนของผม มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่รังแกได้”
ความหมายของเขาชัดเจนมาก เรื่องนี้ เขาไม่ยอมให้จบแบบนี้แน่นอน!
แบ็คหลัง?
หน้าของเขายิ่งนิ่งขรึมขึ้นมาเรื่อยๆ
“จัดการพังที่นี่ซะ”เขาออกคำสั่งอย่างหมดความอดทน“คุณมีแบ็คที่อยู่เบื้องหลังอะไร เรียกออกมาให้หมด ผมจะรอ”
พูดจบ เขาก็จูงหลินซินเหยียนออกไปนอกร้าน
ตามมาด้วยบอดี้การ์ดสองสามคน เข้ามาในร้าน พนักงานหญิงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ยืนคิดเงินอยู่ตรงเคาน์เตอร์ ตกใจจนร้องเรียกออกมา
เสิ่นเผยซวนขมวดคิ้วเล็กน้อย ครั้งแรกที่เห็นจงจิ่งห้าวโกรธกับเรื่องอะไรแบบนี้ แต่พนักงานหญิงคนนั้นก็ขาดการอบรมสั่งสอนจริงๆ โสเภณี? อย่าว่าแต่จงจิ่งห้าวโกรธเลย
เป็นเขา เขาก็โกรธ
ไม่ว่าผู้ชายคนไหน ก็ล้วนแต่รับไม่ได้กับการที่ผู้หญิงของตัวเองถูกเรียกว่าโสเภณีหรอก
หลินซินเหยียนอยากจะพูดโน้มน้าว ว่าแบบนี้ไม่ดี แต่กลับถูกหลินซีเฉินดึงมือไว้ ไม่ให้เธอพูด
“ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุก็ต้องมีผล คนแบบนี้ ถ้าพวกเราไม่สั่งสอนเธอ ในอนาคตก็อาจจะมีคนอื่นสั่งสอนเธออยู่ดี ไม่แน่ว่าอาจจะสั่งสอนหนักกว่าพวกเราด้วยซ้ำ เธอไม่เข้าใจว่าต้องปฏิบัติตัวยังไง พวกเราก็ต้องสั่งสอนเธอนะครับ”
จงจิ่งห้าวก้มหน้ามองลูกชาย ยื่นมือออกไปลูบหัวเขา“ใช่แล้วลูกพ่อ”
หลินซีเฉินหันตัวหลบมือของเขา จงจิ่งห้าวก็ไม่ได้โกรธอะไร แต่พูดกับลูกชาย“พวกเราไม่รังแกคนอื่น แต่ก็ไม่ยอมถูกคนอื่นรังแกเหมือนกัน บางอย่างทนได้ แต่บางอย่างก็ทนไม่ได้เหมือนกัน สำหรับคนที่พูดเยาะเย้ยดูถูกคนอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่าไปยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด”
“เขายังเด็ก……”
“เขาเป็นลูกชายของผม”จงจิ่งห้าวพูดตัดบทของหลินซินเหยียน“สังคมมันโหดร้าย ผู้อ่อนแอย่อมถูกผู้ที่เข้มแข็งกว่ารังแกเสมอ”
ในอนาคตเขาก็ต้องยกบริษัทให้กับเขา ถ้าขี้ขลาดไม่มีความกล้าหาญ ก็จะถูกคนโกงกินไปจนสิ้นเนื้อประดาตัวได้
เขาจบมหาวิทยาลัยมาก็รับช่วงต่อบริษัท จะต้องมีคนมากมายที่ไม่ยอมเขา คิดวางแผนอุบายหลอกล่อเขาอยู่แล้ว
ถ้าไม่มีแผนการวิธีการในการรับมือ แล้วในอนาคตจะยืนหยัดอยู่ในบริษัทได้ยังไง
เขาเอามือไปดันที่หลังคอของหลินซีเฉิน ให้เขามอง พร้อมกับถามเขา“กลัวไหม?”
ถึงยังไงก็อายุแค่ห้าขวบ มองผู้ชายที่สูงใหญ่พวกนั้น กำลังพังถล่มร้านอย่างบ้าคลั่งราวกับ‘พวกนักเลงอันธพาล’ ก็รู้สึกหวาดกลัวจนหดตัวถอยออกไปอยู่ไม่น้อย
“ลูกบอกว่าลูกเป็นผู้ชายอกสามศอก ลูกเป็นแบบนี้แล้วจะปกป้องหม่ามี๊ยังไง?”
“ผมไม่ได้บอกว่าผมกลัวสักหน่อย!”หลินซีเฉินเชิดหน้าขึ้น แสดงออกว่าตัวเองไม่ได้กลัว
ในเวลานี้เอง ลูกพี่ลูกน้องของพนักงานหญิงคนนั้นก็มาถึงที่ร้านพอดี
ทุกสิ่งทุกอย่างในร้านพังทลายไปหมด แม้แต่ฝ้าเพดาน ก็ถูกแทงจนเป็นรูใหญ่
“พี่ พี่มาแล้ว”พนักงานหญิงร้องตะโกน ลุกขึ้นออกมาจากมุมๆหนึ่ง แล้วกระโจนเข้ามาอยู่ตรงหน้าเธอ“พี่มาแล้ว คนพวกนี้พังร้านพี่จนหมดแล้ว”
ผู้หญิงคนนั้นเด็กมาก หน้าตาก็สวยอยู่ พนักงานหญิงคนนั้นเรียกเธอว่าพี่ แต่เธอกลับดูเด็กกว่าพนักงานหญิงคนนั้นตั้งเยอะ เธอสีหน้าบึ้งตึง“ทำไมถึงเป็นแบบนี้?”
“เธอซื้อเสื้อแล้วไม่จ่ายเงิน แล้วก็ไปตามคนมาพังร้านของพวกเรา พี่ พี่จะปล่อยพวกเขาไปไม่ได้นะ!”พนักงานหญิงชี้ไปที่หลินซินเหยียน พูดฟ้องพลางร้องห่มร้องไห้ออกมา
ในตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นหันหน้ามามองหลินซินเหยียน