หลินซินเหยียนมองต่ำลง ถึงแม้เธอจะให้กำเนิดจงจิ่งห้าวมา แต่ก็ต้องคลาดกับช่วงเวลาที่ต้องการให้คนดูแลและเอาใจใส่มากที่สุดไป
ตอนนี้ จงจิ่งห้าวยังไม่ได้รู้จักกับแม่ของตัวเอง
เฉิงยู่ซิ่วชีวิตนี้ไม่ใช่แค่ค้างคา แต่เธอยังต้องเจ็บปวด และยังยิ่งใหญ่มากด้วย
ถ้าเปลี่ยนมาเป็นเธอ เธออาจจะทำไม่ได้ก็ได้
“เธอเองก็ไปเกลี้ยกล่อมจิ่งห้าวให้มากๆ บอกเขาว่าไม่ต้องถือสาขนาดนั้นแล้ว” หลี่จิ้งถอนหายใจออกมา “ความจริงเรื่องนี้ฉันเองก็พอเข้าใจอยู่ ถ้าเกิดแม่ของฉันเพิ่งเสียไปยังไม่ถึงเดือน พ่อของฉันก็ไปแต่งงานใหม่ ฉันอาจจะรู้สึกโกรธแค้นมากกว่านี้ บางที อาจจะเอามัดไปแทงใส่ผู้หญิงคนนั้นก็ได้ เรื่องแบบนี้น่ะ ใครไม่เจอกับตัวก็ไม่มีทางเข้าใจหรอก ถึงจะบอกว่าเข้าใจหัวอก แต่มันสามารถเข้าใจได้จริงๆ เหรอ? ไม่มีทาง ยังไงผู้ชายก็มีความมั่นคงที่มากกว่า ถึงแม้หลายปีมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างจิ่งห้าวกับฉีเฟิงจะดูห่างเหิน แต่ยังไงเขาก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่มันมากเกินไป การทำตัวเย็นชาใส่แบบนี้ มันก็แค่อุปสรรคในใจที่ก้าวผ่านไปไม่ได้เท่านั้น คนที่เป็นภรรยาอย่างเธอก็ต้องช่วยเขาให้มากๆ”
หลินซินเหยียนตอบค่ะเบาๆ
บางจุดหลี่จิ้งก็พูดถูก เรื่องนี้มันไม่สามารถเข้าในแทนได้ ไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของเขาในตอนนั้นได้ มีแต่คนที่เคยเจอมาเหมือนกันเท่านั้นถึงจะเข้าใจ
หลังจากได้ฟังเรื่องของเฉิงยู่ซิ่วแล้ว เธอก็เอาแต่มองจากในมุมของเฉิงยู่ซิ่ว แล้วคอยเกลี้ยกล่อมจงจิ่งห้าวอยู่ตลอด
แต่เธอกลับไม่เคยมองเรื่องนี้จากในมุมของจงจิ่งห้าวเลย
เขาไม่รู้ว่าเฉิงยู่ซิ่วเป็นแม่แท้ๆ ของตัวเอง เขาไม่ได้รู้เรื่องที่เคยเกิดขึ้น ยิ่งไม่ได้รู้ถึงสิ่งที่เฉิงยู่ซิ่วต้องเสียสละเพื่อเขา
ดังนั้นเธอก็ควรจะมองเรื่องนี้จากในมุมของเขาบ้าง
“วันนี้ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
ทันใดนั้น ประตูของห้องหนังสือก็เปิดออก จงจิ่งห้าวกับ เหวินชิงก็เดินตามกันออกมา
“เดี๋ยวฉันไปส่ง” เหวินชิงพูดขึ้น
จงจิ่งห้าวปฏิเสธไป เขาบอกว่าข้างนอกมันหนาว พวกเขาออกไปก็สามารถขึ้นรถได้เลย
พอหลินซินเหยียนเห็นพวกเขาออกมา เธอก็ลุกขึ้นจากโซฟา จงจิ่งห้าวเดินเข้ามา “เรากลับบ้านกันครับ”
หลินซินเหยียนพยักหน้า
“นี่เพิ่งกี่โมงเอง ทำไมไม่อยู่ต่ออีกหน่อยล่ะ” หลี่จิ้งอยากให้อยู่ต่อ
“ไม่แล้วค่ะ ตอนนี้ก็สายมากแล้ว” หลินซินเหยียนร้อนใจอยากรู้ว่าเหวินชิงนั้นพูดอะไรกับจงจิ่งห้าว
หลี่จิ้งแค่พูดเป็นมารยาทเท่านั้น เธอดูออกว่าหลินซินเหยียนนั้นอยากจะไปแล้ว “ถ้าอย่างนั้น มีเวลาก็แวะมาบ่อยๆ นะ”
“ถ้ามาโอกาส จะมาอีกค่ะ” หลินซินเหยียนใส่เสื้อกันหนาวให้เด็กทั้งสอง หลี่จิ้งเดินเข้ามาช่วย “พรุ่งนี้ก็เป็นสิ้นปีแล้ว”
“หลังปีใหม่หนูก็จะโตขึ้นอีกปีแล้ว” หลินลุ่ยซีกะพริบตาปริบๆ แล้วพูดด้วยท่าทางที่น่ารัก
หลี่จิ้งถูกเธอทำให้หัวเราะ “ใช้จ้ะ โตขึ้นอีกปีแล้ว พวกเธอโตขึ้นแล้ว คุณย่าเล็กก็แก่ลงแล้ว”
“คุณย่าเล็กไม่แก่ค่ะ” หลินลุ่ยซีพูด
หลี่จิ้งหัวเราะหนักกว่าเดิม จึงได้พูดชมไปว่า “เด็กคนนี้ช่างพูดจริงๆ”
ในตอนนั้น เหวินชิงก็ได้เดินเข้ามา ยื่นแต๊ะเอียให้เด็กๆ สองซอง
“นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเธอมา ถือเป็นของขวัญในการพบหน้ากัน เป็นเงินรับขวัญในช่วงปีใหม่ ถ้าพวกเธอมาอีก ฉันก็จะให้อีก”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” หลินซินเหยียนรู้สึกว่าไม่เหมาะเท่าไหร่ แต๊ะเอียนั่นดูหนามาก เธอดูออกว่า ถึงเหวินชิงจะสุดโต่งเรื่องเหวินเสียน แต่เขาก็เป็นผู้นำที่ซื่อสัตย์สุจริตมาก
“ฉันอยากให้เด็กๆ อีกอย่าง เด็กสองคนนี้มาบ้านฉันเป็นครั้งแรก มันเป็นธรรมเนียม และเป็นน้ำใจจากฉันด้วย” เหวินชิงพูดด้วยความดีใจในแบบของคนที่อยู่สูงกว่า
หลี่จิ้งเองก็พูดเสริมขึ้นมาเหมือนกัน “รับไว้เถอะ ให้เด็กๆ ได้ดีใจบ้าง ฉันไม่ได้เตรียมอะไรให้พวกเขาเลย”
หลินซินเหยียนบอกให้เด็กๆ พูดขอบคุณกับเหวินชิง
“ขอบคุณครับ/ค่ะ คุณปู่เล็ก” เด็กสองคนพูดออกมาพร้อมกัน
“จ้ะ จ้ะ” เหวินชิงลูบหัวของหลินซีเฉิน “กินให้เยอะๆ พอตัวสูงแล้ว ก็ไปเป็นทหารกับคุณปู่เล็กที่กองทัพนะ”
“ครับครับ” หลินซีเฉินพยักหน้าอย่างแรง ดูท่าจะสนใจการเป็นทหารเข้าจริงๆ แล้ว
หลี่จิ้งกับเหวินชิงยืนส่งพวกเขาอยู่ที่หน้าประตู
ไม่นาน รถก็ถูกขับออกไป หลินซินเหยียนนั่งอยู่ข้างๆ จงจิ่งห้าว เธอสามารถได้กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ที่ออกมาจากตัวเขา
สุดท้ายหลินซินเหยียนก็ทนไม่ได้ จึงถามไปว่า “พวกคุณคุยอะไรกันในห้องหนังสือเหรอคะ?”
เหมือนจงจิ่งห้าวจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเธอต้องถาม แค่นึกไม่ถึงว่าเธอจะอดไม่ได้จนถามออกมาได้เร็วขนาดนี้
เขาเอนหลังไป และมองเธออย่างลึกซึ้ง
หลินซินเหยียนถูกจ้องจนหงุดหงิด เธอกะพริบตาปริบๆ “คุณจะจ้องฉันแบบนี้ไปทำไมคะ? เป็นเพราะฉันไม่ควรถามเหรอคะ?”
“ครับ”
หลินซินเหยียนรู้สึกใจหายไปแปบหนึ่ง
พอเห็นสีหน้าของหลินซินเหยียนที่เปลี่ยนไป จงจิ่งห้าวก็ถอนหายใจออกมา แล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด
“ถึงบ้านก่อน แล้วผมค่อยบอกคุณครับ”
หลินซินเหยียนซบอยู่ในอกเขา คิดไปครู่หนึ่ง และพูดไปว่า “ขอโทษนะคะ ที่ฉันเอาแต่เกลี้ยกล่อมให้ยอมรับยู่ซิ่ว แต่ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของคุณเลย”
จงจิ่งห้าวมองลงมา รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย และรู้สึกดีใจไปในเวลาเดียวกัน แล้วกอดเธอเอาไว้แน่นๆ
“จะเปลี่ยนแซ่ให้เขาสองคนมั้ยคะ?” จู่ๆ หลินซินเหยียนถาม
ก่อนหน้านี้เคบได้ยินเสิ่นเผยซวนพูดกับเธอว่าเด็กสองคนนี้ควรกลับไปใช้แซ่เดิม ตอนนั้นเธอไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ครั้งนี้พอเห็นเหวินชิงมีการตอบสนองมากขนาดนี้ เธอคิด บางทีให้เปลี่ยนกลับมาอาจจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องก็ได้
อีกอย่าง ตอนนี้เธอก็กำลังเปิดใจยอมรับในตัวผู้ชายคนนี้ ยอมรับครอบครัวนี้อยู่
“ทำไมถึงต้องเปลี่ยนด้วยครับ?” จงจิ่งห้าวไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาอะไรเลย
“ถ้าไม่เปลี่ยน พวกเขาก็จะเป็นของตระกูลหลินไม่ใช่เหรอคะ?” ความจริงหลินซินเหยียนยิ่งไม่อยากให้พวกเขาใช้แซ่หลินมากกว่า เธอแค่ไม่มีทางเลือก
“พวกเราเป็นของคุณ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตระกูลหลินเลยครับ” จงจิ่งห้าวไม่ เคยรู้สึกเลยว่าที่พวกเขาแซ่หลิน ก็ต้องเป็นลูกหลานของตระกูลหลิน ในความคิดของเขา เด็กสองคนนี้เป็นของหลินซินเหยียน เธออุ้มท้องมาเป็นสิบเดือน ค่อยๆ เลี้ยงดูพวกเขาจนโตมาทีละน้อย ไม่มีใครสามารถมาแทนที่ได้ทั้งนั้น
หลินซินเหยียนจับคอเสื้อของเขาไว้ “ตอนนี้เราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้ว การที่ลูกๆ ใช้แซ่เดียวกับฉัน คนอื่นเขาจะคิดยังไงเหรอคะ?” เธอตั้งใจพูดเยาะเย้ยเขา “คนอื่นเขาจะคิดว่าคุณแต่งเข้าบ้านฉันรึเปล่า? เด็กๆ เลยต้องใช้แซ่ตามฉันน่ะ?”
“เกเรนักนะ” เขาขำออกมาอย่างแหบซ่าน ก้มลงมาจูบไปที่ติ่งหูของเขา “ถึงแต่งไปอยู่กับคุณ ผมก็ยินดีครับ”
หลินซินเหยียนรีบผละออกจากเขา ข้างหน้ามีคนขับรถอยู่ เขาก็ไม่มียางอายเลยสักนิด
เขาขำหนักกว่าเดิม
โรงพยาบาล
ตอนที่ฉินยาตื่นมาก็เป็นช่วงบ่ายแล้ว
“หิวรึเปล่าครับ?” ซูจ้านได้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดแล้วกลับมาที่โรงพยาบาลแล้ว พอเห็นเธอยังไม่ตื่น เขาก็เฝ้าเธอมาโดยตลอดเลย
ตอนเที่ยงเขาก็ไม่ได้ลงไปซื้ออาหาร เขาสั่งคนรับใช้ในบ้านให้ทำมาส่ง ท่านย่าไม่คุ้นเคยกับอาหารข้างนอก
การนอนในครั้งนี้ของฉินยาค่อนข้างนาน รู้สึกมึนหัว เธอลุกขึ้นจากโซฟา นั่ง ผ่านไปสักพักถึงพื้นคืนสติมาได้ เธอขยี้ตาแล้วมองมาที่ซูจ้าน หัวสมองสดใสขึ้นมา เธอกะว่าจะไป แต่จากนั้นจู่ๆ ท่านย่าก็เกิดเลือดออกในสมอง เธอจึงตามมาที่โรงพยาบาลด้วย……
เธอลงมาจากโซฟา “ฉันควรไปแล้วค่ะ”
ซูจ้านกำหมัดแน่น แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน “คุณหลับไปตั้งนาน ไม่หิวเหรอครับ?”
ฉินยาส่ายหน้า “ไม่แล้วค่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นมามองเขา “เรา……จบกันแค่นี้เถอะ”
ผู้หญิงคนนี้ ใจดำขนาดนี้เลยเหรอ?
ซูจ้านลุกขึ้นมา กางสองมือออก “คุณจะไปก็ได้ แต่คุณทำมิดีมิร้ายกับผม คุณต้องชดใช้ค่าเสื่อมสภาพของผมด้วย”
ฉินยา “……”
สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที
ยังคงชั่วช้าเหมือนเดิม!
“คุณต้องการเงินเท่าไหร่?” ฉินยาไปหากระเป๋าตังค์ หยิบเงินออกมา
ซูจ้านยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ห้าแสนแล้วกันครับ”
เขาคิดว่าฉินยาต้องจ่ายเงินมากขนาดนี้ไม่ไหวแน่ๆ ถ้าเธอจ่ายไม่ไหว เขาก็มีเหตุผลมากพอที่จะรั้งเธอไว้
“คุณคิดว่าตัวเองเป็น ‘กิ่งทองใบหยก’ รึไง คุณไม่มีค่ามากขนาดนั้น!” ฉินยาด่าทอออกมา ทำไมคุณถึงไม่ไปปล้นชิงล่ะ
ด้วยสติปัญญาที่มีบอกเธอว่าที่นี่คือโรงพยาบาล การทำแบบนั้นมันจะเสียมารยาทมาก จึงไม่ได้ตะโกนออกมา
การที่เขาใช้ไม้อ่อนนั้นไม่มีทางรั้งเธอไว้ได้แน่ ผู้หญิงคนนี้ใจแข็งอย่างกับหิน
เขาวางท่ากวนๆ แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว “มีค่ามากพอรึเปล่าคุณน่าจะรู้อยู่แก่ใจ ผมจะเอาเท่านี้ จ่ายไม่ไหวก็ต้องอยู่ต่ออยู่เป็นภรรยาของผมต่อไป”
ฉินยาโกรธจนยิ้มออกมา หยิบการ์ดใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าตังค์ แล้วโยนใส่หน้าเขา “ต่อไปอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก!”
ซูจ้านถึงกับอึ้งไปเลย นี่เธอมีเงินมากขนาดนั้นเลย
เธอเป็นแค่ผู้ช่วยของหลินซินเหยียน ทำไมถึงมีเงินเก็บมากขนาดนั้น?