หิมะฤดูหนาวครั้งแรกในที่สุดก็ได้มาถึงช่วงสิ้นปี
หิมะก็ได้กลบสิ่งที่อยู่บนพื้นดินทั้งหมดในคืนเดียว ไม่ว่าที่ไหนก็ขาวไปหมด ต้นไม้ บ้าน มองดูแล้วก็เหมือนว่าได้ทำจากหิมะ
เช้าๆ เหวินเสียนก็ได้สวมเสื้อให้เด็กทารกห่อไว้อย่างหนา มีแค่ตากับจมูกที่โผล่ออกมา เธอกลัวว่าไปข้างนอกแล้วหนาว คุณนายเหวินเข้ามาอยากจะมาดูลูกสาวกับหลานชาย เห็นว่าเหวินเสียนได้สวมใส่เสร็จ ก็ได้ขมวดคิ้ว “หนูตื่นเช้าขนาดนี้ทำไม? หนาวขนาดนี้ ทำไมไม่นอนอีกหน่อย?”
“หนูอยากจะกลับไปก่อนมื้อเช้าค่ะ ในบ้านมีแค่ฉีเฟิงคนเดียวหนูไม่วางใจ” เหวินเสียนก็ได้เอานมผงเด็กทารก ขวดนมใส่ลงไปในกระเป๋า สะพายขึ้นหลัง จากนั้นก็ได้อุ้มเด็กทารกขึ้น
“ฉีเฟิงไม่ได้เป็นเด็กแล้ว หนูไม่อยู่เขาก็ไม่กินข้าวแล้ว?” คุณนายเหวินกลัวว่าลูกสาวจะหนาว อากาศข้างนอกเย็น
เหวินเสียนเงยหน้ามองแม่ไม่กี่วิ พูด “แม่ค่ะ หนูไปก่อนนะ”
เธอได้ให้คนขับรถรอเธอข้างนอกแล้ว คุณนายเหวินอยากจะให้เธออยู่ ไม่ต้องรีบกลับ คิดๆ ดูตอนนี้เธอแต่งงานแล้ว สามีภรรยารักกันเป็นเรื่องดี ก็ไม่ได้รั้งไว้ แต่เป็นการสวมเสื้อขนสัตว์ไปส่งเธอ
ส่งคนขึ้นรถเสร็จเธอก็ได้หันกลับเข้าไปในบ้าน ตอนที่เธอถอดเสื้อนั้นเหวินชิงก็ได้ลุกขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะคนที่เป็นทหารทนกับความหนาวได้กว่าปกติหรือเปล่า เขายังสวมชุดนอนฤดูใบไม้ร่วงบางๆ เขามองแม่ “เช้าขนาดนี้ไปไหนมาครับ?”
เห็นว่าเธอแขวนเสื้อ เห็นได้ชัดว่าได้กลับมาจากข้างนอก
ใบหน้าของคุณนายเหวินมีรอยยิ้ม “ฉันไปส่งน้องแกกลับไปมา”
สีหน้าของเหวินชิงก็ได้นิ่ง “เธอทำไมกลับไปเช้าขนาดนี้?”
“บอกว่าเป็นห่วงฉีเฟิง ถึงแม้ว่าตอนแต่งงานทั้งสองไม่ได้มีความรู้สึกอะไร แต่ว่าตอนนี้ดูแล้วก็ดีหน่อย แกดูน้องแก รู้จักที่จะเป็นห่วงคนแล้ว พึ่งไม่กลับไปคืนเดียว เช้าขนาดนี้ อากาศหนาวขนาดนี้ก็จะกลับไป”
เหวินชิงไม่ได้พูด ก็ได้เดินไปที่โต๊ะเทน้ำแก้วหนึ่ง ในใจกลับคิด เรื่องเหวินเสียนกับจงฉีเฟิง
ตอนแรกเหวินจิ่นก็ได้พอใจในความสามารถของจงฉีเฟิง ไม่พูดไม่ได้เลยว่า ในรุ่นที่สองของตระกูลเศรษฐีอย่างเขา เขาเป็นคนที่ไม่เหมือนคนอื่นที่สุด เวลาไม่กี่ปีสั้นๆ ก็ได้บริหารตระกูลคนเดียว ยังสามารถบริหารได้อย่างดี
เขาก็ชื่นชอบมาก ผู้ชายแบบนี้ สามารถที่จะอยู่กับน้องสาว เป็นโชคดีของน้องสาว
เขาไม่มีทางที่จะให้คนมาทำลาย การแต่งงานนี้
เขาได้วางแก้วชาลง “ผมไม่ทานข้าวที่บ้านนะครับ”
พูดจบก็ได้กลับไปที่ห้อง คุณนายเหวินไม่ค่อยดีใจมาก “แค่เวลาทานข้าวก็ไม่มีเหรอ?”
“ผมมีฝึกซ้อม” เหวินชิงก็ได้เปิดประตูเข้าห้อง ปิดกั้นทุกอย่างไว้ข้างนอก
หิมะตกทั้งคืน ถนนลื่นเป็นพิเศษ
เหวินเสียนมองไปนอกหน้าต่าง มองดูวิวที่สวยที่มีเฉพาะฤดูหนาว สีขาวราวกับอาณาจักรน้ำแข็งและหิมะ แต่ว่าเธอไม่มีอารมณ์ชื่นชม ในใจรู้สึกไม่เย็นวาบ เหมือนว่าหิมะที่อยู่ข้างนอก ไม่มีความอุ่นที่สามารถทำให้อุ่น
เอี๊ยด…
เสียงล้อที่เสียดสีกับพื้น ต่อด้วยเสียงตะโกนของคนขับ “แย่แล้วครับ ถนนลื่น เบรกไม่อยู่……”
เขายังพูดไม่จบ รถก็ได้ลื่นออกจากถนน คนขับรถรู้ว่าถนนมันลื่นขับไม่เร็ว แต่ว่าถนนส่วนนี้ไม่ได้มีรั้วกั้น รถก็ได้ไหลลงไปตามถนน
เหวินเสียนไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน ก็ได้ตกใจจนเหงื่อแตก เธอไม่รู้ว่าควรทำยังไง ทำได้แค่กอดทารกที่อยู่ในอ้อมกอดแน่น
ดีที่รถได้ไหลไปครึ่งหนึ่ง ได้มีต้นไม้ต้นหนึ่งขวางไว้ ปลายทั้งสองห้อยอยู่ ข้างล่างก็เป็นทางลาดชัน
“คุณหญิงอย่าขยับครับ” คนขับรถก็ได้มีสีหน้าที่ซีด เมื่อกี้ก็ได้ตกใจไม่น้อย
รถก็ได้โยกไปโยกมา เป็นไปได้ว่าจะไหลลงไปเพราะความไม่สมดุลปลายทั้งสองข้างทุกเวลา
เป็นอยู่นานเหวินเสียนไม่ได้พูดอะไร ไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจแรงๆ กลัวว่ารถจะไหลลงไป
เธอก็ได้กลั้นหายใจ
“เร็ว รีบโทรให้ฉีเฟิง”
รถจะไหลลงไปได้ตลอดเวลา เธอก็ร้อนรนจนน่ากลัว อีกอย่างในอ้อมอกเธอยังมีเด็กทารกที่อายุไม่ถึงเดือน นี่อันตรายเกินไป
คนขับคนตอบครับ เขาก็ได้รีบเอาโทรศัพท์ออกมา ดีที่เสียงรอสายดังไม่กี่ทีก็ได้มีคนรับ
“ไม่ดีแล้วครับ ถนนลื่นเกินไปรถของพวกเรา ได้ไหลลงถนน……”
“อุ้แว้!”
คนขับรถยังไม่ทันพูดจบ อยู่ๆ เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของเหวินเสียนก็ได้ร้องขึ้น เธอก็คิดว่าเขาได้รับบาดเจ็บที่ไหน ก็ได้รีบดูเขา แต่แค่การกระทำแค่เพียงเล็กน้อยแค่นี้ก็ได้ทำให้รถเสียสมดุล
จากนั้นก็ต่อด้วยเสียงร้องของเหวินเสียนและก็เสียงร้องไห้ของเด็ก รถก็ได้ไหลลงไป โครงเครงตกไปที่พื้นหิมะสีขาวที่หนึ่ง
รถกลิ้งลงทางลาดชัน
ตอนนั้นคนขับรถก็ได้สลบไปแล้ว เหวินเสียนก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ขาของเธอเจ็บมาก เวลานี้ไม่มีเวลาสนใจ แต่เป็นไปดูเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้
ตอนที่รถกลิ้งลงมานั้น เธอก็ได้ปกป้องเด็กน้อยในอ้อมกอดตามสัญชาตญาณ เพื่อไม่ให้เด็กน้อยโดนทับ เธอก็ได้ใช้ขายันเก้าอี้ข้างหน้าที่ได้บีบมาไว้ เว้นที่ว่างไว้เล็กน้อย วางเด็กน้อยไม่ให้โดนทับ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหิวแล้วหรือเปล่า เด็กทารกร้องไห้หนักมากๆ เหวินเสียนก็ได้ยื่นมือไปตบเขาเบาๆ อย่างยากลำบาก “หนูน้อย ไม่ร้อง……”
เด็กทารกเหมือนว่าฟังที่เธอพูดรู้เรื่องยังไงอย่างงั้น รู้ว่าตอนนี้อันตราย ไม่ร้องไห้เลยทันที ลืมตาโตด้วยตาที่เต็มด้วยน้ำตา มองหมุนไปหมุนมาแบบนั้น
สติของเหวินเสียนยิ่งอยู่ยิ่งเลื่อนราง ทำได้แค่พยายามฝืนไว้ เธอมองเด็กทารกแล้วก็พยายามยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก ในใจคิด ยังดีที่หนูไม่เป็นไร ไม่อย่างนั้นฉันไม่สามารถที่จะขอโทษพ่อแม่ของหนูได้
ติ้งๆ มีเลือดไหลหยดลงมา ได้หยดลงมาจากขาของเหวินเสียน เธอเพื่อที่จะยันเก้าอี้ที่ได้ทับลงมานั้น ขาติดอยู่ในช่องว่างเล็กๆ
สติของเธอก็ได้เริ่มหายไป ตอนที่เธอทนต่อไปไม่ไหวแล้วนั้น ก็ได้มีเสียงการเคลื่อนไหว
“เจอรถแล้วครับ อยู่ตรงนี้……”
“เหวินเสียน” ในตอนที่เบลอๆ อยู่นั้นเหมือนได้ยินเสียงของจงฉีเฟิง อยากจะตอบเขา แต่ไม่ว่ายังไงก็ส่งเสียงพูดไม่ออก สุดท้ายก็สติก็ได้เลือนหาย สลบไป
ตอนที่จงฉีเฟิงมองหน้าที่มีเลือดของลูกชายผ่านกระจก ใจของเขาก็ได้กระตุก ในใจก็เหมือนได้มีตะขอเหล็กเกี่ยวแบบนั้น แต่ว่าตอนที่เห็นตาของเขาได้มองไปรอบๆ ไม่ร้องไม่โวยวายนั้น ใจถึงได้วางลงเล็กน้อย เห็นทีเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ
เขาก็ได้ยื่นมือไปอุ้มลูกชายออกมา ถึงได้พบช่องวางเล็กๆ นี้ เป็นเหวินเสียนใช้ขากั้นไว้ถึงได้มีพื้นที่เหลือออกมา เลือดบนใบหน้าของเด็กน้อย ก็ได้หยดลงมาจากขาของเธอเอง เธอได้สลบไปแล้ว สองมือของจงฉีเฟิงได้สั่นเล็กน้อย อุ้มลูกชายออกมาเสร็จ ก็ได้เรียกคนเปิดรถช่วยคน
คนที่จงฉีเฟิงพามามีเยอะ ไม่นานก็ได้ช่วยเหวินเสียนกับคนขับรถออกมาจากรถ ไปส่งที่โรงพยาบาล
ไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิตทั้งคู่ แต่ว่าบาดเจ็บสาหัสมาก
โดยเฉพาะขาของเหวินเสียน เวลาที่หนีบนั้นนานเกินไป
“ขาของคนไข้บาดเจ็บค่อนข้างสาหัส กระดูกตรงกลางน่อง ก็ได้แตกแบบละเอียด อยากที่จะกลับไปเดินเป็นปกติ ต้องผ่าตัด ใส่เหล็กลงไป แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่สามารถที่จะรักษาให้กลับเป็นเหมือนปกติ แต่ว่าพวกเราจะพยายามครับ ทำเธอสามารถเดินได้ ดูแล้วเป็นปกติ……”
ในใจของจงฉีเฟิงก็ได้บีบเอามากๆ ตอนนี้ถึงแม้ว่าวิทยาการทางการแพทย์ดีมาก แต่ว่าการเสริมเหล็กก็ยังต่างกับกระดูกแท้ๆ อยู่ดี
อีกอย่าง กระดูกกลางน่องเป็นการแตกละเอียด ต้องพึ่งการเสริมเหล็กทั้งหมด ยากมากที่จะกลับไปเดินเป็นปกติได้
เขาคิดไม่ถึงว่าเหวินเสียนจะบาดเจ็บหนักขนาดนี้
“คุณตกลงที่จะให้ทำการผ่าตัดไหมครับ? ถ้าเกิดตกลง รบกวนช่วยเซ็นในแบบฟอร์มยินยอมให้ทำการผ่าตัดด้วยครับ” คุณหมอก็ได้เอาแบบฟอร์มยินยอมให้เขา
จงฉีเฟิงรับมา แล้วก็เซ็นชื่อไป
ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือการช่วยคน เขาไม่มีวิธีเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ ทำได้แต่พยายามสุดความสามารถ ลดความเสียหายให้น้อยที่สุด
“ใช้ของที่ดีที่สุดทั้งหมด รับประกันว่าเธอนั้นสามารถเดินได้ พยายามอย่าให้ต่างจากคนปกติมาก”
“พวกเราต้องพยายามครับ” หมอก็ได้เอาแบบฟอร์มยินยอมเข้าไปในห้องผ่าตัด ให้ผู้ช่วยเตรียมการก่อนผ่าตัด