เมื่อเห็นว่าเป็นจงจิ่งห้าว หลินซีเฉิน ก็ตื่นเต้นจนปั่นป่วนไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าตัวเขาได้ทำเรื่อง ‘ละอายแก่ใจ’เอาไว้หรือเปล่า
” คุณมาได้ยังไง “
จงจิ่งห้าวสาวเท้าเข้ามา ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในสิ่งที่เด็กน้อยถาม แล้วยังมานั่งลงข้างเตียงของเด็กน้อยอีก หลินซีเฉินอยากจะขยับตัวนี้แต่ก็ถูกคว้าจงจิ่งห้าวไหล่เอาไว้ ” ไม่ชอบฉันขนาดนั้นเลยเหรอ “
” ไม่ใช่นะ ” หลินซีเฉินปฏิเสธทันควัน
” เธอทำอะไรฉันรู้…. “
” คุณพูดอะไรผมฟังไม่รู้เรื่อง! “
จงจิ่งห้าวยังไม่ทันได้พูดจบ ก็ถูกหลินซีเฉินพูดตัดบทออกมาอย่างรีบร้อน
มือที่วางอยู่บนเตียงนั้น ก็กำผ้าปูที่นอนแน่น ผ้าปูที่นอนที่ขาวสะอาดนั้นเปลี่ยนสภาพกลายเป็นยับยู่ยี่แทน
เขาอุตส่าห์ทำลับๆ แล้ว ทำไมจงจิ่งห้าวถึงยังรู้เรื่องนี้อีก
จงจิ่งห้าวลูบหัวเด็กน้อย ” เธอหลอกใช้ไป๋ยิ่นหนิงมาแย่งหม่ามี๊กับฉัน ถูกไหม “
หลินซีเฉินเบิกตาโพลง ใบหน้าน้อยๆ นั้นยู่ยี่จนแทบจะรวมกัน หูตาจมูกปากแทบจะรวมกันเป็นก้อนเดียว ผู้ชายคนนี้รู้ได้ยังไง ว่าเขาหลอกใช้ไป๋ยิ่นหนิงเพื่อไปแย่งหม่ามี๊
” ก็เธอคือลูกชายของฉัน ” จงจิ่งห้าวชี้แนะ
เขาได้ยินเรื่องนี้ออกมาจากปากของไป๋ยิ่นหนิง เกี่ยวกับตอนที่หลินซินเหยียนคลอดเด็กๆ พวกเขาก็อยู่ในสถานะหย่าร้าง คนที่รู้เรื่องนี้ก็คงจะเป็นหลินซีเฉินที่เผยความลับให้แก่ไป๋ยิ่นหนิง
เรื่องพวกนี้หลินซินเหยียนคงไม่พูดเองกับตัวหรอก อีกอย่างคนที่รู้ก็มีไม่มากนัก แม้แต่เสิ่นเผยซวนกับซูจ้านก็คงไม่รู้เรื่องราวซับซ้อนพวกนี้ทั้งหมด
หลินซีเฉินเม้มปากแน่นไม่พูดอะไรออกมา ความเงียบคือการยอมรับแบบโจ่งแจ้ง
เด็กน้อยซ่อนมันจากทุกคนได้ แต่ซ่อนมันจางจงจิ่งห้าวไม่ได้
หรืออาจจะเป็นเพราะพวกเขาสายเลือดเดียวกัน ความคิดก็คงจะอยู่ในระดับเดียวกัน ดังนั้นก็ไม่ยากที่อีกฝ่ายพอจะเดาออกว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร
” คุณกลัวผมเหรอ ” หลินซีเฉินก้มหน้าลง แกะนิ้วมือเล่น
จงจิ่งห้าวเหลือบไปมองการกระทำของเด็กน้อย ก่อนที่มุมปากจะยิ้มขึ้นมา ” ฉันไม่โกรธหรอก ฉันชื่นใจนะ ที่เธอรู้จักใช้คนอื่นทำเพื่อเป้าหมายของตัวเอง นี่เป็นเรื่องที่ดีมากแล้วล่ะ “
หลินซีเฉินตกใจจนคางแทบจะหลุดลงไปอยู่บนพื้น อะไรนะ
เด็กน้อยใช้สายตาที่ไม่รู้จะพูดยังไงมองไปยังพ่อของตัวเอง
” การไปถึงจุดมุ่งหมายอย่างสมบูรณ์แบบ ก็คือเธอไม่จำเป็นต้องเข้าไปเปลืองแรงอะไรกับเรื่องนี้ แต่ก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ถึงสิ่งที่เธอทำจะดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่เพราะว่าถูกฉันจับได้ แต่ยังไงเธอก็มีแนวคิดแบบนี้ก็ถือว่าไม่โง่จนเกินไป “
ขณะที่จงจิ่งห้าวพูดประโยคนี้ออกมา เขาดูสุขุม แต่ถ้ามองสายตากลับหางคิ้วของเขาโดยละเอียดแล้ว ก็จะพบว่ามันเต็มไปด้วยสีหน้าที่แสดงออกมาในเชิงยิ้มแย้ม
หลินซีเฉินเป็นแค่เด็กอายุห้าขวบ คิดเรื่องพวกนี้ออกมาได้ แล้วออกมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ก็เก่งมากแล้ว
สาเหตุที่เขาไม่พูดชมออกไป ก็เป็นเพราะว่าเขารู้ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ยังไม่พอ
ถ้าชมเด็กน้อยออกไปอย่างชัดเจน ก็จะทำให้อวดดีทะนงตัวในภายหลังได้
หลินซีเฉินถอนหายใจออกมาหนึ่งที เด็กน้อยไม่ยอมที่จงจิ่งห้าววิจารณ์ตัวเองแบบนี้ คนที่รู้จักเขามา ก็บอกทั้งนั้นว่าเขาเป็นคนฉลาดและน่ารัก แล้วก็ชอบเขามากๆ ด้วย แต่ทำไมพอหลุดออกมาจากปากคนคนนี้ถึงกลายเป็นไม่โง่มากเท่าไหร่เสียอย่างงั้น
ไม่โง่เท่าไหร่เนี่ยนะ
หรือจะหมายความว่าในความโง่นั้นยังพอมีความฉลาดอยู่บ้างงั้นสิ
เด็กน้อยไม่ยอมจำนนต่อคำวิจารณ์ของจงจิ่งห้าว ” ผมไม่โง่อย่างแน่นอน ไม่งั้นเราก็พนันกันไหมล่ะ “
จงจิ่งห้าวพยักหน้า เริ่มรู้สึกสนใจในข้อเสนอของลูกชาย อยากจะรู้ว่าเด็กน้อยจะพูดอะไรออกมาได้อีก ” พนันอะไรล่ะ “
” พนันว่าคุณต้องจีบหม่ามี๊ของผมกลับมาไม่ได้อย่างแน่นอน ” หลินซีเฉินเงยหน้าขึ้นมา ก็โดนคำว่า’ไม่ค่อยโง่เท่าไหร่’ ของจงจิ่งห้าวยั่วโมโหเข้าให้แล้ว
เหอะ เขาสาบานได้ เขาจะไม่ยอมให้คนคนนี้จีบหม่ามี๊ของเขากลับมาได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน
ผู้ชายคนนี้มันอวดดีเกินไปแล้ว!
จงจิ่งห้าวเม้มปากแน่น เขาเงียบไปสักพักก่อนจะเปิดปากพูด ” เธออยากให้ไอ้คนพิการนั่นรักกับหม่ามี๊ของเธออย่างนั้นหรอ “
หลินซีเฉินปากแข็ง ” ถึงตัวจะพิการ แต่ก็ยังดีกว่าใจพิการนั่นแหละ “
จงจิ่งห้าวเงียบจนไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมา
นี่จะหมายความว่าใจของเขานั้นพิการเหรอ
” เจ้าลูกชาย…. “
” ผมง่วงแล้ว ” หลินซีเฉินไล่แขก เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยไม่ยอมฟังคำนี้เขาจะพูดอีกแล้ว
เพื่อขัดขวางไม่ให้จงจิ่งห้าวพูดต่อ หลินซีเฉิน ก็เข้าไปคุดคู้อยู่ในผ้าห่ม คลุมโปง แล้วหลับตา แสดงท่าทีปลอมๆ ออกมาว่าเด็กน้อยกำลังหลับอยู่
จงจิ่งห้าวไม่เคยรู้สึกว่าเขาไม่มีเรี่ยวแรงจะสู้กับเรื่องไหนมาก่อน จะมีเพียงแค่หลินซินเหยียนกับหลินซีเฉินเท่านั้น ที่ทำให้เขาไม่รู้จะต้องทำยังไง สักวิธีเดียวก็ไม่มี
” ฉันรู้ว่าเธอยังไม่หลับ ไม่ว่าเธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ตอนแรกหย่ากับหม่ามี๊ของเธอไป มันเป็นเรื่องที่ฉันไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นฉันไม่รู้….ว่าเธอท้อง “
เขาไม่ใช่ไม่รู้ว่าเธอท้อง แต่ไม่รู้ต่างหากว่าที่เธอท้องคือลูกของตัวเอง
แต่เขาไม่ควรพูดแบบนั้น
ท้องก่อนแต่ง ถ้าพูดแบบนั้นกับลูก คงจะไม่ดีกับหลินซินเหยียนเท่าไหร่นัก
” คุณไม่รู้ว่ามีพวกเราอยู่ นี่ไม่ใช่ข้ออ้าง คุณขอเธอแต่งงาน คุณก็ต้องรับผิดชอบสิ มีสิทธิ์อะไรมาทิ้งเธอ มีสิทธิ์อะไรมาขอเธอหย่า ถ้าคุณไม่ได้ชอบเธอ แล้วคุณจะแต่งงานกับเธอทำไมตั้งแต่แรก ทำไม ” หลินซีเฉินเดือดปุดๆ จนพูดความในใจออกมาจนได้ ” ผมเกลียดคนแบบคุณที่สุดเลย หม่ามี๊สอนผมมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่ง จะต้องแบกรับหน้าที่เอาไว้ ต้องมีความรับผิดชอบ และอย่าโกหก แต่ว่าคุณ ทำออกมาได้ยังไง “
คำอธิบายที่จะพูดออกมามีเป็นพันเป็นหมื่นประโยค แต่จงจิ่งห้าวไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ
ถ้าบอกไป ว่าเรื่องการแต่งงานของเขากับหลินซินเหยียนเป็นเพียงเพราะการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจล่ะจะดีไหม
ถ้าบอกไป ว่าเด็กน้อยกับหลินลุ่ยซี มีมาก่อนที่หลินซินเหยียนแต่งงานจะดีไหม
ถ้าเป็นอย่างงั้น มันจะไม่เป็นการทำร้ายความรู้สึกของลูกๆ เหรอ
จงจิ่งห้าวห่มผ้าให้เด็กน้อย ” อากาศเย็นแล้ว กลางคืนก็ห่มผ้าดีๆ ด้วยล่ะ “
หลินซีเฉินโกรธจนพลิกตัวหันหลังใส่เขา แสดงออกถึงความไม่พอใจของตัวเอง
จงจิ่งห้าวถอนหายใจ ก่อนจะเอาผ้าห่มลงบนส่วนหลังของเด็กชายที่โผล่ออกมา ” ถ้าไม่อยากให้หม่ามี๊ออกมาแล้วเห็นว่าเธอไม่สบาย ก็ห่มผ้าซะ “
หลินซีเฉินตอนแรกที่ไม่ยอม ก็ไม่ได้เอาผ้าห่มออก แต่กลับห่มผ้าแต่โดยดี
จงจิ่งห้าวจี้ไปตรงจุดอ่อนของเขาเสียแล้ว
เด็กน้อยไม่อยากให้หม่ามี๊ต้องเป็นห่วงเขา
ดังนั้นก็เลยยอมห่มผ้าอย่างว่าง่าย
สามวันต่อมา
ขณะที่หลินซินเหยียนได้ลองลงมือทำผ้าไหมกวางตุ้งตามขั้นตอนการทำวัสดุด้วยตัวเองอยู่นั้น ก็ถูกผู้อาวุโสบอกให้หยุดทำ ” เธอตามฉันมา “
” ไปไหนเหรอคะ ” แรงในการทำงานของหลินซินเหยียนก็เริ่มมา มันเธอจะเริ่มรู้ขั้นตอนสำคัญของวิธีการทำ ผ้าไหมกวางตุ้งแล้ว เมื่อถึงจุดที่พีคที่สุด มันทำให้เธอไม่อยากไปจากตรงนี้
” เธอมากับฉันเธอก็รู้แล้ว ” ผู้อาวุโสไม่ได้บอกชัดเจนว่าจะไปทำอะไร แล้วก็ไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม แต่เมื่อพูดจบก็เดินออกจากประตูบ้านไป
หลินซินเหยียนก็นึกขึ้นมาได้ว่า เขาเคยบอกเธอเรื่องที่น้องสาวของเขาจะกลับมา ตอนนี้สติสตางค์เธอก็กลับมาแล้ว เธอรีบวางมือลงจากงานที่ทำอยู่ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วรีบตามผู้อาวุโสออกไป
เรือนด้านหลังมีประตูที่สามารถออกไปได้ พื้นที่สูงไม่เสมอกันนัก กับถนนโคลนที่แสนจะขรุขระเส้นหนึ่ง ที่มีหญ้าและเถาวัลย์ต่างๆ ผุดขึ้นมาพันเท้าบ้างในบางจังหวะที่พวกเขาก้าวเดิน แต่ก็ยังดีที่ถนนเส้นนี้ไม่ได้ยาวนัก ประมาณสิบนาทีกว่าๆ พวกเขาก็มาถึงถนนใหญ่ ถึงแม้จะเป็นถนนใหญ่แต่มันก็เป็นแค่ถนนที่เต็มไปด้วยน้ำโคลนที่ไม่กว้างใหญ่มากเท่าไหร่ หากเทียบกับถนนคอนกรีตในเมืองก็คงสู้ไม่ได้
ที่ทำให้หลินซินเหยียนรู้สึกมึนงงก็คือ เธอมาที่นี่ก็สิบกว่าวันแล้ว เรือนไม้ทั่วทุกที่ก็ดูเรียบง่าย แต่พอพวกเขามาถึงริมถนนนั้น ก็เจอเข้ากับรถสีดำคันหนึ่ง ทั้งคันมีสีมันวาว มีเส้นสะท้อนจากแสงเงาที่ดูลื่นไหลแต่กลับมีความเด่นสง่าของโรลส์-รอยซ์
เธอไม่วายจำต้องหันหน้าไปมองผู้อาวุโส ” อาจารย์คะนี่คือรถของอาจารย์เหรอคะ “
ผู้อาวุโสส่ายหน้า ” ไม่ใช่หรอก ของน้องสาวฉัน เธอกำลังรอพวกเราอยู่ ไปกันเถอะ พวกเราขึ้นรถกัน “
ใจของหลินซินเหยียนเต้นตึกตัก แต่ว่าเพื่อค้นหาความจริง เธอเลยเอี้ยวตัวแล้วขึ้นรถไป
รถเคลื่อนตัวไปด้วยความเร็วมาก และมุ่งไปตามเส้นทางของถนนที่เต็มไปด้วยโคลนและไม่กว้างมากนัก รถเริ่มขับเข้าไปเรื่อยๆ แมกไม้ในคราวนี้ช่างมีความหลากหลาย ถึงแม้จะเริ่มเข้าหน้าหนาวแล้ว แต่ก็ยังมีพืชหลายชนิดที่แม้ฤดูกาลจะเปลี่ยนแต่ก็ยังคงเขียวชะอุ่ม กิ่งและใบที่เจริญงอกงาม เติบโตจนปกคลุมแสงแดด ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ก็ยังรู้สึกว่าอากาศในนั้นเริ่มหนาวเย็น
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงรถก็จอดลง
ด้านหน้าเป็นพื้นที่ที่ถูกสร้างโดยบ้านหลังใหญ่อันกว้างขวาง ตัวบ้านดูมีเอกลักษณ์และก็เป็นเรือนสี่ประสานที่สวยงามทันสมัยเลยทีเดียว
ช่างต่างกับบ้านไม้ราวฟ้ากับเหว
หลินซินเหยียนลงจากรถ ก่อนจะยืนอยู่หน้าประตู แล้วแหงนหน้ามอง ” ที่นี่คือที่ไหนเหรอคะ “
ผู้อาวุโสยืนอยู่หน้าประตู ก่อนจะเอามือไขว้หลัง แล้วมองไปยังตัวบ้าน ” บ้านใหญ่ของตระกูลเฉิงน่ะ “
” เฉิงเหรอ ” หลินซินเหยียนเรียกเขาว่าอาจารย์มาโดยตลอด แม้แต่ชื่อของเขาเธอก็ไม่รู้
” อื้ม ฉันชื่อ เฉิงยู่เวิน ส่วนน้องสาวของฉันชื่อ เฉิงยู่ซิ่ว “
ตู้ม
เวลานี้สมองของหลินซินเหยียนได้ระเบิดภายในพริบตา
ยู่ซิ่วเหรอ เฉิงยู่ซิ่วเนี่ยนะ
ใช่คนเดียวกันหรือเปล่า
หากเป็นคนเดียวกัน ถ้างั้นที่นี่ก็ซ่อนความลับอะไรเอาไว้ยังงั้นน่ะเหรอ
” ตามฉันเข้ามาเถอะ อยากให้เธอรอนาน “
เฉิงยู่เวิน เดินนำเข้าไปก่อน เมื่อสติของหลินซินเหยียนกลับเข้ามาแล้วก็รีบเดินตามเข้าไป